เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 438 แม่มดแห่งพฤกษา
บทที่ 438 : แม่มดแห่งพฤกษา
ผลไม้ใต้มหาพฤกษากลับหัวดูจะดำรงอยู่มาหลายหมื่นปี และเด็กสาวผู้หลับใหลอยู่ด้านในก็เป็นเช่นนั้นมาแสนเนิ่นนาน
เธอคือเสาหลักผู้ค้ำจุนนอร์ซิน ปกป้องนครเหล็กกล้านี้ไว้เสมอมา
บาล ราชาไร้มงกุฏแห่งเขตกลางได้รับภารกิจปกป้องมหาพฤกษาแห่งนี้นับแต่ยังเด็กมาก แต่อันที่จริงมันไม่ได้ต้องการการดูแลอะไรเลย
หลังจากรอคอยหลายพันปี ในที่สุดบาลก็ตระหนักในบทบาทของตนอีกครั้ง บางที…เขาอาจเป็นเพียงกุญแจก็ได้
เขาคือกุญแจปลุกเด็กสาวในผลไม้ แม่มดแห่งพฤกษาฟราซินัส!
แม้ว่าบาลจะบรรลุหน้าที่ แต่เขาก็ไม่เคยใช้กุญแจนี้เลย ทว่าตอนนี้แม่มดแห่งพฤกษากลับกะเทาะเปลือกของตนออกมาเอง?
แม้ว่าบาลจะไม่ใช่คนดี แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกมากมายต่อแม่มดแห่งพฤกษาที่ตนอารักขามาหลายพันปี และที่สำคัญที่สุดคือความกลัว แม่มดผู้ไม่ต้องโกรธก็ทรงพลังเสียจนสามารถสั่นสะเทือนทั่วนอร์ซินได้จากแค่การขยับตัวใกล้ตื่นขึ้นแล้ว
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวประหนึ่งเผชิญหน้ากับมังกร
เขาชี้ทุกคนและตวาด “เจ้าพวกไม่มีสัมมาคารวะ!! ก่อกวนแม่มดแห่งพฤกษาฟราซินัส พวกแกจะต้องชดใช้!!”
ทุกคนมองหน้ากันไปมาอย่างเลิกลั่ก บาลผู้กลัวการลงโทษของแม่มดรีบวิ่งไปยังผลไม้ และหันหลังกลับมากล่าวโทษคนอื่น ๆ แทนแม่มดบรรพกาลทันที
เมลิสซ่ามองผลไม้อย่างอึ้ง ๆ เธอจำรอยยิ้มของเด็กสาวในผลไม้ได้ เธอดูไม่เหมือนคนร้ายเลยสักนิด
แขนขาวออกเขียวเล็กน้อยยื่นออกมาจากในผลไม้ที่ปริแตก ผิวของเธอเรียบลื่นดั่งหยก ทุกผู้ต่างมองการเคลื่อนไหวของเธอตาโต
เธอออกแรงฉีกผลไม้ออก จากนั้นจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง ผิวสีเขียวอ่อนของเธอตัดกับพื้นหลัง และเส้นผมสีเขียวก็ลอยตัวขึ้นเล็กน้อยเหมือนใบไม้ ร่างสมบูรณ์แบบของเธอดูจะเต็มไปด้วยพลังชีวิตดุจพฤกษา
“เทพธิดา…” บาลมองฟราซินัสนิ่งงัน จากนั้นจึงคุกเข่าลงกับพื้นกะทันหัน เสียงเข่าของเขากระทบพื้นดังลั่นจนน่ากลัว ใบหน้าชราวัยของบาลยิ้มอย่างน่าขัน “เทพธิดาตื่นแล้ว!!”
เมื่อทุกคนเห็นการกระทำของบาล พวกเขาก็คุกเข่าลงขานสมญาเทพธิดาในทันที
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของพวกเขา ฟราซินัสก็ลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้า เผยคู่เนตรขาวบริสุทธ์ดุจหิมะ
บาลรู้สึกว่าดวงตาสีขาวคู่นี้ดูคุ้นเคยอย่างยิ่ง และจำได้ว่าฟราซินัสถูกบันทึกในตำราไว้ว่ามีดวงตาสีเขียวคราม แต่เขากลับจำไม่ได้ว่าไปอ่านมาจากไหน ดังนั้นจึงค้อมหัวลงอีกครั้งอย่างนอบน้อม ไม่กล้ามองตาแม่มดตรง ๆ
“คิก!” จู่ ๆ ฟราซินัสก็เปล่งเสียงหัวเราะ เสียงของเธอดูราวสีสันที่ปรากฏขึ้นในทุ่งหิมะอันเงียบงัน
บาลตะลึง
ทว่าจากนั้น เขาก็ได้ยินฟราซินัสโพล่งขึ้นว่า “ที่แท้ มนุษย์เช่นพวกเจ้าก็คุกเข่าก้มหัวให้ต้นไม้จริง ๆ ด้วย!!”
บาลเผลอเงยหน้าขึ้น…
ผิวที่แต่เดิมเป็นสีเขียวอ่อนของแม่มดแห่งพฤกษาเริ่มปรากฏรอยเลือดแดงฉาน ราวกับจู่ ๆ เส้นเลือดนับไม่ถ้วนก็พองตัวหนาขึ้น เปลี่ยนเป็นบางสิ่งที่ดูคล้ายหนอน
“คุณคือ!!”
บาลคำรามลั่น และก่อนคำพูดจะดังครบถ้วน แม่มดก็เผยยิ้ม กิ่งก้านไม้อันหอมหวนไปด้วยกลิ่นแห่งธรรมชาติและผืนดินแปรเปลี่ยนเป็นเส้นหนวดสีเลือดยัดเข้าไปในปากของบาลทันทีที่เขาอ้าปาก
เส้นหนวดสีเลือดเหล่านี้ยึดแน่นกับผิวของเขา คืบคลานสู่หู ตา ปากและรูจมูกทีละนิด
จากองคาพยพบนใบหน้าสู่เครื่องใน สู่สมอง
แม้ว่าบาลจะยังไม่สามารถทำความเข้าใจกฎเกณฑ์และสร้างเขตแดนของตนได้ แต่เขาก็เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับเหนือนภาคนหนึ่งแล้ว
ทว่าตอนนี้ เขากลับกลายเป็นเพียงถุงหนังพอง ๆ ซึ่งบรรจุเลือดเนื้อไว้จนเต็มเท่านั้น และเขาก็ถูกกัดกินจากภายในเสียจนกลวงโบ๋ราวกับอาหารชั้นยอด
ทันทีที่เขาถูกปลดปล่อย บาลก็ร่วงลงไปกองกับพื้น หลงเหลือเพียงกองหนังมนุษย์ว่างเปล่า
สมาชิกสำนักงานกลางกรีดร้อง นี่ไม่ใช่ฟราซินัส แม่มดผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความเมตตาและสละตนเอง
เส้นเลือดใต้ผิวหนังของแม่มดผู้แต่เดิมงดงามพองตัวต่อไป และในที่สุดก็พุ่งออกจากร่างของเธอราวกับฉีกตัวเองแยกจาก
ซากศพอันสมบูรณ์ของแม่มดถูกสัตว์ประหลาดบางตนฉีกเป็นชิ้น ๆ ร่างของเธอถูกกัดกิน และรูกว้างนองเลือดก็เปิดขึ้นเป็นสิบ ๆ แห่ง
ดวงตาของแม่มดเสียการควบคุม กลับสู่สีเขียวครามอีกครั้ง แต่มือของเธอก็ดึงเอาท่อกิ่งไม้หนาที่ท้องของเธอออก เผยให้เห็นรูใหญ่ซึ่งมีเครื่องในทะลักออกมา
มือคู่หนึ่งงอกออกมาฉีกรูใหญ่นั้นออก และในขณะเดียวกันก็ฉีกร่างแม่มดแห่งพฤกษาเป็นสองซีก
พฤกษากลับหัวซึ่งไม่อาจมองเห็นจุดเริ่มจุดจบเปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดที่สร้างจากเลือดเนื้อ
หลังจากมือคู่นั้นฉีกร่างของเธอออก ร่างของมันก็ไม่ได้ปรากฏขึ้น แต่พฤกษากลับหัวทั้งต้นถูกนับว่าเป็นร่างของมัน
สมาชิกสำนักงานกลางซึ่งยังไม่ถึงระดับเหนือนภาต่างตายอนาถคาที่ และพวกที่เหลือก็ประสบเพียงความกลัวและสิ้นหวัง…
วาลเลซ ชายชราผู้มีชีวิตนับพัน ๆ ปีและถูกหลินเจี๋ยสาปปากสั่นหน้าซีด สองขาอ่อนแรงเสียจนพร้อมคุกเข่าลงทุกเมื่อ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้
“ท่าน… ซิลเวอร์”
—
ซอย 23
ในฐานะตัวตนผู้ก่อเกิดจากธาตุแสง มิคาเอลนับได้กระทั่งว่าเป็นร่างอวตารแห่งแสง หรืออีกนัยก็คือ เขาไม่ต่างจากตัวตนที่ถือกำเนิดจากกฎเกณฑ์ระหว่างแม่มดแห่งอัคคีและแม่มดแห่งรัตติกาล หรืออาจนับได้ว่าเป็นเช่นนั้นเลย
ในฐานะตัวตนสูงสุดผู้ควบคุมแสง มิคาเอลทอดทิ้งความฝันของตนไปโดยสมบูรณ์แล้ว ทว่าก่อนหน้านั้น ต่อให้เขาต้องทำลายนอร์ซิน เขาก็จะไม่ปล่อยให้หลินเจี๋ยอยู่เป็นสุข…
มิคาเอลขยายร่างของเขา กลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมและดูดซับแสงจากดวงอาทิตย์ เขามักเรียกตนเองว่าเป็นดวงอาทิตย์ แต่เขาก็ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ที่แท้จริง ทว่าวันนี้ เขากำลังจะลองเปลี่ยนดู
เขาอยากดูดซับแสงทุกเส้นจากดวงอาทิตย์ และทำลายนอร์ซินอย่างราบคาบ
ร่างบวมพองของเขาเปลี่ยนเป็นตัวตนอันสว่างไสวเกินจ้องมอง หลินเจี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาต้องใช้เวลาปรับตัวกับร่างมังกรนี้ ดังนั้นเขาจึงให้เวลาเจ้าหนูไมค์ดูดซับแสงอาทิตย์บ้าง
แต่ก็เกือบหมดเวลาแล้ว…
หลินเจี๋ยหยุดโอ้เอ้ ยกมือขึ้นเล็กน้อย และบังแสงอาทิตย์ในพริบตา
การดูดซับหยุดลงกะทันหัน
ทั่วทั้งนอร์ซินตกสู่ความมืดในทันที
มิคาเอลตะลึงอึ้ง หลินเจี๋ยสามารถบังแสงตะวันทั่วนอร์ซินได้ราวกับปิดฟ้าด้วยหนึ่งมือ
“คุณอยากทำแบบนี้เหรอ?” หลินเจี๋ยยิ้มพลางกล่าวอย่างเฉยเมย “ทำให้นอร์ซินมืดมิดตลอดกาล? น่าเสียดายนะที่ผมก็ทำได้เหมือนกัน ผมทำได้แม้กระทั่งสร้างดวงอาทิตย์อีกดวงเลยล่ะ”
กล่าวจบ หลินเจี๋ยก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น และในขณะเดียวกัน ดวงอาทิตย์อีกดวงก็ก่อเกิดขึ้นข้างตัวเขา
มิคาเอลนิ่งงัน…
“ผมบอกแล้ว คุณคงตายได้แล้วล่ะ” แววตาของหลินเจี๋ยเย็นชาลงกะทันหัน
มิคาเอลกลับสู่ร่างเนื้อด้วยความกลัว นั่งลงกับพื้นโดยไร้ความภาคภูมิในความเป็นทูตสวรรค์แห่งแสงอะไรนั่นสักกระผีก
หลินเจี๋ยมองมิคาเอลผู้ดูจะสูญเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิตไปแล้วตาปริบ ๆ รู้สึกฆ่าไม่ลงชั่วขณะ เพราะเขารู้สึกอย่างหนักหนาเหมือนตนกำลังรังแกเด็ก
เขาเห็นมิคาเอลหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอ้อมแขน เมื่อหลินเจี๋ยมองมัน เขาก็เห็นคำว่า ‘พระคัมภีร์ไบเบิล’ เขียนไว้ที่หน้าปกอย่างชัดเจน และเขาก็รู้ว่ามันมาจากคณะสำรวจของพ่อเขาก่อนหน้านี้ มีใครคนหนึ่งนำ ‘คัมภีร์ไบเบิล’ ของชาวคริสต์ไปที่ราชวังใต้ดินด้วย
กล่าวได้ว่า ‘คัมภีร์ไบเบิล’ เล่มนี้พังชีวิตของมิคาเอลย่อยยับ
มิคาเอลเงยหน้าขึ้นถามอย่างทึ่มทื่อ “เจ้าคือพระเจ้าหรือ?”
หลินเจี๋ยไม่อยากตอบ แต่ก็ยังพูดว่า “เปล่าครับ ของในหนังสือเล่มนั้นไม่มีอยู่จริงเลย อย่างน้อยก็ในอาซีร์”
พูดจบ เขาก็เงื้อมือขึ้นจะฆ่ามิคาเอลผู้นั่งซึมกะทือบนพื้น ทว่าจู่ ๆ ก็สัมผัสถึงคลื่นกระเพื่อมแห่งพลังจากเขตกลางได้…
หลินเจี๋ยหันไปมองอย่างลืมตน และข้อความหนึ่งก็เข้าสู่สมองของเขาทันที
“ซิลเวอร์?”
ภาพและข้อความต่าง ๆ แล่นสู่ใจของหลินเจี๋ยทันทีที่เขาคิด และเห็นสตรีผู้งามจนไร้เหตุผลยืนอยู่ท่ามกลางทุ่มดอกไอริสยามหิมะตก
เธอยังคงงดงามสูงส่งเช่นเคย เส้นผมยาวสีเงินของเธอสยายไปบนมวลบุปผาดั่งไหมซาติน บนศีรษะสวมมงกุฎหนามสีขาว
และดอกไอริสที่หลินเจี๋ยมอบให้เธอก็ยังคงทัดอยู่ที่ใบหู
นี่คือสีสันสดใสอันงดงามที่สุดท่ามกลางหิมะพิสุทธิ์
ดูเหมือนเธอเองก็สัมผัสสายตาของหลินเจี๋ยได้เช่นกัน เธอจึงหันมาโค้งตัวให้หลินเจี๋ยน้อย ๆ ด้วยมารยาทสตรีมนุษย์ซึ่งหลินเจี๋ยชื่นชอบมาก คู่เนตรสีขาวอันคุ้นตาเป็นดุจพลอยสีขาว มุมปากของเธอยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพราวเสน่ห์
—