เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 448 ถลำลึก
บทที่ 448 : ถลำลึก
หลินเจี๋ยอุ้มเร้ดกลับกระท่อม และเธอก็ไม่ตื่นขึ้นอีกเลยจนเช้าวันถัดไป และยังคงร้องไห้จ้าเมื่อนึกถึงยายของเธอขึ้นมาได้
หลินเจี๋ยพูดไม่ออก ดังนั้นเขาจึงลี้มานั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างนอก เมืองเขตล่างไม่มีแสงอาทิตย์ และโคมไฟข้างถนนจากแร่เรืองแสงก็จะสว่างขึ้นเพียงสองชั่วโมงต่อวันเพื่อนำทางเหล่าผู้จัดการ
เนื่องจากอยู่ใต้ดินมาเป็นเวลานาน หนึ่งในวิวัฒนาการหลักของผู้คนในเขตล่างจึงมีการมองเห็นในความมืดเข้ามาเสริม
จนกระทั่งเกือบตีห้าในวันถัดไป เร้ดจึงออกจากกระท่อมด้วยตาบวม ๆ และมองหลินเจี๋ยอย่างไม่คาดฝันมาก
“ทำไมนายยังอยู่นี่ล่ะ?”
หลินเจี๋ยวางหนังสือเล่มหนาลงดังปุ และพูดยิ้ม ๆ ว่า “ผมเป็นตัวประกันของคุณไง”
เขาต้องการคนนำทางจริง ๆ และอยากเห็นมลพิษของเมืองเขตล่างในฐานะมนุษย์ ไม่ใช่ในฐานะเทพเจ้าผู้สร้างมัน
“ฉันจะไปขุดแร่” เร้ดกล่าว “ฉันไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว”
“ผมจะไปกับคุณด้วย”
เร้ดขมวดคิ้วมองหลินเจี๋ย แม้ว่าชายคนนี้จะผอมกว่าผู้อาศัยในเขตล่างมาก แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ชายโตเต็มวัย ดังนั้นเขาก็น่าจะช่วยเธอได้บ้าง
ความเศร้าของเร้ดต่อยายผู้ล่วงลับดูขัดต่อสภาพทั้งหมดของเมืองเขตล่าง
เพราะความตายและเมืองเขตล่างมักจะมาด้วยกันเสมอ
นอกจากกลิ่นของชั้นหิน บรรยากาศที่นี่ยังเหม็นกลิ่นศพคละคลุ้ง บริเวณที่เร้ดอาศัยก็มีสุสานขนาดใหญ่อยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่ายายของเธอจะถูกฝังไว้ที่ไหน แต่คาดว่าพวกผู้จัดการคงโยนร่างของเธอไว้ที่ไหนสักที่
“ขุดแร่กับฉัน แล้วไปหายายของฉันกัน” เร้ดคุ้ยหาพลั่วจากในกระท่อมและชี้หลินเจี๋ย
หลินเจี๋ยพยักหน้า ปรับชุดคลุมและตามไปข้างหลังเร้ด
บุคคลอายุแปดปีขึ้นไปนับได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ในเมืองเขตล่าง อายุเฉลี่ยถึงแค่ยี่สิบห้าปี และสาเหตุการตายส่วนใหญ่มักเป็นการถูกมลพิษบดขยี้ อดตาย หรือทำงานหักโหมต่อเนื่องมากเกินไป
เด็กแปดขวบอย่างเร้ดต้องส่งแร่มีค่าสามชิ้นต่อวัน ซึ่งแทบจะไม่มีทางทำได้ด้วยอายุอย่างเธอ
แต่เมื่อถึงอายุเก้าปี เด็กหญิงต้องส่งแร่มีค่าสี่ชิ้นทุกวัน ในขณะที่เด็กชายต้องส่งวันละหกชิ้น และปริมาณจะทวีคูณเมื่อถึงอายุสิบห้าปีเป็นต้นไป
หลินเจี๋ยเดินไปที่อุโมงค์กับเธอ ใช้ความสามารถดัดแปลงจิตใจคนอย่างเอื่อยเฉื่อย ทำให้เขาปะปนในฝูงชนอย่างง่ายดาย…
เร้ดเบียดตัวเข้าไปหาแร่มีค่า แต่ก็ถูกผลักออกกะทันหัน
เธอพองแก้มเหมือนกบ เส้นหนวดอวบอ้วนดีดไปมาอย่างขุ่นเคือง มุดกลับเข้าไปอีกครั้ง ก่อนจะถูกหลินเจี๋ยยกตัวขึ้น
“ถ้าคุณไม่อยากตายเหมือนยายของคุณ อย่าทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้น” หลินเจี๋ยกล่าวยิ้ม ๆ
เมื่อพูดถึงยาย เร้ดก็เริ่มเม้มปากอีกครั้ง กล้ำกลืนน้ำตาสะอื้น
“ทำไมนายเฉยเมยจัง แย่มากเลย” เร้ดกล่าวอย่างไม่สบายใจ
หลังจากหลินเจี๋ยได้ยินดังนั้น เขาก็เลิกคิ้ว ปล่อยมือของเธอ ปล่อยเร้ดลงพื้นเหมือนแมวเอ๋อ ๆ มองเธอที่อยู่บนพื้นเงียบ ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ก็จริง ผมเย็นชากว่าก่อนมากไปแล้ว”
“บางทีผมอาจคืนชีพยายของคุณก็ได้ และรู้ด้วยว่าผู้คนตายแล้วไปไหนต่อ” หลินเจี๋ยกล่าวกับตนเอง “อย่างนี้นี่เอง…”
“นายคืนชีพยายได้เหรอ?…ถ้าล้อเล่นเรื่องยายของฉันอีก ฉันฆ่านายแน่” เร้ดซึ่งรู้ว่าคนตายคืนชีพไม่ได้ยกพลั่วขึ้นพูดด้วยน้ำตา
หลินเจี๋ยยกมือขึ้นแสดงความบริสุทธิ์ตามนิสัย “ผมได้ยินคนพูดนะว่าวันนี้มีแร่ในพื้นมากกว่าปกติ เราขุดที่นั่นได้”
สีหน้าของเร้ดเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ ผลงานของเธอไม่เหมือนกับสิ่งที่เด็กแปดขวบทั่วไปในเมืองเขตบนทำ “ตอนนี้เราอยู่ที่ชั้นหก และยิ่งลงไปลึก แร่ก็จะยิ่งเยอะ”
“แต่ยายบอกว่า ยิ่งลึกไปใต้ดินมากแค่ไร มลพิษยิ่งหนาแน่น และสัตว์ประหลาดทั้งหลายก็อยู่ใต้ดิน”
“แต่ผมคิดว่าถ้า ‘สัตว์ประหลาด’ พวกนั้นเอาแร่มาให้พวกผู้จัดการ พวกเขาก็คงจะให้อาหารพวกมันอยู่ดี” หลินเจี๋ยลูบคาง พูดตะล่อมเร้ด “ดังนั้นพวกเขาเจรจาได้ ถ้าพวกมันกินคน พวกผู้จัดการคงโดนกินไปแล้ว”
“เหตุผลที่พวกมันไม่กินคนเป็นเพราะแม่มด!” เร้ดแก้คำพูดเสียงดัง “ถ้าพวกมันฆ่าผู้จัดการศักดิ์สิทธิ์ แม่มดแห่งพฤกษาจะลงโทษพวกมัน”
หลินเจี๋ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม่มดแห่งพฤกษาหลับไหลไปนาน ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ดังนั้นที่จริงแล้ว พวกผู้จัดการปกครองเมืองเขตล่างนี้อย่างเงียบ ๆ ต่างหาก
พวกเขาตั้งศาสนาขึ้นมาควบคุมทุกคน
หลินเจี๋ยเหลือบมองพวกผู้ใหญ่ที่ขุดเหมืองอยู่รอบ ๆ และเหลือบไปเห็นสองสามคนกระซิบกัน…
ถึงอย่างไร ผู้คิดกบฏก็ยังมีมากมาย และคาดว่าโบสถ์แห่งโรคระบาดคงเกิดขึ้นจากเหตุนี้
“งั้นถ้าคุณเชื่อในแม่มดแห่งพฤกษา พวกสัตว์ประหลาดก็จะไม่ฆ่าคุณ” หลินเจี๋ยพูดต่อ “หรือคุณไม่เชื่อในแม่มดแห่งพฤกษาล่ะ?”
“นายพูดไร้สาระ!” เร้ดรีบแย้ง
กลยุทธ์พูดจายั่วเย้าของหลินเจี๋ยใช้ได้ผลชะงัดกับเด็กเก้าขวบอย่างเร้ด
เขาเดินตามเร้ดผ่านอุโมงค์นับไม่ถ้วน มุ่งหน้าถลำลึกลงเรื่อย ๆ หน้าดินค่อย ๆ หลวมตัว รอบข้างเหมือนพร้อมจะถล่มได้ทุกที่ทุกเวลา ทว่าพวกผู้จัดการไม่ได้สนใจเรื่องนี้ และคนจากเขตล่างก็จะเป็นเพียงคนบาปไปตลอดกาล
ส่วนบาปอะไรนั่น ส่วนใหญ่มักถูกระบุในหนังสือตำนาน ดูเหมือนว่าบรรพบุรุษจะเคยเป็นพรรคพวกของเทพปีศาจและเคยขโมยผลไม้จากมหาพฤกษาของแม่มดแห่งพฤกษา
คำกล่าวอ้างเหล่านี้เปราะบางเกินไป แต่ในที่อย่างนอร์ซินซึ่งเต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติ เรื่องเหล่านี้ฟังขึ้นอย่างยิ่ง
หลินเจี๋ยรู้ดีกว่าใครว่าคนเหล่านี้มาจากไหน และทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้
นับแต่สมัยสร้างนอร์ซิน การจัดแบ่งชนชั้นก็มีอยู่แล้ว อาณาจักรเอลฟ์ได้รับผลกระทบจากดวงดาวหลงทิศซึ่งมาจากจักรวาลไร้สิ้นสุดสู่อาซีร์และถูกทำลายทันที ส่วนสถานที่จำศีลของดวงดาวหลงทิศก็กลายเป็นร่ำรวยสมบัติทรัพยากร
เพื่อป้องกันไม่ให้ดวงดาวหลงทิศทำร้ายคนของเธอ ซิลเวอร์จึงผนึกอีเธอร์ส่วนใหญ่ของโลกไว้ในแดนนิมิต
แม่มดแห่งอัคคีอ่อนแอ แต่คิดว่าตัวเองปกป้องมนุษย์ได้ จึงสร้างอารยธรรมมนุษย์ขึ้นมา
นั่นคือการก่อเกิดเริ่มต้นของนอร์ซิน หลังจากการตายของแม่มดแห่งอัคคี มนุษย์ก็ไม่ได้รับการปกป้องและต้องการทรัพยากรเพิ่มขึ้น พื้นที่ใต้ดินอันเป็นที่พำนักของเทพปีศาจ จึงเป็นรากฐานการรอดชีวิต
พูดตรง ๆ ก็คือ มนุษย์นั้นอ่อนแอเกินไป
ขณะนั้น เรื่องชนชั้นที่ว่าก็เริ่มผุดขึ้น คนจนไร้สิทธิ์ไร้เสียงถูกไล่จากพื้นดินและเริ่มขุดหาแร่
แม่มดแห่งอัคคีกีดกันมนุษย์ไม่ให้เข้าหาเทพปีศาจอย่างสุดชีวิต แต่มนุษย์ไม่ลังเลที่จะกระโดดเข้าใส่เทพปีศาจ
การกลายพันธุ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก คนจนซึ่งทำเหมืองในเมืองเขตล่างเริ่มแสดงรูปลักษณ์แบบสัตว์ร้าย นั่นคือผิวสีเขียวครามเหมือนจระเข้ในปัจจุบัน เส้นหนวดที่กรามและกรงเล็บ ลิ้นสองแฉกและแขนขาใหญ่โตเป็นต้น…
แต่การกดขี่ก็ยังคงดำเนินต่อ โชคดีที่คนในเมืองเขตบนและเหล่าผู้กลายพันธุ์ในเมืองเขตล่างถูกแยกจากกันโดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่ถูกมองเป็นมนุษย์ แต่เป็นเครื่องมืออย่างม้าหรือวัว และกระทั่งกีดขวางทางผ่าน ซึ่งแต่เดิมเปิดกว้างระหว่างเมืองเขตบนและล่าง เปิดไว้เพียงช่องทางแลกเปลี่ยนทรัพยากรเท่านั้น
มนุษย์เก่งเรื่องนี้เสมอ…หลินเจี๋ยค่อนแคะในใจ แต่เมื่อเขามองลงมาเห็นแผ่นหลังของเร้ดตัวน้อย เขาก็หยุดคำค่อนขอดของตัวเองทันที
หลินเจี๋ยกลายเป็นคนเฉยเมยขึ้นมากจริง ๆ…เขากำหมัดและบอกตนเองว่าอย่าทำแบบนี้
วิธีการใช้กำลังกีดขวางทางเข้าเมืองเขตล่างจากเมืองเขตบนไม่ได้ผล
วันคืนแบบนั้นอยู่ได้ไม่นาน คำลวงกลายเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด พวกเขาใช้นามของแม่มดแห่งพฤกษาสร้าง ‘ทฤษฎีคนบาป’ ขึ้นมาปกครองเมืองเขตล่างอย่างกดขี่
นี่ยังเป็นครั้งเดียวด้วยที่พลังของแม่มดแห่งพฤกษาที่ว่าถูกใช้
มันถูกใช้เพื่อข่มเหงผู้อาศัยในเมืองเขตล่าง
และเพราะการใช้พลังครั้งนี้ บทพิพากษา ‘คนบาปดั้งเดิม’ ก็หยั่งยากในใจของผู้อาศัยในเขตล่างทุกคน ตัดตอนความคิดของพวกเขาไปในเวลาเดียวกัน
หลินเจี๋ยเดินตามเร้ดไปยังบ่อน้ำที่แทบไม่มีคนอย่างเงียบ ๆ
“จากตรงนี้ เราจะไปที่ชั้นห้า สี่ และสาม ได้…” เร้ดว่า เสียงของเธอไม่สะท้อนกลับจากบ่อน้ำ บางทีอาจเป็นเพราะมันลึกเกินไป
แต่กลิ่นเหม็นเกินบรรยายกลับลอยคลุ้งเหมือนเส้นไหมออกมาจากในบ่อ เหมือนปากของสัตว์ร้ายที่อ้ากว้างรอคอย
เร้ดมองปากบ่อน้ำด้วยสีหน้าซับซ้อน หลินเจี๋ยรู้สึกว่าหากเขาไม่ใช้พลังของเทพซึ่งรอบรู้ทุกด้าน เขาคงไม่สามารถเข้าใจความคิดของเด็กคนนี้ได้
“ยิ่งลงไปก็ยิ่งมีแร่เยอะ แต่มลภาวะก็ยิ่งหนาแน่น…” เร้ดขมวดคิ้วพูด
แต่…เราก็ยิ่งเข้าใกล้ตัวเองขึ้นด้วยนะ…หลินเจี๋ยคิดในใจเงียบ ๆ
—
บทที่ 448 : ถลำลึก
หลินเจี๋ยอุ้มเร้ดกลับกระท่อม และเธอก็ไม่ตื่นขึ้นอีกเลยจนเช้าวันถัดไป และยังคงร้องไห้จ้าเมื่อนึกถึงยายของเธอขึ้นมาได้
หลินเจี๋ยพูดไม่ออก ดังนั้นเขาจึงลี้มานั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างนอก เมืองเขตล่างไม่มีแสงอาทิตย์ และโคมไฟข้างถนนจากแร่เรืองแสงก็จะสว่างขึ้นเพียงสองชั่วโมงต่อวันเพื่อนำทางเหล่าผู้จัดการ
เนื่องจากอยู่ใต้ดินมาเป็นเวลานาน หนึ่งในวิวัฒนาการหลักของผู้คนในเขตล่างจึงมีการมองเห็นในความมืดเข้ามาเสริม
จนกระทั่งเกือบตีห้าในวันถัดไป เร้ดจึงออกจากกระท่อมด้วยตาบวม ๆ และมองหลินเจี๋ยอย่างไม่คาดฝันมาก
“ทำไมนายยังอยู่นี่ล่ะ?”
หลินเจี๋ยวางหนังสือเล่มหนาลงดังปุ และพูดยิ้ม ๆ ว่า “ผมเป็นตัวประกันของคุณไง”
เขาต้องการคนนำทางจริง ๆ และอยากเห็นมลพิษของเมืองเขตล่างในฐานะมนุษย์ ไม่ใช่ในฐานะเทพเจ้าผู้สร้างมัน
“ฉันจะไปขุดแร่” เร้ดกล่าว “ฉันไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว”
“ผมจะไปกับคุณด้วย”
เร้ดขมวดคิ้วมองหลินเจี๋ย แม้ว่าชายคนนี้จะผอมกว่าผู้อาศัยในเขตล่างมาก แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ชายโตเต็มวัย ดังนั้นเขาก็น่าจะช่วยเธอได้บ้าง
ความเศร้าของเร้ดต่อยายผู้ล่วงลับดูขัดต่อสภาพทั้งหมดของเมืองเขตล่าง
เพราะความตายและเมืองเขตล่างมักจะมาด้วยกันเสมอ
นอกจากกลิ่นของชั้นหิน บรรยากาศที่นี่ยังเหม็นกลิ่นศพคละคลุ้ง บริเวณที่เร้ดอาศัยก็มีสุสานขนาดใหญ่อยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่ายายของเธอจะถูกฝังไว้ที่ไหน แต่คาดว่าพวกผู้จัดการคงโยนร่างของเธอไว้ที่ไหนสักที่
“ขุดแร่กับฉัน แล้วไปหายายของฉันกัน” เร้ดคุ้ยหาพลั่วจากในกระท่อมและชี้หลินเจี๋ย
หลินเจี๋ยพยักหน้า ปรับชุดคลุมและตามไปข้างหลังเร้ด
บุคคลอายุแปดปีขึ้นไปนับได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ในเมืองเขตล่าง อายุเฉลี่ยถึงแค่ยี่สิบห้าปี และสาเหตุการตายส่วนใหญ่มักเป็นการถูกมลพิษบดขยี้ อดตาย หรือทำงานหักโหมต่อเนื่องมากเกินไป
เด็กแปดขวบอย่างเร้ดต้องส่งแร่มีค่าสามชิ้นต่อวัน ซึ่งแทบจะไม่มีทางทำได้ด้วยอายุอย่างเธอ
แต่เมื่อถึงอายุเก้าปี เด็กหญิงต้องส่งแร่มีค่าสี่ชิ้นทุกวัน ในขณะที่เด็กชายต้องส่งวันละหกชิ้น และปริมาณจะทวีคูณเมื่อถึงอายุสิบห้าปีเป็นต้นไป
หลินเจี๋ยเดินไปที่อุโมงค์กับเธอ ใช้ความสามารถดัดแปลงจิตใจคนอย่างเอื่อยเฉื่อย ทำให้เขาปะปนในฝูงชนอย่างง่ายดาย…
เร้ดเบียดตัวเข้าไปหาแร่มีค่า แต่ก็ถูกผลักออกกะทันหัน
เธอพองแก้มเหมือนกบ เส้นหนวดอวบอ้วนดีดไปมาอย่างขุ่นเคือง มุดกลับเข้าไปอีกครั้ง ก่อนจะถูกหลินเจี๋ยยกตัวขึ้น
“ถ้าคุณไม่อยากตายเหมือนยายของคุณ อย่าทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้น” หลินเจี๋ยกล่าวยิ้ม ๆ
เมื่อพูดถึงยาย เร้ดก็เริ่มเม้มปากอีกครั้ง กล้ำกลืนน้ำตาสะอื้น
“ทำไมนายเฉยเมยจัง แย่มากเลย” เร้ดกล่าวอย่างไม่สบายใจ
หลังจากหลินเจี๋ยได้ยินดังนั้น เขาก็เลิกคิ้ว ปล่อยมือของเธอ ปล่อยเร้ดลงพื้นเหมือนแมวเอ๋อ ๆ มองเธอที่อยู่บนพื้นเงียบ ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ก็จริง ผมเย็นชากว่าก่อนมากไปแล้ว”
“บางทีผมอาจคืนชีพยายของคุณก็ได้ และรู้ด้วยว่าผู้คนตายแล้วไปไหนต่อ” หลินเจี๋ยกล่าวกับตนเอง “อย่างนี้นี่เอง…”
“นายคืนชีพยายได้เหรอ?…ถ้าล้อเล่นเรื่องยายของฉันอีก ฉันฆ่านายแน่” เร้ดซึ่งรู้ว่าคนตายคืนชีพไม่ได้ยกพลั่วขึ้นพูดด้วยน้ำตา
หลินเจี๋ยยกมือขึ้นแสดงความบริสุทธิ์ตามนิสัย “ผมได้ยินคนพูดนะว่าวันนี้มีแร่ในพื้นมากกว่าปกติ เราขุดที่นั่นได้”
สีหน้าของเร้ดเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ ผลงานของเธอไม่เหมือนกับสิ่งที่เด็กแปดขวบทั่วไปในเมืองเขตบนทำ “ตอนนี้เราอยู่ที่ชั้นหก และยิ่งลงไปลึก แร่ก็จะยิ่งเยอะ”
“แต่ยายบอกว่า ยิ่งลึกไปใต้ดินมากแค่ไร มลพิษยิ่งหนาแน่น และสัตว์ประหลาดทั้งหลายก็อยู่ใต้ดิน”
“แต่ผมคิดว่าถ้า ‘สัตว์ประหลาด’ พวกนั้นเอาแร่มาให้พวกผู้จัดการ พวกเขาก็คงจะให้อาหารพวกมันอยู่ดี” หลินเจี๋ยลูบคาง พูดตะล่อมเร้ด “ดังนั้นพวกเขาเจรจาได้ ถ้าพวกมันกินคน พวกผู้จัดการคงโดนกินไปแล้ว”
“เหตุผลที่พวกมันไม่กินคนเป็นเพราะแม่มด!” เร้ดแก้คำพูดเสียงดัง “ถ้าพวกมันฆ่าผู้จัดการศักดิ์สิทธิ์ แม่มดแห่งพฤกษาจะลงโทษพวกมัน”
หลินเจี๋ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม่มดแห่งพฤกษาหลับไหลไปนาน ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ดังนั้นที่จริงแล้ว พวกผู้จัดการปกครองเมืองเขตล่างนี้อย่างเงียบ ๆ ต่างหาก
พวกเขาตั้งศาสนาขึ้นมาควบคุมทุกคน
หลินเจี๋ยเหลือบมองพวกผู้ใหญ่ที่ขุดเหมืองอยู่รอบ ๆ และเหลือบไปเห็นสองสามคนกระซิบกัน…
ถึงอย่างไร ผู้คิดกบฏก็ยังมีมากมาย และคาดว่าโบสถ์แห่งโรคระบาดคงเกิดขึ้นจากเหตุนี้
“งั้นถ้าคุณเชื่อในแม่มดแห่งพฤกษา พวกสัตว์ประหลาดก็จะไม่ฆ่าคุณ” หลินเจี๋ยพูดต่อ “หรือคุณไม่เชื่อในแม่มดแห่งพฤกษาล่ะ?”
“นายพูดไร้สาระ!” เร้ดรีบแย้ง
กลยุทธ์พูดจายั่วเย้าของหลินเจี๋ยใช้ได้ผลชะงัดกับเด็กเก้าขวบอย่างเร้ด
เขาเดินตามเร้ดผ่านอุโมงค์นับไม่ถ้วน มุ่งหน้าถลำลึกลงเรื่อย ๆ หน้าดินค่อย ๆ หลวมตัว รอบข้างเหมือนพร้อมจะถล่มได้ทุกที่ทุกเวลา ทว่าพวกผู้จัดการไม่ได้สนใจเรื่องนี้ และคนจากเขตล่างก็จะเป็นเพียงคนบาปไปตลอดกาล
ส่วนบาปอะไรนั่น ส่วนใหญ่มักถูกระบุในหนังสือตำนาน ดูเหมือนว่าบรรพบุรุษจะเคยเป็นพรรคพวกของเทพปีศาจและเคยขโมยผลไม้จากมหาพฤกษาของแม่มดแห่งพฤกษา
คำกล่าวอ้างเหล่านี้เปราะบางเกินไป แต่ในที่อย่างนอร์ซินซึ่งเต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติ เรื่องเหล่านี้ฟังขึ้นอย่างยิ่ง
หลินเจี๋ยรู้ดีกว่าใครว่าคนเหล่านี้มาจากไหน และทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้
นับแต่สมัยสร้างนอร์ซิน การจัดแบ่งชนชั้นก็มีอยู่แล้ว อาณาจักรเอลฟ์ได้รับผลกระทบจากดวงดาวหลงทิศซึ่งมาจากจักรวาลไร้สิ้นสุดสู่อาซีร์และถูกทำลายทันที ส่วนสถานที่จำศีลของดวงดาวหลงทิศก็กลายเป็นร่ำรวยสมบัติทรัพยากร
เพื่อป้องกันไม่ให้ดวงดาวหลงทิศทำร้ายคนของเธอ ซิลเวอร์จึงผนึกอีเธอร์ส่วนใหญ่ของโลกไว้ในแดนนิมิต
แม่มดแห่งอัคคีอ่อนแอ แต่คิดว่าตัวเองปกป้องมนุษย์ได้ จึงสร้างอารยธรรมมนุษย์ขึ้นมา
นั่นคือการก่อเกิดเริ่มต้นของนอร์ซิน หลังจากการตายของแม่มดแห่งอัคคี มนุษย์ก็ไม่ได้รับการปกป้องและต้องการทรัพยากรเพิ่มขึ้น พื้นที่ใต้ดินอันเป็นที่พำนักของเทพปีศาจ จึงเป็นรากฐานการรอดชีวิต
พูดตรง ๆ ก็คือ มนุษย์นั้นอ่อนแอเกินไป
ขณะนั้น เรื่องชนชั้นที่ว่าก็เริ่มผุดขึ้น คนจนไร้สิทธิ์ไร้เสียงถูกไล่จากพื้นดินและเริ่มขุดหาแร่
แม่มดแห่งอัคคีกีดกันมนุษย์ไม่ให้เข้าหาเทพปีศาจอย่างสุดชีวิต แต่มนุษย์ไม่ลังเลที่จะกระโดดเข้าใส่เทพปีศาจ
การกลายพันธุ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก คนจนซึ่งทำเหมืองในเมืองเขตล่างเริ่มแสดงรูปลักษณ์แบบสัตว์ร้าย นั่นคือผิวสีเขียวครามเหมือนจระเข้ในปัจจุบัน เส้นหนวดที่กรามและกรงเล็บ ลิ้นสองแฉกและแขนขาใหญ่โตเป็นต้น…
แต่การกดขี่ก็ยังคงดำเนินต่อ โชคดีที่คนในเมืองเขตบนและเหล่าผู้กลายพันธุ์ในเมืองเขตล่างถูกแยกจากกันโดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่ถูกมองเป็นมนุษย์ แต่เป็นเครื่องมืออย่างม้าหรือวัว และกระทั่งกีดขวางทางผ่าน ซึ่งแต่เดิมเปิดกว้างระหว่างเมืองเขตบนและล่าง เปิดไว้เพียงช่องทางแลกเปลี่ยนทรัพยากรเท่านั้น
มนุษย์เก่งเรื่องนี้เสมอ…หลินเจี๋ยค่อนแคะในใจ แต่เมื่อเขามองลงมาเห็นแผ่นหลังของเร้ดตัวน้อย เขาก็หยุดคำค่อนขอดของตัวเองทันที
หลินเจี๋ยกลายเป็นคนเฉยเมยขึ้นมากจริง ๆ…เขากำหมัดและบอกตนเองว่าอย่าทำแบบนี้
วิธีการใช้กำลังกีดขวางทางเข้าเมืองเขตล่างจากเมืองเขตบนไม่ได้ผล
วันคืนแบบนั้นอยู่ได้ไม่นาน คำลวงกลายเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด พวกเขาใช้นามของแม่มดแห่งพฤกษาสร้าง ‘ทฤษฎีคนบาป’ ขึ้นมาปกครองเมืองเขตล่างอย่างกดขี่
นี่ยังเป็นครั้งเดียวด้วยที่พลังของแม่มดแห่งพฤกษาที่ว่าถูกใช้
มันถูกใช้เพื่อข่มเหงผู้อาศัยในเมืองเขตล่าง
และเพราะการใช้พลังครั้งนี้ บทพิพากษา ‘คนบาปดั้งเดิม’ ก็หยั่งยากในใจของผู้อาศัยในเขตล่างทุกคน ตัดตอนความคิดของพวกเขาไปในเวลาเดียวกัน
หลินเจี๋ยเดินตามเร้ดไปยังบ่อน้ำที่แทบไม่มีคนอย่างเงียบ ๆ
“จากตรงนี้ เราจะไปที่ชั้นห้า สี่ และสาม ได้…” เร้ดว่า เสียงของเธอไม่สะท้อนกลับจากบ่อน้ำ บางทีอาจเป็นเพราะมันลึกเกินไป
แต่กลิ่นเหม็นเกินบรรยายกลับลอยคลุ้งเหมือนเส้นไหมออกมาจากในบ่อ เหมือนปากของสัตว์ร้ายที่อ้ากว้างรอคอย
เร้ดมองปากบ่อน้ำด้วยสีหน้าซับซ้อน หลินเจี๋ยรู้สึกว่าหากเขาไม่ใช้พลังของเทพซึ่งรอบรู้ทุกด้าน เขาคงไม่สามารถเข้าใจความคิดของเด็กคนนี้ได้
“ยิ่งลงไปก็ยิ่งมีแร่เยอะ แต่มลภาวะก็ยิ่งหนาแน่น…” เร้ดขมวดคิ้วพูด
แต่…เราก็ยิ่งเข้าใกล้ตัวเองขึ้นด้วยนะ…หลินเจี๋ยคิดในใจเงียบ ๆ
—