เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 425 ความบริสุทธิ์ชั่วนิรันดร์
บทที่ 425 : ความบริสุทธิ์ชั่วนิรันดร์
บทที่ 425 : ความบริสุทธิ์ชั่วนิรันดร์
บุคคลผู้ถือ ‘คัมภีร์ตะวัน’ นั้นไม่ใช่ใครอื่นสำหรับสโปน่า ผู้ใหญ่คนนี้คือสังฆราชของศาสนาที่รุ่งเรืองที่สุดในสังคมนับแต่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดล่มสลาย ศาสนาแห่งตะวัน
…วินเซนต์!
ในฐานะชนชั้นสูงในเขตกลาง พ่อแม่ของสโปน่าย่อมเคยติดต่อกับวินเซนต์ ในตอนนั้นสโปน่าไม่ได้อยากเข้าร่วมกิจกรรมทำนองนี้เท่าไร เพราะศาสนาแห่งตะวันเป็นโบสถ์ที่ช่วยเหลือสามัญชนทั่วไปภายใต้แนวคิดของความยุติธรรมเท่าเทียม
มันต่างจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุดซึ่งร่วมมือกับเหล่าผู้ดีคอร์รัปชั่นในอดีต บรรยากาศของนักบวชเหล่านี้ และเหล่าผู้คลั่งศาสนาที่ ‘บริสุทธิ์อย่างยิ่ง’ ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจสุด ๆ ราวกับว่าความปรารถนาและความมืดทั้งหมดในใจจะถูกเปิดเผยสู่ดวงตะวันโดยไม่อาจซุกซ่อน
แต่สุดท้าย เธอก็ยังตามพวกเขาไป เพราะอิทธิพลของศาสนาแห่งตะวันนั้นกว้างขวางขึ้นทุกขณะ และครอบคลุมแทบทุกวงการผู้ดี พวกเขาย่อมต้องสื่อสารสร้างสัมพันธ์กัน
“คุณพ่อวินเซนต์ พ่อแม่ของดิฉัน…พวกเขา…บ้าไปหมดแล้ว… พวกเขาถูกจี้จือซู่เข้าสิง เธอเป็นปีศาจ! เธอเป็นปีศาจ! คุณต้องชำระล้างเธอนะคะ!”
สโปน่าตะโกนเสียงสั่น ชี้ไปข้างหลังเธอ
ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือก
วินเซนต์ยิ้มให้เธอ ซึ่งทำให้สโปน่าห่อไหล่ในพริบตา ตอนนี้เธอเห็นรอยยิ้มจนแขยงไปแล้ว
แต่วินเซนต์ไม่ใช่จี้จือซู่จริง ๆ เขายกมือขึ้นวางบนศีรษะของสโปน่า กล่าวว่า “ลูกเอ๋ย อย่ากลัวไป วันแห่งการพิพากษามาถึงแล้ว ทั้งคนดีและคนชั่วจะได้รับสิ่งที่ตนเองคู่ควร”
“พระเจ้าของเรากำลังจะจุติ ความวุ่นวายในตอนนี้เป็นเพียงความเจ็บปวดก่อนออกจากรังไหม เพื่อความเท่าเทียม อิสรภาพ และอนาคตที่สดใสยิ่งกว่า…ตามพ่อมา เราเริ่มการชำระบาปกันเถอะ”
วินเซนต์กล่าวยิ้ม ๆ “ถ้าลูกมีจิตใจดี งั้นลูกจะเป็นหนึ่งในพวกเรา ได้รับพรจากพระเจ้าของเราเช่นกัน”
สโปน่ากลืนน้ำลาย สมองของเธอแล่นหวือ ทุกสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเธอดูราวกับฟ้าถล่มสำหรับผู้ดีอย่างเธอ
น้ำเสียงแข็งแกร่งของวินเซนต์บอกเธอชัดเจนว่าไร้ทางเลือก
ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงติดตามเบื้องหลังวินเซนต์และรวมเข้ากับทีม
แต่ตอนนี้ ทั้งเสียงปืนและเสียงทุบตี เผาสิ่งต่าง ๆ บนถนนเกิดขึ้นเต็มคลองจักษุไปหมด
สโปน่าไม่แน่ใจว่าเธอจะไปถึงกรมตำรวจเขตกลางได้หรือไม่ เธอเหลือบมองเหล่าสาวกถือหนังสือที่ติดตามอยู่ข้างหลังวินเซนต์อย่างเงียบ ๆ
และที่ท้ายขบวนมีคนจนนับร้อย ๆ คนถือเครื่องมืออุปกรณ์การช่าง?!
สโปน่าเผยสีหน้ารังเกียจออกมาทันที เธอเกิดมาเป็นสตรีสูงศักดิ์ ถูกฝังแนวคิดการแบ่งชนชั้นระหว่างคนจนและผู้ดีมาแต่เด็ก ดังนั้นเธอจึงแสดงสีหน้ารังเกียจคนจนออกมาเช่นนี้จนแทบจะเป็นสันดาน
คนจนตัวเหม็น สกปรก และต่ำต้อยเหล่านั้น ไม่ว่าเธอจะมองพวกเขาอย่างไรก็ขยะแขยงแทบบ้า!
แต่สีหน้านี้ถูกวินเซนต์เห็นเข้า เขาเริ่มมองเธอด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปน้อย ๆ และกล่าวเบา ๆ “ลูกเอ๋ย เกลียดพวกเขาหรือ? ลูกเกลียดพวกเขาซึ่งก็เป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนกันหรือ?”
“แน่นอนสิคะ! พวกเขาน่ะหนอนไชนอร์ซินชัด ๆ เป็นมดปลวกน่ารังเกียจ พวกเขาจะใช้ชีวิตในเขตเดียวกับดิฉันได้อย่างไร?!”
สโปน่ากล่าวด้วยเสียงแหลมดังก้อง และทันใดนั้นก็ตื่นจากภวังค์ รีบกล่าว “ไม่ ๆ เปล่านะคะ เมื่อกี้ดิฉันต้องถูกจี้จือซู่ควบคุมอยู่แน่ ๆ! เธอเป็นปีศาจจริง ๆ ค่ะ โปรดช่วยดิฉันด้วยนะคะ!”
สโปน่าอธิบายอย่างกระวนกระวาย ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว เธอเป็นคนฉลาดที่สุดในหมู่สาวผู้ดีไม้ประดับฉาก และเดาสถานการณ์ตรงหน้าเธอได้อย่างรวดเร็ว
นี่คือการประท้วงของคนจนต่อเหล่าผู้ดี ขืนออกความเห็นแสดงความรังเกียจคนจน เธอคงถูกทุบตีจนตายได้แน่ ๆ คนจนพวกนี้กำลังคันมือหาที่ระบายอารมณ์อยู่พอดี
แต่ขอแค่ตามพวกเขาไปถึงกรมตำรวจเขตกลางได้ เจ้าหน้าที่ที่นั่นต่างเป็นคนของเราทั้งนั้น แต่ละคนยังพกอาวุธอีกต่างหาก
“ดี เด็กดี งั้นยืนกับพวกเขานะ” วินเซนต์กล่าวยิ้ม ๆ
สโปน่าเงยหน้ามองวินเซนต์ พยักหน้าและซ่อนตัวเบื้องหลังเหล่าสาวก วาดดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ตรงหน้า ดวงตาของเธอเลียนแบบพวกเขา ก่อนจะกุมมือปกป้องอกตนเองไว้
เธอได้กลิ่นสาบจากคนจนเหล่านั้นและอยากอาเจียน แต่เธอก็ทำได้เพียงอดทน ตัวสั่นสบถด่าในใจ
วินเซนต์เดินบนถนนสายหลักในเขตกลาง ถือหนังสือ ‘คัมภีร์ตะวัน’ ในมือ และร่ายคำสอนเสียงดังขณะก้าวเดิน…
“ข้าให้เจ้ายืมดวงตา อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้เจ้าได้เห็นแสงสว่างในกาลอันสั้น…”
เมื่อสโปน่าเข้าร่วมขบวนคนจน เธอก็พบว่าคนจนทั้งหมดในเขตกลางถูกวินเซนต์เรียกตัวมา กระทั่งพวกผู้ดีในรัศมีสิบเมตรยังบ่นว่าคนจนทำอากาศเสีย และดวงตาของพวกเขาต่างแผดเผาด้วยเปลวเพลิงดั่งดวงตะวัน
สโปน่ากลืนน้ำลาย เดินตามพวกวินเซนต์และท่อง ‘คัมภีร์ตะวัน’ อะไรนั่นตามพวกเขา
“…เราให้กำเนิด เดิน กิน แต่งงาน และมีความรัก…ทุกสิ่งมาจากดวงตะวัน และเราสรรเสริญดวงตะวัน”
“แสงแห่งดวงจันทร์คือดวงอาทิตย์ แสงดาวมาจากดวงอาทิตย์ และสีสันของทุกสิ่งมาจากดวงอาทิตย์…”
“บนโลกนี้ ทุกผู้ที่เดินใต้แสงตะวันล้วนเท่าเทียม”
เหล่าคนจนร้องเพลงฉลองชัยภายใต้การนำของวินเซนต์ พวกคนงานผู้เสียงานในเขตกลางถูกจี้จือซู่ปลุกปั่นจนแทบจะถล่มเขตกลางทั้งเขต
เขตกลางทั้งเขตเต็มไปด้วยเขม่าควันและความวุ่นวายราววันสิ้นโลก ความรุ่งเรืองมีระเบียบในอดีตหายไป หลงเหลือเพียงความโหดร้าย
นี่คือบ้านของฉัน และถูกพวกคนจนต้อยต่ำพวกนี้เหยียบย่ำ…สโปน่ากัดฟัน
พวกเขาเดินไปทางกรมตำรวจเขตกลาง เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายถูกสั่งไม่ให้เข้าขัดขวาง และสโปน่าก็คร่ำครวญในใจ…
ผู้กำกับการตำรวจคือพ่อของเธอ แต่เขาถูกควบคุมอยู่ ดังนั้นคนที่ออกคำสั่งไม่ใช่ผู้กำกับแต่อย่างใด…
เธออยากจะลุกขึ้นมาพูดความจริง แต่ความขลาดกลัวในใจของเธอไม่สามารถถูกกดข่มได้สักนิด
ไม่เพียงพ่อของเธอ แต่ผู้ดีทั้งหมดในเขตกลางต่างถูกจี้จือซู่ควบคุมไว้หมด คนจนไร้อาวุธพวกนี้ไม่มีใครเหมือน ต่อให้มีใครกล้ามาหยุดพวกเขา ก็จะถูกคนจนเหล่านี้ฆ่าทิ้งทันที
อันธพาล! มีแต่อันธพาลเต็มไปหมด!
ในใจของสโปน่าทั้งโกรธและกลัว สัตว์ร้ายพวกนี้ไร้มารยาทสังคม ไม่ควรค่าให้เรียกว่ามนุษย์สักนิด พวกนี้เป็นคนชั้นต่ำทั้งนั้น!
จู่ ๆ การเดินขบวนก็หยุดลง สโปน่ามองไปด้านหน้า พวกเธอมาถึงของสวนเขตกลางโดยไร้อุปสรรค
เนื่องจากสวนของเขตกลางเป็นสถานที่อันสูงส่งที่สุดในเขตกลาง มันจึงมีอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในทั่วนอร์ซิน
สโปน่าปาดน้ำตาของเธอ เหมือนคนจมน้ำเห็นเส้นฟางลอย หัวใจของเธอลิงโลด คนใหญ่คนโตในเขตกลางจะหยุดเรื่องทั้งหมดนี้ ทำให้เรื่องทั้งหมดกลับสู่ปกติได้แน่ ๆ
หลังจากนั้น เธออยากให้พวกน่ารังเกียจเหล่านี้ไปเป็นเหยื่อสัตว์ร้ายในโคลอสเซียมเพื่อความบันเทิงของเธอให้หมด!
วินเซนต์หันมามองพวกเขาอย่างไร้อารมณ์ และกล่าวว่า
“ทุกคนที่มาหาพ่อได้รับพรและอาบแสงศักดิ์สิทธิ์กันไปแล้ว ทว่าน่าเศร้าที่พ่อค้นพบสิ่งหนึ่ง มีหญิงผู้หนึ่ง เป็นผู้ดีที่น่ารังเกียจ หัวใจเต็มไปด้วยความโสมม แต่เดิมหัวใจของเธอเคยบริสุทธิ์ไร้ตำหนิ แต่กลับถูกอุดมคติชนชั้นของพวกผู้ดีทำให้แปดเปื้อน เธอจึงมิใช่ลูกของเราอีกต่อไป…แต่เป็นศัตรู”
“วันนี้ ก่อนที่เราจะมุ่งหน้าเข้าสู่สวนของเขตกลาง ขอให้ใช้เลือดของเธอเซ่นสังเวยแก่ดวงตะวันและความยุติธรรมก่อนเถิด…”
เสียงของวินเซนต์ไม่ได้ดัง แต่มันสะท้อนถึงหูคนจนทุกคน
รวมถึงสโปน่าด้วย
สโปน่าค้นพบกะทันหันว่าตัวเธอซึ่งแต่เดิมกลมกลืนไปกับคนจนถูกทุกคนถอยห่างทันที เว้นวงพื้นที่ให้เธอเป็นกรณีพิเศษ
วินเซนต์มองเธออย่างไร้อารมณ์
“ไม่…ไม่…ไม่ใช่นะคะ ดิฉันไม่ได้…” สโปน่าก้าวถอยหลัง กล่าวว่า “ดิฉันบริสุทธิ์นะคะ ดิฉันตามพวกคุณมา อย่าเข้ามานะ พ่อฉันเป็นผู้กำกับการกรมตำรวจเขตกลาง ถ้าพวกคุณกล้าแตะฉัน ทุกคนได้ตายอนาถแน่!”
ทว่าคนจนเหล่านั้นยังคงล้อมเธอเข้ามาด้วยสายตาดุดัน ไม่ฟังคำพูดของเธอแม้แต่น้อย
เธอโซเซ อารมณ์หลุดจากการควบคุม “อย่าเข้ามานะ ไอ้พวกหมูน่าขยะแขยง ทำไมยังไม่ตายกันอีกล่ะพวกชั่ว! นอร์ซินไม่ควรมีพวกโสโครกอย่างพวกแกเลย…!!”
สโปน่าหยิบอาวุธที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาโบกด้วยสีหน้าดุร้าย หวังจะหนีออกมาจากวงล้อม ผลก็คือเพลิงศักดิ์สิทธิ์มากมายร่วงหล่นจากฟ้า โอบล้อมแผดเผาเธอไว้ด้านใน เปลวเพลิงโลมเลียไปทั่วร่าง ความเจ็บปวดเกินขีดจำกัดทำให้เธอกรีดร้องเสียงแหลมดั่งวิญญาณถูกทะลวง ร่างไหม้เป็นตอตะโก อาภรณ์งดงามและผิวที่ดูแลอย่างดีกลายเป็นสสารสีดำไม่รู้ชนิด
ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวไปกับเปลวไฟ เลือดเนื้อถูกแผดเผา ร่างกายของเธอกลายเป็นเหมือนหนอนตัวเพรียวบางที่ยังขดดิ้นอย่างเจ็บปวด แต่น่าเสียดาย เธอส่งเสียงอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
วินเซนต์มองเธออย่างเฉยเมย ปากร่ายบทสวดอย่างเงียบ ๆ
“วิญญาณของเธอจะกลับสู่สภาพอันดั้งเดิมและบริสุทธิ์ที่สุด หวนกลับสู่อ้อมแขนพระเจ้าแห่งเรา และเธอจะบริสุทธิ์ไร้เดียงสาชั่วนิรันดร์”
—
สำนักงานกลาง ศาลสูงสุดภายใต้มหาพฤกษากลับหัว
ในฐานะบุคคลผู้อาวุโสที่สุดในศาล บาลมองสหายที่มีสภาพเละเทะของเขา เขาทุ่มเทความภักดีให้แม่มดไปนับแต่นอร์ซินก่อตั้ง และยังได้รับพลังที่เกือบอยู่ในระดับเหนือนภาและมีชีวิตอยู่จนปัจจุบันอีกด้วย
ในฐานะบุคคลผู้อาวุโสที่สุดในศาล บาลไม่มีความเห็นแก่ตัวมากนัก เขานั่งอยู่ใต้มหาพฤกษากลับหัวทั้งวัน ไม่มีแม้กระทั่งครอบครัว ทุกคนแทบถือว่าเขาคือส่วนหนึ่งของมหาพฤกษากลับหัวอยู่รอมร่อแล้ว
“มันต้องเป็นแผนสมคบคิดของเจ้าของร้านหนังสือแน่ ๆ!” อากาเรซผู้อารมณ์ร้ายกำหมัดแน่น
“ฝีมือจี้จือซู่” แอสโมเดียสกล่าวเสียงแหบ “เราประเมินจี้จือซู่ต่ำเกินไป เธอควบคุมพวกผู้ดีแทบทั้งหมดในงานประมูล แต่เรากลับไม่ได้เบาะแสอะไรเลย”
กลุ่มคนชราในศาลสูงสุดเริ่มถกเถียงกันไม่จบสิ้น สร้างความปวดหัวแก่บาล
“เงียบก่อน ไม่ว่าจะเป็นจี้จือซู่หรือวินเซนต์จากศาสนาแห่งตะวันต่างก็เป็นสุนัขรับใช้ของหลินเจี๋ยทั้งนั้นแหละ” บาลพยุงตัวด้วยไม้เท้า ส่งเสียงในคออย่างโกรธเคืองเพื่อสงบทุกคนลง
“มีแต่ต้องส่งแม่มดไปเท่านั้น” เขากระซิบ
“แต่กำแพงหมอก…”
“ไม่มีแต่ ถ้าเขตกลางหายไป มีกำแพงหมอกต่อไปก็เท่านั้นแหละ” บาลพูดเสียงต่ำ ดวงตามัวหมองของเขาปรากฏร่องรอยจิตสังหาร
บริออนผู้เยาว์วัยที่สุดและถูกบาลเรียกเป็นเด็กอยู่บ่อย ๆ ลอบแสยะยิ้มหลังได้ยินคำพูดของบาล เขาค่อย ๆ ลุกจากเก้าอี้ที่มุมห้องโดยไม่มีใครสนใจ
เขาเดินไปยังผลไม้บนพฤกษากลับหัวภายใต้การหมางเมินของทุกคน มองแม่มดแห่งพฤกษาที่นอนหลับอยู่ผ่านทางช่องมนุษย์ตัดเล็ก ๆ บนผลไม้
เด็กสาวผมสีเทอร์ควอยซ์ดูเหมือนจะกำลังฝันบางอย่าง
บริออนถอนหายใจ…
“ฟราซินัส ท่านได้ยินไหมครับ? ท่านคิดว่าท่านเป็นพฤกษาผู้ปกป้องอาซีร์ แต่ที่จริง ท่านก็แค่เครื่องมือปกป้องพวกผู้นำที่ว่านั่นเท่านั้นแหละ”
เปลือกตาขาวของฟราซินัสกระตุกเล็กน้อยหลังได้ยินเสียงที่คุ้นหูเล็กน้อยนั่น