เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 449 จุดประสงค์ของโบสถ์แห่งโรคระบาด
บทที่ 449 : จุดประสงค์ของโบสถ์แห่งโรคระบาด
บทที่ 449 : จุดประสงค์ของโบสถ์แห่งโรคระบาด
บ่อน้ำอันลึกล้ำกลืนเสียงของเร้ดลงไปจนหมดเหมือนปากของสัตว์ร้ายที่เขมือบได้กระทั่งแสงสว่าง…
เมืองเขตล่างมีทั้งหมดเจ็ดชั้น ยิ่งลงไปลึกยิ่งใกล้ต้นตอมลพิษ บ่อน้ำนี้คือหนึ่งในทางเชื่อมสู่ชั้นล่างลงไป คนสิ้นหวังบางคนลงไปยังชั้นล่างเพื่อขุดแร่ ทว่าผลคือไม่มีใครกลับมาเล่าเรื่อง
เพราะอันตรายนี้เอง คนที่อยู่ใกล้ตัวเขาจึงมีน้อยแสนน้อย
นี่ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่หลินเจี๋ยอ่านความคิดของเร้ดไม่ออกอีกด้วย
แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะแย่งพวกผู้ใหญ่ขุดแร่ตั้งแต่ยังเด็ก แต่มันก็ทำได้ไม่ยาก แค่ได้น้อยกว่าคนอื่นเท่านั้น
เปลี่ยนจากหนึ่งมื้ออาหารต่อวันเป็นหนึ่งมื้อต่อสองวันแทน
ทนไม่ไหว?
งั้นก็กินให้น้อยมื้อลง…แต่เร้ดบวม ๆ นิดหน่อยนะ
กลิ่นสุดจะทนที่สายลมพัดขึ้นมาจากในบ่อน้ำทำให้เร้ดอยากอาเจียน หลุมสีดำสนิทนี้มองไม่เห็นก้นบึ้งเลย หากมองจากไกล ๆ จะเห็นเป็นบ่อน้ำสีดำสนิทซึ่งเชิญชวนผู้คนให้กระโดดลงและดื่มด่ำการร่วงหล่นชั่วนิรันดร์
เจ้าเด็กจ้ำม่ำจ้องมองบ่อน้ำที่เหมือนหุบเหวอยู่นาน…ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีไป
หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว เคืองเสียจนแทบหัวเราะ เร้ดเผ่นกลับบ้านอย่างรีบร้อนเหมือนกวาง และหลินเจี๋ยก็ตามเธอกลับไป
จากนั้น เธอก็ล้วงสร้อยคอโซ่ถูก ๆ ออกมาจากใต้เตียงหิน
“นี่อะไรครับ?” หลินเจี๋ยหันไปมองสร้อย
“นายไม่เคยเห็นมันที่เมืองเขตบนเหรอ?” เร้ดถามอย่างไม่คาดฝัน
หลินเจี๋ยส่ายหน้าตอบปฏิเสธ
“งั้นดูเหมือนเจ้านี่จะเป็นสมบัติจริง ๆ” เร้ดซ่อนมันอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าหลินเจี๋ยจะไม่เคยเห็นสร้อยคอแบบนี้มาก่อน มันถูกเสียจนไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มีพลังพิเศษเพียงน้อยนิด ไม่มีราคาค่างวด เห็นได้ชัดว่าเป็นวัตถุเหนือธรรมชาติซึ่งถูกสร้างทีละเยอะ ๆ
มันเป็นอะไรที่ถึงคนจะทำหาย แต่ก็คงไม่คิดหา
เร้ดพูดเบา ๆ “ยายของฉันให้มา เธอบอกว่านี่คือสมบัติ”
“งั้นนี่ก็คือสิ่งที่เรียกความมั่นใจของคุณได้สินะ?” หลินเจี๋ยลังเล กล่าวว่า “ยายของคุณเป็นสมาชิกของโบสถ์แห่งโรคระบาดใช่ไหม?”
มือของเร้ดที่กำสร้อยบีบตัวแน่นขึ้น
โบสถ์แห่งโรคระบาดไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งที่ใต้ดิน แต่ห้ามไปก็เท่านั้น
เจ้าหน้าที่รู้ดีถึงการมีอยู่ของโบสถ์แห่งโรคระบาดซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากการปฏิวัติเมืองเขตล่างครั้งก่อน
“ที่มั่นหลักของโบสถ์แห่งโรคระบาดอยู่ไหนครับ?” หลินเจี๋ยถามต่อ
เร้ดมองขึ้นมาที่หลินเจี๋ย เขาเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอมาสองสามวันแล้ว เร้ดคิดด้วยสัญชาตญาณว่าหลินเจี๋ยไม่ใช่คนร้าย แต่เป็นผู้ใหญ่ตัวจริง
ในความประทับใจของเธอ ผู้ใหญ่ทุกคนนอกจากยายไม่ใช่คนดี
ยายของเธอเคยบอกว่าในเมืองเขตบน ผู้คนจะเป็นผู้ใหญ่ได้ก็ต่อเมื่ออายุเกินยี่สิบปี และเร้ดก็ควรเป็นเช่นนั้น
เพราะพวกเรามาจากเมืองเขตบน และไม่ช้าก็เร็วก็จะกลับสู่บ้านเกิด… นี่คือคำพูดเดิมของยายเธอ
ดังนั้นยายจึงมักถ่ายทอดหลักการและมุมมองของเธอให้เร้ดฟัง นั่นคือเร้ดต้องเป็นแค่เด็กผู้สะอาดบริสุทธิ์และไม่แปดเปื้อน
เร้ดเห็นด้วยว่าจะไม่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ไม่เข้าร่วมกับโบสถ์แห่งโรคระบาดหรือใครที่ไหนจากเมืองเขตบน
เธอเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น
“ยายมักจะไปชั้นสาม” เร้ดพูดปนสะอื้น
ไม่ว่าอย่างไร ยายของเธอก็ตายไปแล้ว จะเปิดเผยฐานะของเธอไปก็เท่านั้น
“งั้นคุณก็เลยอยากไปชั้นสามเหมือนกันสินะ?”
“อืม ที่ตั้งหลักของโบสถ์แห่งโรคระบาดอยู่ที่ชั้นสาม ยายของฉันแก่มากแล้ว คนจากโบสถ์แห่งโรคระบาดให้อาหารแก่ยายของฉัน แต่ว่าช่วงนี้เกิดเหตุการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้กับโบสถ์แห่งโรคระบาด…”
“เหตุการณ์อะไรเหรอ?” หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว
“พระเจ้าที่โบสถ์แห่งโรคระบาด จู่ ๆ ก็ตื่นจากจำศีล ตอนที่เขาตื่นขึ้นก็ให้หนังสือชื่อ ‘นิมิตโกลาหล’ กับโบสถ์แห่งโรคระบาดมาหนึ่งเล่ม ผู้นำโบสถ์กับยายเถียงกันเรื่องการตีความหนังสือ เธอเลยออกจากโบสถ์”
“แค่ก ๆ…” หลินเจี๋ยไอสองสามทีเมื่อได้ยินดังนั้นเพื่อกลบเกลื่อนความเขินของตนเอง
“ความฝันของโบสถ์แห่งโรคระบาดคือการออกจากเมืองเขตล่างไปตอบโต้เมืองเขตบน…นี่ก็เป็นความฝันของยายฉันด้วย แต่ยายไม่ต้องการโจมตีตอบโต้เมืองเขตบน เธอแค่อยากกลับบ้านเกิดเท่านั้น”
เร้ดไม่สนใจความเก้อเขินของหลินเจี๋ย และกระซิบต่อ “กระทั่งคนจากเมืองเขตบนยังรู้จุดประสงค์ของโบสถ์แห่งโรคระบาด แต่พวกเขาหยุดมันไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่กล้าลงมาลึก ๆ”
“ชั้นสี่เป็นต้นไป ขนาดแม่มดแห่งพฤกษายังหยั่งรากไม่ถึง” เร้ดลุกขึ้นจากพื้นช้า ๆ กำสร้อยไว้ในมือ และกล่าวอย่างกลัว ๆ เล็กน้อย “เพราะส่วนลึกที่สุดของเมืองเขตล่างคือสถานที่จำศีลของพระเจ้า”
หลินเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถามต่อ
“จะว่าไป โบสถ์แห่งโรคระบาดคือผู้นำการต่อต้านในเขตล่างนี่ครับ”
เร้ดเม้มปากราวกับตัดสินใจได้ และส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ใช่หรอก ก็แค่สุนัขรับใช้เทพปีศาจเท่านั้นแหละ!!”
“พวกเขาคิดว่าโอกาสที่หมอกสีเทาให้เรามาคือของขวัญจากเทพปีศาจ สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่การกลับสู่บ้านเกิด แต่เป็นการแก้แค้นผู้คนที่เขตบนต่างหาก”
“ในสายตาพวกเขา เมื่อเทพปีศาจตื่นขึ้น ทุกอย่างจะถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นเมืองเขตล่างหรือบน แต่พวกเขาไม่กลัว แถมยังคิดว่าการทำลายล้างของเทพปีศาจเป็นพระกรุณาอีก”
“เพราะงั้น ฉันเลยไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ไม่ว่าจะอยู่ในเขตบนหรือล่างก็ไม่ใช่คนดีทั้งนั้น” เร้ดก้มหน้าลง น้ำตาคลอเบ้า “ไม่มีทางรอดสำหรับคนในเมืองเขตล่างเลย”
หลินเจี๋ยมองหัวของเร้ด “อย่างนี้นี่เอง เทพปีศาจนั่นจะมีความฝันมากมายระหว่างจำศีล ความฝันประหลาดพวกนั้นคือที่มาของหมอกสีเทา ยิ่งใกล้เขาแค่ไหน รูปร่างความคิดต่าง ๆ ยิ่งเข้าใกล้เขามากขึ้นเท่านั้น”
“และทั้งหมดนี้ก็แค่เพื่อก่ออัตตาของตัวเองขึ้นมา” หลินเจี๋ยว่า “เขาไม่อยากกระทั่งจะทำร้ายใครเลย ถ้าเขาตื่นขึ้นก็คงได้เวลาให้สติของเขากลับเข้าร่างแล้ว…”
“งั้นฉันก็คงจะตายลงตอนที่สติของเขากลับสู่ร่าง” เร้ดตกใจกลัวจนคู้ตัวลงกอดเข่า
หลินเจี๋ยถอนหายใจถาม “งั้นคุณคิดว่าผมเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า?”
เร้ดไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ หลินเจี๋ยจึงถามออกมาแบบนี้ เธอเงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มอบอุ่นของหลินเจี๋ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ และย้ำเตือนตัวเองถึงตำนานดวงอาทิตย์ที่ยายของเธอเคยเล่าให้ฟัง
เร้ดสูดจมูก ส่ายหน้าของเธออย่างหนักแน่น
หลินเจี๋ยรู้สึกโล่งใจด้วยเหตุผลบางประการ ตอบว่า “ไปขุดหินกันเถอะครับ”
ไม่ว่าอย่างไร ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อ ผู้คนจึงคว้าอุปกรณ์ขึ้นมาเริ่มทำเหมืองด้วยความฝันที่สักวันจะหวนคืนสู่บ้านเกิด
เร้ดกำสร้อยคอสีออกเขียวมรกตมาที่บ่อน้ำซึ่งนำไปสู่ชั้นลึกลงไปอีกครั้ง และเธอกับหลินเจี๋ยก็เดินลงบันใดบ่อน้ำไปช้า ๆ
ที่ชั้นห้า พวกเขาไม่ได้เห็นแสงสว่างนานขนาดสองชั่วโมงต่อวัน คนที่นี่มีความสามารถมองเห็นในความมืดที่ดีกว่าอย่างชัดเจน ม่านตาเส้นขีดสีทองและใบหน้าที่บิดเบี้ยวเกือบทำให้เร้ดรู้สึกพะอืดพะอม
หากเร้ดไม่สามารถมองเห็นได้ที่นี่เลยก็ยังนับว่ามีเหตุผล แต่ดูเหมือนเธอจะพัฒนาความสามารถในการมองเห็นในที่มืดซึ่งแข็งแกร่งกว่าคนอื่นได้
ทว่าโชคร้าย แร่ที่ชั้นหกไม่ได้ช่วยอะไรกับชีวิตเร้ดมากนัก
หลินเจี๋ยชี้บ่อน้ำซึ่งดูจะมืดดำกว่าพื้นที่รอบข้างเสียอีก กล่าวว่า “ไปดูกันเถอะ”
เร้ดกำสร้อยมนตราในมือและพยักหน้า
หลินเจี๋ยเหลือบมองเครื่องประดับถูก ๆ ทั่วไปและดีดนิ้วอย่างเงียบ ๆ ทำให้มันเริ่มเรืองแสงสีเขียว เจิดจ้าเกือบทิ่มตาเร้ด