เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 452 ความฝัน
บทที่ 452 : ความฝัน
บทที่ 452 : ความฝัน
ในอุโมงค์นี้มีเด็กหน้าตาแบบเดียวกับเร้ดอยู่มากมายจนพอเดาได้ว่าพวกเขาต่างเกิดในอุโมงค์หมายเลขสามสิบสอง แค่จากการมองหน้า
ในอุโมงค์ดังกล่าวมีแร่สีแดงแจกจ่ายมากมาย แร่เหล่านี้คือหนึ่งในแร่ราคาถูกที่สุดในเมืองเขตล่าง ขุดหาได้ง่ายและมีประโยชน์น้อย การใช้งานเดียวของมันคือการกินเข้าไปชั่วคราว
สิ่งที่เรียกว่า ‘กินเข้าไปชั่วคราว’ นี้หมายความเพียงว่าหลังจากกินเข้าไป พวกเขาจะยังไม่ตายทันที เพราะถึงอย่างไร ของอย่างหินแร่ก็ไม่สามารถถูกย่อยในกระเพาะได้เลย และมันจะไปย่อยกระเพาะเสียแทน
แต่แร่สีแดงไม่ได้ทำอย่างนั้น ทันทีที่มันสัมผัสน้ำย่อย มันจะละลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและสะสมในกระเพาะ ทำให้ผู้คนรู้สึกอิ่ม แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันจะไม่สามารถย่อยสลายและฆ่าพวกเขา
ถ้ากินแร่สีแดงเป็นเวลานาน ลูกหลานของคน ๆ นั้นจะมีตัวสีแดงเหมือนกับเร้ด
เมื่อเร้ดนำแร่ที่ส่องประกายเหมือนกับอยู่ใต้น้ำสีน้ำเงินครามซึ่งได้จากการสำรวจชั้นสี่ไปยังจุดแลกเปลี่ยน ทุกคนต่างตกตะลึง แร่แซฟไฟร์สีน้ำเงินหายไปจากชั้นห้า หก และเจ็ดหมดแล้ว และพลังงานของแร่ชิ้นนี้สามารถเป็นพลังงานให้รถคันหนึ่งได้ตราบชั่วชีวิต
แต่เร้ดก็ถูกสืบสวนเพราะเรื่องนี้…
สัญชาตญาณบอกเธอว่า ต้องไม่พูดว่า ‘เพราะสร้อยปกป้องเธอไว้’ อย่างเด็ดขาด ดังนั้นเธอจึงยืนกรานว่าเธอไปเก็บมันได้เอง
คนเหล่านี้เชื่ออย่างหาได้ยาก บางทีอาจจะแค่ทำแบบขอไปทีเท่านั้น
“โชคดีนะที่ฉันฉลาด” เร้ดกลับมายังเต้นท์ด้วยเสบียงสำหรับหนึ่งสัปดาห์และกล่าวกับหลินเจี๋ย “เจ้าพวกนั้นโลภจนต้องขโมยสร้อยฉันแน่ ๆ”
หลินเจี๋ยพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง ราวไม่ได้คิดว่าเร้ดเป็นเด็กแม้แต่น้อย เขากล่าวว่า “จริงครับ และในเมืองเขตล่างยังมีกฎห้ามครอบครองสิ่งของส่วนตัวด้วย”
“อื้ม! ไม่เลว หลินน้อยจำได้ดีและสมควรถูกชม” เร้ดพยักหน้าเหมือนผู้ใหญ่ตัวจ้อย
ตอนนี้เธอมักจะเลียนแบบท่าทางและน้ำเสียงของยายของเธอทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทำเหมือนหลินเจี๋ยเป็นเด็กคนหนึ่ง…
หลินเจี๋ยเหลือบมองอาหารในมือเธอ แซฟไฟร์อันหายากถูกเปลี่ยนเป็นสเบียงได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ ดูเหมือนเร้ดจะโดนโกงไปเยอะเลย แต่เธอก็ยังตั้งหม้ออย่างแสนดีใจ
“วู้ฮู้! หอมจริง ๆ!”
แป้งสาลีถูกทำเป็นแป้งเปียก เผาจนดำเกรียมไปหลายส่วน แต่มันก็เป็นอาหารหนึ่งเดียวอันโอชะที่สุดในเมืองเขตล่าง
“เอ้า นี่ของนาย!” เร้ดตักแป้งในหม้อใส่สองชาม “นายใช้ชามของยายนะ”
หลินเจี๋ยรับชามแตก ๆ มาหยิบแป้งเข้าปาก นอกจากกลิ่นไหม้ยังมีกลิ่นเหม็นหืนรุนแรงอีกต่างหาก เห็นได้ชัดว่าเป็นอาหารขึ้นราที่ถูกโยนทิ้งในเมืองเขตบน
ด้วยสภาพกินอยู่แบบนี้ การที่คนในเมืองเขตล่างอยู่จนอายุเกินสามสิบปีได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
เร้ดก้มหน้าก้มตาเขมือบ น้ำลายจะไหลรอมร่อ ดูเหมือนลูกสุนัขที่กินข้าวในชามอย่างตะกละตะกลาม
แม้เร้ดจะตัวอ้วน เธอก็ไม่ใช่คนกินเยอะ ทว่าหลินเจี๋ยกับเร้ดไม่สามารถอยู่รอดได้ถึงสัปดาห์ด้วยเสบียงแค่นี้แน่นอน…
ดังนั้นพวกเขาจึงยังต้องออกค้นหาแร่ต่อไป
หลังจากความพยายามที่ล้มเหลวสามวัน ในที่สุดเร้ดก็เจอแร่ไม่มีเจ้าของชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นแร่ล้ำค่าทั่ว ๆ ไป และหนึ่งชิ้นแลกอาหารได้สำหรับหนึ่งอาทิตย์
การทำเหมืองหินสิ้นเปลืองแรงทั้งกายและใจ ตกดึกก็ต้องนอนกับแร่ ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะมาหยิบไป และต้องระวังตัวไม่ให้ถูกรังแกหรือปล้นแร่ไปด้วย
“พวกผู้ใหญ่พวกนั้นชอบรังแกกัน” เร้ดพูดกับหลินเจี๋ยขณะใช้พลั่วขุดหาแร่อย่างระมัดระวัง
หลินเจี๋ยนั่งผ่อนคลายมองเธออยู่ข้าง ๆ
เร้ดยังคงกล่าวกระท่อนกระแท่น “เพราะงี้แหละฉันเลยไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ เพราะยายบอกว่าถ้าฉันโตจะไม่ดี…นี่ฟังอยู่หรือเปล่า!”
“ฟังอยู่ครับ” หลินเจี๋ยตอบเนิบ ๆ และเร้ดจึงกล่าวต่ออย่างสบายใจ “ยายบอกว่าคนเราต้องมีความฝัน นี่แหละสิ่งที่มนุษย์กับสัตว์ต่างกันที่สุด”
“จะว่าไป นายมีความฝันไหม?” จู่ ๆ มือของเร้ดก็หยุดทำงาน คู่ดวงตาสีดำแดงเต็มไปด้วยความคาดหวัง และยังเปี่ยมความมีเหตุผลและความกระจ่างใส ต่างกับดวงตาสัตว์ร้ายของคนอื่นโดยสมบูรณ์
“อืม มีล่ะมั้งครับ?” หลินเจี๋ยพูดอย่างครุ่นคิด
“อะไรเหรอ?” เร้ดถามอย่างตื่นเต้น
“คงอยากเป็นเจ้าของร้านหนังสือครับ ใช้ชีวิตสมถะ และสามารถชี้นำชีวิตคนอื่นได้นิดหน่อย”
“เจ้าของร้านหนังสือ…คืออะไรเหรอ?” หลังจากได้ยินความฝันนี้ เร้ดก็คิดหนัก
“คุณจะรู้เองพอได้ขึ้นไปครับ”
ประโยคอันแสนธรรมดาของหลินเจี๋ยทำให้เร้ดตื่นเต้นอย่างสมบูรณ์ “ใช่ไหม ใช่เหรอ? นายก็คิดว่าฉันจะขึ้นไปได้เหมือนกันใช่ไหม?”
หลินเจี๋ยพยักหน้า
“จะว่าไป เล่าเรื่องข้างบนให้ฟังหน่อยสิ นั่นคือที่ที่บรรพบุรุษของฉันอาศัยอยู่ และเป็นบ้านเกิดของฉันนี่” เสียงของเร้ดเต็มไปด้วยความคาดหวัง ราวกับดอกไม้ดอกน้อยที่ใฝ่ฝันอยากล่องลอยจากอุโมงค์สู่ฟ้า
หลินเจี๋ยสะเทือนใจเล็กน้อย เขาสูดหายใจลึก ๆ และเริ่มอธิบายเกี่ยวกับโลกเขตบนที่ว่าอย่างจริงจัง
—
หินแร่ทอประกายอยู่บนฝ่ามือของเร้ด ถึงจะไม่ได้สวยอะไรนัก แต่มันก็ยังอยู่ในกฎความสวยงาม
เร้ดปัดฝุ่นบนหน้าของเธออย่างอ่อนแรง เธอเป็นคนอ้วนโดยธรรมชาติ แต่ตอนนี้ชุดของเธอหลวมโพรกขึ้นมาก ใบหน้ากลม ๆ ของเธอก็ซูบลง ดวงตาโหลขึ้นเยอะ
เธอไม่ได้กินอะไรมาประมาณหนึ่งสัปดาห์เห็นจะได้ เร้ดจำเวลาไม่ได้อยู่แล้ว และจำเวลาในเมืองเขตล่างได้ไม่หมดด้วย…
“แร่นี้ใช้แลกเสบียงได้อีกสามวัน” เร้ดยกหินแร่มาส่องดู สีของมันสะท้อนที่นัยน์ตาส่วนล่างของเธอ ดูสวยงามมาก
หลินเจี๋ยเหลือบมองหินแร่ในมือเร้ด จากนั้นก็เหลือบไปทางผู้จัดการท่าทางมีลับลมคมในข้าง ๆ เขา เจ้าพวกนี้ก็เป็นคนจากเมืองเขตล่างซึ่งถูกมลภาวะเหมือนกับเร้ด และทั้งชีวิตก็ไม่เคยไปยังเมืองเขตบน
แต่ตอนนี้ พวกเขาเป็นลิ่วล้อของเมืองเขตบน และถูกเรียกเป็นผู้จัดการทุกวัน
เพราะนิสัยใจคอคนพวกนี้ หลินเจี๋ยจึงสังหรณ์ร้ายลาง ๆ ว่าพวกเขาคงไม่เชื่อคำพูดของเร้ดว่าไปเก็บแร่แซฟไฟร์ได้เองจากชั้นสี่และกลับมาหาพวกเขาแน่ ๆ
หลินเจี๋ยขมวดคิ้วมองคนเหล่านั้นที่ดูผิดหวังมากเมื่อเร้ดยังคงดื้อขุดแร่ต่อให้จะใกล้อดตายแค่ไหนก็ตาม…
“เราไปแลกอาหารกันเถอะ” เร้ดพูดอย่างอ่อนแรง แต่มุมปากของเธอยกยิ้ม
“ได้ครับ รอบนี้เวรผมทำอาหาร ผมทำอาหารจากเมืองเขตบนได้นะครับ” หลินเจี๋ยโพล่งขึ้น ‘อย่างแสนเมตตา’
เพราะถึงอย่างไร หลังจากตีซี้กันมาเดือนเศษ เจ้าหมอนี่ก็ดูจะเป็นเจ้าของร้านที่เอาแต่สั่งเป็นนายน้อยอยู่เสมอ
“เยี่ยมเลย!” เร้ดตัวพองโตราวลูกโป่งในทันใด เธอกล่าวอย่างตื่นเต้น “เจ๋งเป้ง ความฝันของฉันเป็นจริงครึ่งนึงแล้ว”
เร้ดวิ่งไปยังสำนักงานแลกอาหารอย่างมีความสุข
หลินเจี๋ยเดินตามเธอ และในที่สุดก็หันไปมองผู้จัดการที่ติดตามเร้ดอยู่ตลอด
หลังจากพูดสองสามคำอย่างผิดหวัง ในที่สุดพวกเขาก็หยุดการเฝ้าจับตามองเร้ด
หลินเจี๋ยใช้การแก้ไขจิตใจเปลี่ยนรูปร่างของเขาในสายตาคนอื่นเป็นชายวัยยี่สิบร่างใหญ่โตกำยำ ถ้าเขายังคงแข็งแรงมีกำลังวังชาในช่วงอายุนี้ เขาก็จะนับเป็นบุคคลระดับสูงสุดในห่วงโซ่อาหารในเมืองเขตล่าง
เนื่องด้วยภาพลักษณ์น่าเกรงขามของหลินเจี๋ย เร้ดจึงไม่ถูกหลอกโกง และได้เสบียงสำหรับหนึ่งสัปดาห์มา
“หินแร่หนึ่งก้อนสำหรับอาหารหนึ่งอาทิตย์ ก่อนหน้านี้แซฟไฟร์ก็แลกเป็นอาหารได้แค่อาทิตย์เดียว ไอ้พวกเลว!” เร้ดเคืองตัวพองเป็นปลาปักเป้า
หลินเจี๋ยโบกมือเดินตามเธอ ไม่พูดอะไรเพื่อปลอบใจ ตอนนี้เขาสงวนคำพูดถึงขีดสุด และจะพูดต่อเมื่อหารือกับเร้ดเกี่ยวกับความฝันเท่านั้น
ทันทีที่กลับมายังอุโมงค์ที่สามสิบสอง พวกเขาก็พบว่าทางเข้าเต็นท์ที่พวกเขาอยู่กันมาทุกวันคืนเต็มไปด้วยผู้คน
บทที่ 452 : ความฝัน
ในอุโมงค์นี้มีเด็กหน้าตาแบบเดียวกับเร้ดอยู่มากมายจนพอเดาได้ว่าพวกเขาต่างเกิดในอุโมงค์หมายเลขสามสิบสอง แค่จากการมองหน้า
ในอุโมงค์ดังกล่าวมีแร่สีแดงแจกจ่ายมากมาย แร่เหล่านี้คือหนึ่งในแร่ราคาถูกที่สุดในเมืองเขตล่าง ขุดหาได้ง่ายและมีประโยชน์น้อย การใช้งานเดียวของมันคือการกินเข้าไปชั่วคราว
สิ่งที่เรียกว่า ‘กินเข้าไปชั่วคราว’ นี้หมายความเพียงว่าหลังจากกินเข้าไป พวกเขาจะยังไม่ตายทันที เพราะถึงอย่างไร ของอย่างหินแร่ก็ไม่สามารถถูกย่อยในกระเพาะได้เลย และมันจะไปย่อยกระเพาะเสียแทน
แต่แร่สีแดงไม่ได้ทำอย่างนั้น ทันทีที่มันสัมผัสน้ำย่อย มันจะละลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและสะสมในกระเพาะ ทำให้ผู้คนรู้สึกอิ่ม แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันจะไม่สามารถย่อยสลายและฆ่าพวกเขา
ถ้ากินแร่สีแดงเป็นเวลานาน ลูกหลานของคน ๆ นั้นจะมีตัวสีแดงเหมือนกับเร้ด
เมื่อเร้ดนำแร่ที่ส่องประกายเหมือนกับอยู่ใต้น้ำสีน้ำเงินครามซึ่งได้จากการสำรวจชั้นสี่ไปยังจุดแลกเปลี่ยน ทุกคนต่างตกตะลึง แร่แซฟไฟร์สีน้ำเงินหายไปจากชั้นห้า หก และเจ็ดหมดแล้ว และพลังงานของแร่ชิ้นนี้สามารถเป็นพลังงานให้รถคันหนึ่งได้ตราบชั่วชีวิต
แต่เร้ดก็ถูกสืบสวนเพราะเรื่องนี้…
สัญชาตญาณบอกเธอว่า ต้องไม่พูดว่า ‘เพราะสร้อยปกป้องเธอไว้’ อย่างเด็ดขาด ดังนั้นเธอจึงยืนกรานว่าเธอไปเก็บมันได้เอง
คนเหล่านี้เชื่ออย่างหาได้ยาก บางทีอาจจะแค่ทำแบบขอไปทีเท่านั้น
“โชคดีนะที่ฉันฉลาด” เร้ดกลับมายังเต้นท์ด้วยเสบียงสำหรับหนึ่งสัปดาห์และกล่าวกับหลินเจี๋ย “เจ้าพวกนั้นโลภจนต้องขโมยสร้อยฉันแน่ ๆ”
หลินเจี๋ยพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง ราวไม่ได้คิดว่าเร้ดเป็นเด็กแม้แต่น้อย เขากล่าวว่า “จริงครับ และในเมืองเขตล่างยังมีกฎห้ามครอบครองสิ่งของส่วนตัวด้วย”
“อื้ม! ไม่เลว หลินน้อยจำได้ดีและสมควรถูกชม” เร้ดพยักหน้าเหมือนผู้ใหญ่ตัวจ้อย
ตอนนี้เธอมักจะเลียนแบบท่าทางและน้ำเสียงของยายของเธอทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทำเหมือนหลินเจี๋ยเป็นเด็กคนหนึ่ง…
หลินเจี๋ยเหลือบมองอาหารในมือเธอ แซฟไฟร์อันหายากถูกเปลี่ยนเป็นสเบียงได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ ดูเหมือนเร้ดจะโดนโกงไปเยอะเลย แต่เธอก็ยังตั้งหม้ออย่างแสนดีใจ
“วู้ฮู้! หอมจริง ๆ!”
แป้งสาลีถูกทำเป็นแป้งเปียก เผาจนดำเกรียมไปหลายส่วน แต่มันก็เป็นอาหารหนึ่งเดียวอันโอชะที่สุดในเมืองเขตล่าง
“เอ้า นี่ของนาย!” เร้ดตักแป้งในหม้อใส่สองชาม “นายใช้ชามของยายนะ”
หลินเจี๋ยรับชามแตก ๆ มาหยิบแป้งเข้าปาก นอกจากกลิ่นไหม้ยังมีกลิ่นเหม็นหืนรุนแรงอีกต่างหาก เห็นได้ชัดว่าเป็นอาหารขึ้นราที่ถูกโยนทิ้งในเมืองเขตบน
ด้วยสภาพกินอยู่แบบนี้ การที่คนในเมืองเขตล่างอยู่จนอายุเกินสามสิบปีได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
เร้ดก้มหน้าก้มตาเขมือบ น้ำลายจะไหลรอมร่อ ดูเหมือนลูกสุนัขที่กินข้าวในชามอย่างตะกละตะกลาม
แม้เร้ดจะตัวอ้วน เธอก็ไม่ใช่คนกินเยอะ ทว่าหลินเจี๋ยกับเร้ดไม่สามารถอยู่รอดได้ถึงสัปดาห์ด้วยเสบียงแค่นี้แน่นอน…
ดังนั้นพวกเขาจึงยังต้องออกค้นหาแร่ต่อไป
หลังจากความพยายามที่ล้มเหลวสามวัน ในที่สุดเร้ดก็เจอแร่ไม่มีเจ้าของชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นแร่ล้ำค่าทั่ว ๆ ไป และหนึ่งชิ้นแลกอาหารได้สำหรับหนึ่งอาทิตย์
การทำเหมืองหินสิ้นเปลืองแรงทั้งกายและใจ ตกดึกก็ต้องนอนกับแร่ ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะมาหยิบไป และต้องระวังตัวไม่ให้ถูกรังแกหรือปล้นแร่ไปด้วย
“พวกผู้ใหญ่พวกนั้นชอบรังแกกัน” เร้ดพูดกับหลินเจี๋ยขณะใช้พลั่วขุดหาแร่อย่างระมัดระวัง
หลินเจี๋ยนั่งผ่อนคลายมองเธออยู่ข้าง ๆ
เร้ดยังคงกล่าวกระท่อนกระแท่น “เพราะงี้แหละฉันเลยไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ เพราะยายบอกว่าถ้าฉันโตจะไม่ดี…นี่ฟังอยู่หรือเปล่า!”
“ฟังอยู่ครับ” หลินเจี๋ยตอบเนิบ ๆ และเร้ดจึงกล่าวต่ออย่างสบายใจ “ยายบอกว่าคนเราต้องมีความฝัน นี่แหละสิ่งที่มนุษย์กับสัตว์ต่างกันที่สุด”
“จะว่าไป นายมีความฝันไหม?” จู่ ๆ มือของเร้ดก็หยุดทำงาน คู่ดวงตาสีดำแดงเต็มไปด้วยความคาดหวัง และยังเปี่ยมความมีเหตุผลและความกระจ่างใส ต่างกับดวงตาสัตว์ร้ายของคนอื่นโดยสมบูรณ์
“อืม มีล่ะมั้งครับ?” หลินเจี๋ยพูดอย่างครุ่นคิด
“อะไรเหรอ?” เร้ดถามอย่างตื่นเต้น
“คงอยากเป็นเจ้าของร้านหนังสือครับ ใช้ชีวิตสมถะ และสามารถชี้นำชีวิตคนอื่นได้นิดหน่อย”
“เจ้าของร้านหนังสือ…คืออะไรเหรอ?” หลังจากได้ยินความฝันนี้ เร้ดก็คิดหนัก
“คุณจะรู้เองพอได้ขึ้นไปครับ”
ประโยคอันแสนธรรมดาของหลินเจี๋ยทำให้เร้ดตื่นเต้นอย่างสมบูรณ์ “ใช่ไหม ใช่เหรอ? นายก็คิดว่าฉันจะขึ้นไปได้เหมือนกันใช่ไหม?”
หลินเจี๋ยพยักหน้า
“จะว่าไป เล่าเรื่องข้างบนให้ฟังหน่อยสิ นั่นคือที่ที่บรรพบุรุษของฉันอาศัยอยู่ และเป็นบ้านเกิดของฉันนี่” เสียงของเร้ดเต็มไปด้วยความคาดหวัง ราวกับดอกไม้ดอกน้อยที่ใฝ่ฝันอยากล่องลอยจากอุโมงค์สู่ฟ้า
หลินเจี๋ยสะเทือนใจเล็กน้อย เขาสูดหายใจลึก ๆ และเริ่มอธิบายเกี่ยวกับโลกเขตบนที่ว่าอย่างจริงจัง
—
หินแร่ทอประกายอยู่บนฝ่ามือของเร้ด ถึงจะไม่ได้สวยอะไรนัก แต่มันก็ยังอยู่ในกฎความสวยงาม
เร้ดปัดฝุ่นบนหน้าของเธออย่างอ่อนแรง เธอเป็นคนอ้วนโดยธรรมชาติ แต่ตอนนี้ชุดของเธอหลวมโพรกขึ้นมาก ใบหน้ากลม ๆ ของเธอก็ซูบลง ดวงตาโหลขึ้นเยอะ
เธอไม่ได้กินอะไรมาประมาณหนึ่งสัปดาห์เห็นจะได้ เร้ดจำเวลาไม่ได้อยู่แล้ว และจำเวลาในเมืองเขตล่างได้ไม่หมดด้วย…
“แร่นี้ใช้แลกเสบียงได้อีกสามวัน” เร้ดยกหินแร่มาส่องดู สีของมันสะท้อนที่นัยน์ตาส่วนล่างของเธอ ดูสวยงามมาก
หลินเจี๋ยเหลือบมองหินแร่ในมือเร้ด จากนั้นก็เหลือบไปทางผู้จัดการท่าทางมีลับลมคมในข้าง ๆ เขา เจ้าพวกนี้ก็เป็นคนจากเมืองเขตล่างซึ่งถูกมลภาวะเหมือนกับเร้ด และทั้งชีวิตก็ไม่เคยไปยังเมืองเขตบน
แต่ตอนนี้ พวกเขาเป็นลิ่วล้อของเมืองเขตบน และถูกเรียกเป็นผู้จัดการทุกวัน
เพราะนิสัยใจคอคนพวกนี้ หลินเจี๋ยจึงสังหรณ์ร้ายลาง ๆ ว่าพวกเขาคงไม่เชื่อคำพูดของเร้ดว่าไปเก็บแร่แซฟไฟร์ได้เองจากชั้นสี่และกลับมาหาพวกเขาแน่ ๆ
หลินเจี๋ยขมวดคิ้วมองคนเหล่านั้นที่ดูผิดหวังมากเมื่อเร้ดยังคงดื้อขุดแร่ต่อให้จะใกล้อดตายแค่ไหนก็ตาม…
“เราไปแลกอาหารกันเถอะ” เร้ดพูดอย่างอ่อนแรง แต่มุมปากของเธอยกยิ้ม
“ได้ครับ รอบนี้เวรผมทำอาหาร ผมทำอาหารจากเมืองเขตบนได้นะครับ” หลินเจี๋ยโพล่งขึ้น ‘อย่างแสนเมตตา’
เพราะถึงอย่างไร หลังจากตีซี้กันมาเดือนเศษ เจ้าหมอนี่ก็ดูจะเป็นเจ้าของร้านที่เอาแต่สั่งเป็นนายน้อยอยู่เสมอ
“เยี่ยมเลย!” เร้ดตัวพองโตราวลูกโป่งในทันใด เธอกล่าวอย่างตื่นเต้น “เจ๋งเป้ง ความฝันของฉันเป็นจริงครึ่งนึงแล้ว”
เร้ดวิ่งไปยังสำนักงานแลกอาหารอย่างมีความสุข
หลินเจี๋ยเดินตามเธอ และในที่สุดก็หันไปมองผู้จัดการที่ติดตามเร้ดอยู่ตลอด
หลังจากพูดสองสามคำอย่างผิดหวัง ในที่สุดพวกเขาก็หยุดการเฝ้าจับตามองเร้ด
หลินเจี๋ยใช้การแก้ไขจิตใจเปลี่ยนรูปร่างของเขาในสายตาคนอื่นเป็นชายวัยยี่สิบร่างใหญ่โตกำยำ ถ้าเขายังคงแข็งแรงมีกำลังวังชาในช่วงอายุนี้ เขาก็จะนับเป็นบุคคลระดับสูงสุดในห่วงโซ่อาหารในเมืองเขตล่าง
เนื่องด้วยภาพลักษณ์น่าเกรงขามของหลินเจี๋ย เร้ดจึงไม่ถูกหลอกโกง และได้เสบียงสำหรับหนึ่งสัปดาห์มา
“หินแร่หนึ่งก้อนสำหรับอาหารหนึ่งอาทิตย์ ก่อนหน้านี้แซฟไฟร์ก็แลกเป็นอาหารได้แค่อาทิตย์เดียว ไอ้พวกเลว!” เร้ดเคืองตัวพองเป็นปลาปักเป้า
หลินเจี๋ยโบกมือเดินตามเธอ ไม่พูดอะไรเพื่อปลอบใจ ตอนนี้เขาสงวนคำพูดถึงขีดสุด และจะพูดต่อเมื่อหารือกับเร้ดเกี่ยวกับความฝันเท่านั้น
ทันทีที่กลับมายังอุโมงค์ที่สามสิบสอง พวกเขาก็พบว่าทางเข้าเต็นท์ที่พวกเขาอยู่กันมาทุกวันคืนเต็มไปด้วยผู้คน