เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 432 คุณจะกินฉันไหม
บทที่ 432 : คุณจะกินฉันไหม?
ฟรังก้าสวมเสื้อผ้าไหม ซึ่งเป็นเสื้อโค้ตอันเรียบง่ายและถูกที่สุดในตู้เสื้อผ้าของเธอ
เขตกลางในขณะนี้ปั่นป่วน แม้กระทั่งพ่อและปู่ของฟรังก้ายังถูกเรียกไปประชุมที่สำนักงานกลาง แต่นี่ก็ยังมอบโอกาสใหญ่หลวงแก่ฟรังก้าด้วยเช่นกัน
เพราะร่างกาย ‘อ่อนแอ’ แบบคนธรรมดาของเธอ เธอจึงไม่เคยก้าวออกจากเขตกลางในชั่วชีวิตเลย
ฟรังก้ารวบผมสีบลอนด์ของเธอเป็นหางม้าสูง สวมผ้าคลุมไหมสีแดง มองจดหมายจากแม่ของเธอและตำราอาหารข้างกระจก แล้วหันมองลงไปนอกหน้าต่าง
หลังจากใช้เวลาหลายวันในการสืบเสาะและเกลี้ยกล่อมไมค์ คนรับใช้ของเธอให้ช่วยเหลือ ในที่สุดฟรังก้าก็ได้ออกจากตระกูลเคอร์ติสเพียงลำพังเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยอาศัยการแสดงแกล้งบ้า ๆ บ๊อง ๆ อันแสนแนบเนียนของผู้เป็นมารดาเป็นฉากบังหน้า
จากการเปิดอกพูดคุยกับแม่ของเธอเมื่อสองวันก่อน ฟรังก้าก็ค่อย ๆ เข้าใจแม่ของเธอ รวมไปถึงที่มาของเธอด้วย
เธอเป็นนักโบราณคดีจากอีกโลกหนึ่ง เมื่อเผชิญกับเทพปีศาจ เธอยังรักษาความมั่นคงของวิญญาณและจิตใจ ยึดมั่นในความเป็นมนุษย์ได้
หลังจากสับสนมาสิบกว่าปี วิญญาณของเธอก็ซ่อนตัวในเปลือกเพื่อปกป้องตนเอง ทว่าทันทีที่เธอกินอาหารจากบ้านเกิด เธอก็คืนสติกลับมาอีกครั้ง
เหตุผลที่พ่อแต่งงานกับแม่ก็เพื่อการทดลอง ส่วนการเกิดของเรา…แต่เราสืบทอดพลังแบบไหนมากันล่ะ?
ฟรังก้าปีนออกจากเนินเขาในสวนหลังบ้านของเธออย่างคล่องแคล่ว และเข้าไปในรถที่ไมค์จัดเตรียมไว้ให้
แน่นอน เป็นไปไม่ได้หากจะใช้รถส่วนตัว เธอจึงใช้ได้เพียงรถเหล็กซึ่งใช้ขนส่งกลุ่มคนงานยากจน
กลิ่นน้ำมันเครื่องจากตัวรถและกลิ่นคนจนที่ได้อาบน้ำเพียงหนึ่งครั้งต่อสองสามเดือนทำให้ฟรังก้าผู้ไม่เคยประสบเรื่องแบบนี้แทบอาเจียน แต่เธออดกลั้นไว้อย่างสุดกำลังและเกาะเสาในรถไปจนถึงที่หมาย
แม้จะกระอักกระอ่วนมาก แต่เมื่อฟรังก้ามาถึงซอย 23 เครื่องแต่งกายของเธอก็ยังดูไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมซอมซ่อนี้เลย…
เห็นได้ชัดว่ามีคนจนอยู่ทั่วทุกที แต่พ่อกับพวกคนใหญ่คนโตพวกนั้นยังเอาแต่หลอกลวงชาวบ้านอยู่ได้! ปากบอกว่าจะสร้างอาซีร์ที่ทุกคนสวยงามแจ่มใส แต่โลกที่พวกนักบุญและแม่มดที่ว่าเหล่านั้นปกป้อง แท้จริงเต็มไปด้วยผู้คนที่หิวโหย
ในที่สุด ฟรังก้าก็เดินมาถึงร้านหนังสือของหลินเจี๋ยพร้อมด้วยหนังสือและจดหมายในอ้อมแขน
ร้านหนังสือที่ดูคร่ำครึนี้ดูเหมือนจะเป็นร้านที่ทันสมัยที่สุดในทั้งซอยแล้วมั้ง
ฟรังก้าถอนหายใจโล่งอก ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากของเธอ จากนั้นจึงก้าวเข้าสู่ร้าน
“กริ๊ง!”
กระดิ่งโฉมใหม่รูปร่างคล้ายแมวถูกโจเซฟผู้บึกบึนแขวนไว้ที่ประตูร้านหนังสือ กล่าวไว้ว่าเด็ก ๆ ในสลัมให้เขามา ทุกครั้งที่มีลูกค้าผลักประตูร้าน มันจะส่งเสียงไพเราะน่าฟัง…
แต่ในความเป็นจริง ร้านหนังสือเรียกได้ว่าไม่มีลูกค้าเลย ในทางกลับกัน ซอย 23 มีลมโกรกมาก กระดิ่งถูกลมพัดจนส่งเสียงดังลั่นทุกวัน
หลินเจี๋ยอยากจะบอกให้โจเซฟเอากระดิ่งไปทิ้งเหลือเกิน แต่เขาไม่อาจทำใจแข็งตำหนิหัวใจอันอ่อนเยาว์ภายใต้ร่างบึกบึนใหญ่โตนี้ได้ลงคอ
“สวัสดีค่ะ” ฟรังก้ากล่าวทักอย่างสุภาพ “ดิฉันมาพบเจ้าของร้านหลินค่ะ”
ตอนนั้นเอง หลินเจี๋ยก็ตระหนักว่าเสียงกระดิ่งวันนี้ไม่ได้เกิดจากลม แต่มาจากลูกค้าตัวจริง ในที่สุดก็มีลูกค้าเข้าร้าน!
เธอเป็นเด็กสาวผู้มีเส้นผมยุ่งเหยิงและเหงื่อชุ่มศีรษะ แต่เสื้อผ้าที่สวมกลับงดงามเลอค่า เธอยืนหอบหายใจเหมือนขาดอากาศอยู่ตรงหน้าเขา รองเท้าบูตส์หนังลูกวัวอันประณีตบรรจงเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยโคลน รองเท้าแบบนั้นมันไม่ได้มีไว้เพื่อการเดินด้วยซ้ำไป…
เธอดูเหมือนเป็นคุณหนูร่ำรวยผู้หนีออกจากบ้าน หลินเจี๋ยซึ่งนึกถึงจี้จือซู่และเชอร์รี่ขึ้นมาก็ระเบิดขำกะทันหัน คิดว่าเขาคงได้เริ่มเปิดเส้นทางหาลูกค้าที่ยอดเยี่ยมคนใหม่แต่แรกอีกคนแล้ว
เขาเผยรอยยิ้มธุรกิจอันแสนคุ้นชิน เอาคางวางลงบนสองมือที่ประสานรอง “ผมนี่แหละครับเจ้าของร้านหลิน ผมชื่อหลินเจี๋ย คุณหนูมีอะไรที่ต้องการจากผมเหรอครับ?”
ฟรังก้าเผยรอยยิ้มโล่งใจทันที ร่างของเธอทรุดฮวบด้วยความผ่อนคลาย
เมื่อได้ยินว่ามีลูกค้า โจเซฟก็ออกมาจากห้องใต้ดินและเห็นฟรังก้าซึ่งดูคุ้นตาเข้า ทั้งคู่ดูจะเคยพบกันที่ไหนสักที่ แต่ต่างฝ่ายต่างจำกันไม่ได้เลย
“เจ้าของร้านหลิน ดิฉันซื้อหนังสือของคุณมาจากงานประมูลของคุณจี้จือซู่ค่ะ” ฟรังก้ารีบหยิบหนังสือ ‘1,000 เมนูอาหารพื้นบ้านคลาสสิก’ ออกมา
สีหน้าของโจเซฟแข็งค้าง…เด็กคนนี้ได้หนังสือนี่ไปเหรอ?
โจเซฟเห็นคำว่า ‘สังเวยโลเลือด’ ใหญ่โตอลังการซึ่งเขียนอยู่บนหน้าปกอย่างชัดเจน
“แต่หนังสือเล่มนี้เป็นตำราอาหารพื้นบ้าน ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจวิธีการส่วนใหญ่ในนี้เลยค่ะ” ฟรังก้ากล่าวพลางปาดเหงื่อ
โจเซฟเกิดความสงสัย
“เป็นเรื่องปกติที่คุณจะไม่เข้าใจหนังสือเล่มนี้ครับ สภาพอาหารการกินของนอร์ซินล้าหลังจริง ๆ ผมบอกคุณเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้ยาว ๆ เลยล่ะ”
“ขอบคุณค่ะ เจ้าของร้านหลิน” ดวงตาของฟรังก้าทอประกาย เผยรอยยิ้มน่ารักออกมา
“จะว่าไป มีจดหมายถึงคุณจากคุณแม่ของดิฉันด้วยค่ะ” ฟรังก้ารีบส่งจดหมายให้กับหลินเจี๋ย
ทันทีที่หลินเจี๋ยเห็นจดหมายฉบับนั้น ปลายนิ้วของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย…แม้ว่าเขาจะตระหนักถึงบางสิ่งอยู่แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาของมัน ความรู้สึกในฐานะคน ๆ หนึ่งของเขาก็ยังมีความรู้สึกอยากหนีโดยไม่รู้ตัวอยู่ดี
เขารับจดหมายมาอย่างสุภาพ เงามืดไต่ขึ้นมาบนผิวซองในสายตา อีเธอร์ในแดนนิมิตพลุ่งพล่าน และอำนาจทรงพลังก็ปะทุออกมา ทำให้เขาเห็นสตรีผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ในพริบตา
เธอเป็นผู้หญิงซึ่งดูมีอายุเล็กน้อย แต่ก็มีเค้าโครงใบหน้าที่คุ้นเคย ดูคล้ายผู้อำนวยการต้วนจากสถาบันโบราณคดีเสินตูซึ่งเคยมางานศพพ่อของเขาเล็กน้อย
หลินเจี๋ยเงียบอยู่นาน จนในที่สุดก็เปิดจดหมายออกอ่าน…
‘…สวัสดีเพื่อนร่วมชาติ ถ้าคุณอ่านจดหมายฉบับนี้ออก งั้นเราก็อาจจะมาจากที่เดียวกันก็ได้
ชื่อของฉันคือต้วนเสวหมิ่น ไม่รู้ว่าคุณมายังโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้ด้วยวิธีการเดียวกับฉันหรือเปล่า? และฉันก็ไม่รู้ว่าคุณจะห่วงสถานการณ์ในบ้านเกิด อยากกลับบ้านตลอดเวลาเหมือนฉันด้วยหรือเปล่า?
ฉันไม่รู้กระทั่งว่า ฉันจะยังมีชีวิตต่อไปได้หรือเปล่า แต่ฉันต้องบอกคุณถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตฉัน…’
หลินเจี๋ยหลุบตาลงอ่านอักษรอันคุ้นตาและชื่อของเธอบนจดหมายอย่างระมัดระวัง
‘ต้วนเสวหมิ่น’
บุคคลผู้ปรากฏในบันทึกของพ่อของเขาและสุ่ยเสียงตง พี่สาวที่รักของผู้อำนวยการสถาบันโบราณคดีเสินตู ซึ่งเขารู้จักก่อนจะย้ายโลกมาไม่เคยเสียชีวิต
เธอรอดตาย และ…คาดว่าคงจะได้เห็นการเกิดของเขาเองด้วย
‘…หลังจากทีมสำรวจของเราเข้าประตูนั่น ฉันก็รู้ว่าเราถูกเทพปีศาจควบคุมแล้ว พลังอันทรงอำนาจที่ปีศาจนั่นครอบครองเป็นสิ่งที่เราไม่มีวันรู้และเข้าใจ ซึ่งเรียกได้เพียงว่าเป็นพลังของเทพเจ้า และพวกเราก็กลายมาเป็นตัวหมากสุดท้ายบนกระดานของเขา วังมโหฬารนั่นคือครรภ์เทพนอกรีต…
เพื่อนร่วมทีมของฉันกินกันเอง เดินทางไปยังรังแห่งสุดท้ายของเทพปีศาจโดยไร้จุดมุ่งหมาย โปรดยกโทษให้พวกเขาด้วย พวกเขาก็แค่ถูกเทพปีศาจบงการอยู่…ฉันคุ้นเคยกับอุปนิสัยอ่อนโยนเมตตาของพวกเขาดี พวกเขาไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก
คนที่ถูกเทพปีศาจเลือกคือภรรยาของอาจารย์ฉัน เธอตั้งครรภ์บุตรของเทพปีศาจ ฉันเห็นอาจารย์ของฉัน หลินหมิงไห่แหวกท้องที่บวมเป่งเป็นก้อนของเธอและนำทารกโชกเลือดออกมาด้วยตาตัวเอง
ตอนนั้นฉันก็ใกล้เสียสติเต็มที แต่ฉันก็ยังต้องกลับไปบอกทุกคนเกี่ยวกับเรื่องนี้…
ฉันแอบตามศาสตราจารย์หลินไปอย่างเงียบ ๆ เขานำทางฉันไปที่ประตูบานหนึ่ง ฉันเดินเข้าไปในนั้น แต่ก็พบว่าตัวเองหลุดมาอยู่ในโลกที่แปลกตา และศาสตราจารย์หลินก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไป
ฉันสงสัยว่าศาสตราจารย์หลินและทารกคงจะไปยังโลกบ้านเกิดของฉันแล้ว เมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้น มันอาจจะทำลายโลกก็ได้ เราต้องทำอะไรสักอย่าง
หลังผ่าน ‘ประตู’ นั่นมา มิติและเวลาก็บิดเบือน เป็นแบบนี้ทั้งสองฝั่งโลก
บางที เด็กคนนั้นอาจจะโตขึ้นแล้ว และโลกก็อาจถูกทำลาย บางทีเขาอาจเดินตามการชี้นำของชะตาและกลับมายังโลกที่เรียกว่าอาซีร์นี้
บางที…เด็กคนนั้นอาจเป็นคุณหรือเปล่า? ถ้าเป็นคุณ คุณจะกินฉันไหม?…’