เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 439 ซิลเวอร์
บทที่ 439 : ซิลเวอร์
ซิลเวอร์ฉีกเปลือกของแม่มดแห่งพฤกษาออกราวกับผีเสื้อแหวกรังไหม จากนั้นก็เปลี่ยนมหาพฤกษากลับหัวทั้งต้นเป็นร่างของเธอเอง
พวกวาลเวซซึ่งอยู่ใต้มหาพฤกษามองขึ้นมายังแม่มดบรรพกาลผู้แข็งแกร่งที่สุด เธอคือนักบุญผู้ปกป้องเหล่าสรรพสิ่งในตำนาน เพียงแค่มองก็ทำให้วาลเลซลืมหายใจ รู้สึกเหมือนเข้าใกล้ความตาย
ความรู้สึกนี้ เรารู้สึกล่าสุดก็เมื่อตอนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเทพปีศาจเมื่อพันปีก่อน
มหาพฤกษาซึ่งเดิมหอมหวนและเป็นสีเขียวมรกต ตอนนี้กลายเป็นเหมือนเสาซึ่งสร้างจากเลือดเนื้อ เส้นเลือดหนาที่ใจกลางยังคงเต้นตุบ สูบฉีดโลหิตแดงฉานไปทั่ว
เมลิสซ่าเบิกตากว้าง เห็นว่าเถาวัลย์กิ่งไม้ซึ่งพันธนาการเธออยู่เปลี่ยนไปเป็นเส้นหนวดสีเลือดยุ่บยั่บ ใบหน้าของเมลิสซ่าถอดสีด้วยความกลัว เธอเงยหน้าขึ้นมองเลือดเนื้อที่ขยับยุกยิกสลับกับกองเปลือกร่างของแม่มดแห่งพฤกษา
ก้อนเลือดเนื้อดูจะสังเกตเห็นสายตาของเธอ และค่อย ๆ ก่อเกิดศีรษะงดงามขึ้นมา ใบหน้าและดวงตาสีขาวดูงดงามเกินธรรมดา แต่ก็โหดร้ายเกินบรรยายเช่นกัน
เมลิสซ่ากลืนน้ำลายเอื๊อก ทุกคนต่างมองก้อนเลือดเนื้ออย่างกระวนกระวายราวได้ยินเสียงหัวใจตนเอง
ร่างเต็มตัวของหญิงสาวผู้หนึ่งค่อย ๆ ผุดขึ้นจากกองเลือดเนื้อ เธอสวมกระโปรงสีขาวซึ่งขับเน้นส่วนโค้งเว้าดุจหิมะของเธอ และเรือนผมสีเงินก็งดงามดั่งแสงจันทร์
เธอประคองดอกไอริสที่ทัดหู ทุกการเคลื่อนไหวดูสง่างามสูงส่ง
“ร่างนี้คงดูรับได้มากกว่าสำหรับเจ้าและเจ้าของร้านหลินหรือไม่? นี่คือร่างที่ข้าใช้ยามอยู่ในแดนนิมิตจริง ๆ”
ใบหน้าของซิลเวอร์ซึ่งหันไปมองเมลิสซ่างดงามดั่งดวงจันทร์สีเงิน
ใบหน้างดงามของเธอดูเกินธรรมชาติ เกือบดูไม่เหมือนสิ่งใด ๆ ที่มีตัวตนบนโลก สะดุดตายิ่งกว่าดอกไอริสที่ข้างหูเสียอีก
เมลิสซ่าอ้าปากอย่างไม่คาดฝัน ใช้เวลานานเอาการกว่าจะหาเสียงตนเองเจอ และจากนั้นจึงกล่าวอย่างลังเล “ค…ค่ะ…”
สิ่งที่มูเอนกล่าวกับแม่มดแห่งพฤกษา ปลุกแม่มดแห่งพฤกษาให้ตื่น และในขณะเดียวกันก็ปลุกซิลเวอร์ด้วย
ซิลเวอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันหลังกลับ พลังอันแข็งแกร่งที่คุ้นเคยจากแดนนิมิตทำให้เธอสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของหลินเจี๋ยได้
เธอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงเดินไปในทิศทางที่หลินเจี๋ยอยู่ด้วยกิริยาดุจหญิงสูงศักดิ์
จากนั้น เธอก็หันไปมองเหล่าสมาชิกของสำนักงานกลางผู้แตกตื่นลนลาน
“เกือบถึงเวลาแล้ว…ดูเหมือนทางที่ข้าเลือกจะถูกต้อง” ซิลเวอร์กุมขมับ แสร้งทำเหมือนปวดหัว ทว่ามุมปากของเธอกลับยกขึ้นเล็กน้อย
วัลเพอร์กิส ไลฟ์ และฟราซินัส สหายเก่าแก่ของเธอล้วนตายไม่เหลือ
มีเพียงซิลเวอร์ผู้เลือกเชื่อใจหลินเจี๋ย
ตั้งแต่ยุคที่สอง ดวงดาวหลงทิศจากจักรวาลไร้สิ้นสุด…หรือก็คือหลินเจี๋ยได้มาถึงอาซีร์ และซิลเวอร์ก็ตระหนักนับแต่ตอนนั้นว่า ไม่ว่าตัวเธอหรือแม่มดบรรพกาลอีกสามตนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของดวงดาวหลงทิศนี้
บางทีเขาอาจจะแค่เหนื่อยล้า และต้องการเวลาเพียงครู่หนึ่งก่อนจะจากไป ดังนั้นซิลเวอร์จึงเลือกส่งข้ารับใช้ทั้งหมดของเธอสู่แดนนิมิตเพื่อเสี่ยงหายนะนี้
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนมีความสุข เพราะซิลเวอร์ไม่ใช่ที่นิยมของทั้งมนุษย์และสหายแม่มดของเธอ เธออยากจะบอกความคิดของตนต่อทุกคน แต่กลับได้เพียงคำแดกดันและความกลัวกลับมา…
และเทพปีศาจนี้ก็ไร้เจตนาจากจร
ซิลเวอร์พอจะเดาได้ลาง ๆ ว่าเขากำลังบ่มเพาะอัตตาของตนเอง ดังนั้นพื้นที่ใต้ดินทั้งหมดของอาซีร์จึงเปลี่ยนเป็นครรภ์ขนาดมโหฬารราวกับรอบางสิ่งบางอย่างอยู่
หากเขามีสติ เขาอาจจะสื่อสารได้ และอาจจะมอบโอกาสบางอย่างให้ก็ได้ ไม่อย่างนั้น อาซีร์คงทำได้เพียงนับถอยหลังรอวันพินาศ
ซิลเวอร์ไม่กลัวความพินาศ เธอเป็นแม่มดผู้ไม่ได้เกี่ยวพันกับชีวิต แต่ตรงข้าม ชีวิตของเธออยู่ใกล้ความตาย
การรอคอยเช่นนี้ช่างหงอยเหงาไม่น่าอภิรมย์ จนกระทั่งคน ๆ นั้นมายังแดนนิมิตของเธอ
ดังนั้น เหตุผลที่ซิลเวอร์เสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวตนของดวงดาวหลงทิศนั่นก็เพราะ…เธอแตะดอกไอริสที่ทัดข้างหูและยิ้มอย่างอดไม่ได้
ตอนนี้ พื้นที่ใต้ดินที่เทพปีศาจสร้างขึ้นกลายไปเป็นเมืองเขตล่าง และเทพปีศาจก็ให้กำเนิดอัตตาผู้ใช้นามหลินเจี๋ย
หลินเจี๋ย…ซิลเวอร์ท่องนามนั้นในใจ
ซิลเวอร์ปรือแพขนตาสีเงินขาวดุจกิ่งสนท่ามกลางหิมะของเธอลงมองกลุ่มคนเบื้องล่างผู้กุมหัวดิ้นพล่านอย่างไร้ปรานี มุมปากที่ยกขึ้นของเธอกดต่ำลง และกล่าวว่า…
“ข้าเห็นเรื่องทั้งหมดแล้ว หากพวกเจ้ากล้าเป็นศัตรูกับเจ้าของร้านหลินอันเป็นที่เคารพรักของข้า พวกเจ้าจะได้ไปยังสถานที่อันมิใช่ของคนเป็นเป็นแน่”
วาลเลซเบิกตากว้าง ร่างสั่นเทิ้ม…
ซิลเวอร์เป็นเพื่อนของหลินเจี๋ยเหรอ?…ไม่สิ จากคำบรรยายหลินเจี๋ยจากปากเธอ เธอแค่หลงเขาเข้าเต็มเปาต่างหาก
วาลเลซถูกหลินเจี๋ยครอบงำให้แปดเปื้อนในขณะที่เขาอยู่ในระดับภัยพิบัติ แต่นั่นก็บ่มเพาะเจตจำนงของเขาให้กล้าแข็ง ฆ่าไม่ตายดุจแมลงสาบด้วย
เขาฉวยโอกาสที่บุคคลระดับเหนือนภาสองสามคนของสำนักงานกลางโหยหวนดึงความสนใจของซิลเวอร์ ปลดปล่อยเหล่าคนตายอย่างเงียบ ๆ และเตรียมแผนจั๊กจั่นลอกคราบหนีไปเนียน ๆ
“วาลเลซ!”
เมลิสซ่าจ้องวาลเลซตาถลน กัดริมฝีปากจนห้อเลือด อยากจะกลืนกินเจ้าคนชั่วน่ารังเกียจซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องบูชาจากคนนับพัน แต่เนื้อแท้กลับน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าแมลงสาบนี้นัก
ซิลเวอร์เหลือบมองเมลิสซ่า แม้ว่าเธอจะหลับไหลในแดนนิมิตมาตลอด แต่เธอก็เป็นตัวตนที่เกือบจะแข็งแกร่งทุกทางในโลกจริง ดังนั้นเธอจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับเมลิสซ่าด้วยเช่นกัน
“ข้าเกลียดมนุษย์ และพวกเขาเป็นฝ่ายเกลียดข้าก่อน” ซิลเวอร์กล่าวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “แต่บางครั้ง จิตวิญญาณของพวกเขาก็ช่างน่าหลงใหล”
“เกรงว่านี่คงเป็นสิ่งที่สหายของข้าให้ความชื่นชมกระมัง?”
ซิลเวอร์กล่าวเบา ๆ “ดูเหมือนเจ้าของร้านหลินจะชื่นชอบตัวตนของเขาในฐานะมนุษย์ และดูเหมือนข้าคงต้องพยายามชอบมันเช่นกัน”
“งั้นเริ่มที่เจ้าแล้วกัน สาวน้อย” ซิลเวอร์ยิ้ม โบกมือของเธออย่างนุ่มนวล ปลดปล่อยเส้นหนวดที่รัดพันเธอไว้ และเมลิสซ่าก็ทะยานดุจเปลวเพลิงไปล้างแค้นให้พ่อแม่ของเธอในทันที
เมื่อเห็นเมลิสซ่าวิ่งไล่ตามวาลเลซไป ดวงตาของซิลเวอร์ก็ทอดมองสมาชิกคนอื่น ๆ ในระดับเหนือนภา กล่าวอย่างเฉยเมย
“แล้วพวกเจ้าเล่า?”
“แม่มดแห่งพฤกษา เทพธิดาของเรา…ถูกปีศาจของแกฆ่าไปแล้วเหรอ?” อากาเรส หนึ่งในบุคคลระดับเหนือนภาในสำนักงานกลางสร้างดาบน้ำขึ้นด้วยมือของเขา และพุ่งเข้าใส่ซิลเวอร์ในพริบตาถัดมา
แม้ว่าซิลเวอร์จะมีชีวิตยาวนานและมีความคิดลึกซึ้งอย่างแม่มด ในฐานะมนุษย์ เขาก็ยังดูเรียบง่ายตรงไปตรงมา
ซิลเวอร์หัวเราะคิก และเส้นหนวดเบื้องหลังเขาก็เป็นดุจเถาวัลย์รัดพันอากาเรสไว้แน่นราวจะคั้นเลือดในชั่ววินาที
จำนวนของเส้นหนวดเหล่านั้นน่าตกใจ พวกมันรัดตัวอากาเรสจนเป็นลูกบอล และทุกคนก็มองลูกบอลนั้นอย่างสิ้นหวัง
แควก!
เส้นหนวดคลายตัวลงกะทันหัน ทว่าพวกเขากลับไม่เห็นแขนขาคุ้นตาหักแหลก แต่เป็นสายลมซึ่งพัดโชยบางสิ่งคล้ายหิมะเอื่อยเฉื่อย…
เถ้าธุลี…
เถ้าละเอียดดุจหิมะโปรยปรายชิ้นแล้วชิ้นเล่า ทำให้ซิลเวอร์ดูงดงามยิ่งกว่าเก่า
เหล่าทายาทผู้ดีในสำนักงานกลางต่างกรีดร้องอย่างหวาดกลัว กระเสือกกระสนพยายามหนี ทว่าพวกเขาก็ได้เห็นเปลวเพลิงระเบิดออกจากไกล ๆ พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องของวาลเลซ
ซิลเวอร์ไม่ชอบชิ้นส่วนอันกระจัดกระจาย และมักจะกินเหยื่อของเธออย่างหมดจรด เปลี่ยนมันเป็นเถ้าถ่านอันส่องประกายเจือจาง ปลิดปลิวโปรยปรายจากฟ้า
เธอยิ้มบาง ๆ รักษาความสง่างามอยู่เสมอ และประตูบานยักษ์ก็ปรากฏขึ้นหลังเหล่าผู้ดี ซึ่งก็คือประตูสู่แดนนิมิต
ประตูอันเสื่อมโทรมเปราะบางกำลังพังทลายราวกับสัตว์มายานับไม่ถ้วนเบื้องหลังมันกำลังโจมตี มันสามารถพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
“ตามสัญญานะ เด็ก ๆ ของข้า ออกมาเถอะ…”
รอยยิ้มของซิลเวอร์กว้างขึ้น เธอโบกมืออย่างนุ่มนวล และประตูก็เปิดออก ฝูงสัตว์มายาซึ่งน้ำลายไหลเป็นทาง สัตว์มายาอันดูเหมือนเงา และสัตว์มายาอันพิลึกพิศดารน่าหวาดกลัวทุกประเภทเกินจินตนาการ…ก็พุ่งออกมา
สัตว์มายาเหล่านี้ แต่ละตนแทบจะมีพลังอยู่ในระดับเหนือนภาที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่อาจไขว่คว้าได้ตลอดชีวิต
เสียงหัวเราะของซิลเวอร์ดังชัดขึ้น เธอดูมีความสุขเป็นพิเศษ
เธอไม่ได้หัวเราะจากการเข่นฆ่ามนุษย์ แต่เป็นเพราะว่าเธอรู้สึกว่าตนไม่ต้องอาศัยในแดนนิมิตอันโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว เธอจึงดีใจมาก ๆ
เจ้าของร้านหลินพูดถูก บางทีข้าอาจจะชอบโลกใบนี้ก็ได้
“ซิลเวอร์…”
เสียงอันคุ้นหูลอยมากระทบโสตประสาทจากไกลแสนไกล เสียงหัวเราะของซิลเวอร์หยุดลงกะทันหัน ดวงตาของเธอเจือประกายกังวลเล็กน้อย เธอจำได้ว่าหลินเจี๋ยดูจะใกล้ชิดกับมนุษย์
“เจ้าของร้านหลิน…” ซิลเวอร์ตอบกลับเสียงต่ำ
“อย่าห่วงเลยครับซิลเวอร์” ไม่มีสิ่งใดหลบสายตาของหลินเจี๋ยไปได้ แม้แต่ความเคลือบแคลงของซิลเวอร์ เขากล่าวว่า “มนุษย์พวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบหรอก”
“ผมเป็นห่วงคุณมากกว่านะ” หลินเจี๋ยกล่าวช้า ๆ