เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 54 ให้เขาเป็นตาของเรา
บทที่ 54 : ให้เขาเป็นตาของเรา
‘ค่าหัว’ ที่สมาคมแห่งสัจธรรมตั้งเอาไว้นั้น ทุกคนล้วนรู้โดยทั่วกัน
มันผ่านมาแล้วถึงสองปีเต็ม แต่กลับไม่มีคนคิดจะคว้าค่าหัวนี้ไปเลยสักคน
ประเด็นแรก การถอนรากถอนโคนความชั่วร้ายและผดุงไว้ซึ่งความสงบสุขเป็นหน้าที่ของอัศวินจากหอพิธีกรรมต้องห้ามอยู่แล้ว อีกอย่าง คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้กระสันอยากจะผดุงความยุติธรรมอะไรขนาดนั้น
ประเด็นที่สอง ต่อให้นักเวทมนตร์ดำไวลด์บาดเจ็บหนัก แต่เขาก็ยังเป็นระดับภัยพิบัติอยู่วันยังค่ำ
ต่อให้เป็นระดับภัยพิบัติที่ร่วงหล่นก็ยังมีพลังชวนพะวงอยู่นั่นเอง
แม้แต่ระดับภัยพิบัติสภาพเกือบตายยังฆ่าระดับสัตว์ประหลาดได้เพียงการกระตุกมุมปาก ตราบใดที่เขายังสามารถรวบรวมอีเธอร์ได้อยู่
ไม่มีใครในระดับต่ำกว่าภัยพิบัติจะกล้ารับกระสุนนี้ไปหรอก
แล้วจะมีระดับภัยพิบัติคนไหนต้องการเงินเล่า?
พวกเขาต่างเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และคนหางานง่ายขนาดนั้นจะอยากไปฆ่าใครสักคนเพื่อเงินค่าหัวหรืออย่างไร
สุดท้าย หากล้มเหลวขึ้นมาจะส่งผลต่อชื่อเสียงของพวกเขา ผลดีผลเสียไม่ค่อยคุ้มกันเท่าไรนัก
อีกอย่าง ขนาดโจเซฟซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของไวลด์ยังไม่รับงานล่าค่าหัวนี้ไปเลย แล้วทำไมคนอื่นต้องไปเฮโลร่วมด้วยล่ะ
นอกจากนั้น ข่าวคราวของไวลด์ยังไม่เป็นที่รู้แน่ชัดจนปัจจุบัน ไม่มีทางยืนยันได้เลยว่าเขามีชีวิตอยู่หรือไม่เพราะไร้ข้อมูลที่ชัดเจน
ก่อนหน้านี้มีข่าวลือบอกว่าไวลด์อยู่ในนอร์ซิน แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย
การรับงานนี้แปลว่าต้องลงแรงหาข่าวเกี่ยวกับไวลด์ที่หายตัวไปเสียก่อน ซึ่งก็ถือเป็นงานช้างแต่แรกแล้ว
เพราะเหตุผลเหล่านี้ หากงานล่าค่าหัวของไวลด์เพิ่งจะมีคนรับไปเป็นครั้งแรกในรอบสองปีก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
วัลเตอร์ เลโอนาร์ด หัวหน้าฝ่ายเล่นแร่แปรธาตุของสมาคมฯ ฮึดฮัดเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น “ถ้าของฉันเป็นโปรเจ็กต์ซกมกละก็ แผนกช่างกลของนายก็โหลยโท่ยของแท้ละวะ วัน ๆ นึงเอาแต่ค้นคว้าของแบบ ‘เครื่องสระผมระบบออโต้’ เอย ‘ถุงมือมัฟฟ์เลร์สองคุณประโยชน์’ เอยงี้ เอาตรง ๆ เลย ท่านรองฯ น่ะ ควรตัดงบนายมากกว่าอีก”
หลังจากนั้นเขาก็ถามต่อด้วยสีหน้าปั้นยาก “แต่มีคนรับงานล่าค่าหัวไวลด์ไปจริง ๆ เรอะ สงสัยชะมัดว่าระดับภัยพิบัติคนไหนกันนะที่เบื่อเกินต้านหรือเวลาล้นมือจนไม่มีอะไรทำ”
เลโอนาร์ดเห็นว่ามีอะไรบางอย่างหายไปบนกระดานหมากรุกจึงเอ่ยอย่างผู้มีชัย “ฟีจเพื่อนรัก ฉันสงสัยจริงว่านายใช้ไม้นี้เพื่อดึงความสนใจฉัน นายจะได้ชนะเพราะโกงสินะ”
หัวหน้าแผนกช่างกล โรเวล ฟีจตบโต๊ะเสียงดังและตะคอกเสียงสูง
“เฮ้ ฉันดูเป็นคนแบบนั้นรึไง”
“ก็ไม่ได้ดูเป็นคนแบบนั้นนะ” เลโอนาร์ดส่ายหัว เขาเลื่อนหมากตัวหนึ่งพร้อมเอ่ยอย่างมั่นใจ “แต่เป็นคนแบบนั้นเลยแหละ!”
ฟีจถอนหายใจเฮ้อ “ต่อให้นายยังมองฉันผิดไปยังไง นายก็ยังเป็นเพื่อนสนิทฉันอยู่ดีนะเออ”
เลโอนาร์ดเย้ย “ใคร ๆ ก็เป็นเพื่อนกับฟีจจอมเจ้าเล่ห์ โหดเหี้ยมอำมหิต และละโมบได้ถ้ามีเงินมาเกี่ยวข้อง”
ฟีจส่ายหน้า “นายมองฉันผิดสุดติ่งกระดิ่งแมวเลย แต่ขอบอกไว้ตรงนี้ดีกว่าว่าการค้นคว้าทุกอย่างของฉันมีประโยชน์ทั้งนั้น แผน ‘ศิลาเทวรูป’ ใกล้ถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ถ้าได้ศิลานักปราชญ์มาเมื่อไหร่ก็เข้าขั้นตอนสุดท้ายได้เลย”
“ทุกอย่างต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากท่านหญิงโดริสละนะ ศิลานักปราชญ์จากโลงศพบรรทมนิรันดร์กาลนั่นดีกว่าที่นักเล่นแร่แปรธาตุอย่างนายสร้างเองเสียอีก”
เลโอนาร์ดค้อนมองอีกฝ่าย ก่อนจะดึง ๆ จับ ๆ หูตัวเองแล้วพูดประชด “ได้ยินคำว่า ‘เข้าขั้นตอนสุดท้ายได้เลย’ มาก็หลายครั้งอยู่นา แล้วใครคนนั้นก็จะกำหมัดยื่นรายงานความล้มเหลวเพื่อมาของบประมาณการทดลองอยู่ร่ำไป บางทีก็คิดนะว่านี่ต้มตุ๋นเอาเงินไปถลุงเล่นรึเปล่า”
“ก็เพราะพวกนายเอาแต่ให้ศิลานักปราชญ์คุณภาพกากสิ้นดีมาน่ะสิ!”
“อย่ามาอ้างไปหน่อยเลย แผนกนายนั่นแหละที่ไร้ประสิทธิภาพ!”
ชายแก่ทั้งสองต่างจ้องตาอีกฝ่ายเสียเขม็งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงแค่นเสียงออกมาอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะมองไปยังกระดานหมากรุกเบื้องหน้า
ผ่านไปสักพัก เลโอนาร์ดก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา “นายยังไม่บอกเลยนะว่าใครรับงานล่าค่าหัวไป”
แม้ว่าเขาจะใช้เครือข่ายภายในสมาคมแห่งสัจธรรมสืบมาได้ แต่เขารู้สึกว่าการได้รับ ‘ความช่วยเหลือจากภายนอก’ ก็ออกจะน่าอายไปสักหน่อย
“เฮอะ” ฟีจพ่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างพอใจที่หัวหน้าแผนกเล่นแร่แปรธาตุเอ่ยขึ้นมาก่อน “ว่าแล้วเชียวว่านายเดาไม่ออกหรอก คนที่รับงานล่าค่าหัวไปไม่ใช่ระดับภัยพิบัติคนไหน แต่เป็นนักล่าระดับสัตว์ประหลาดต่างหาก”
“นักล่า? ระดับสัตว์ประหลาดเนี่ยนะ?” เลโอนาร์ดเลิกคิ้วขึ้น “ล้อกันเล่นปะเนี่ย”
เส้นความคิดเขาเปลี่ยนไปทันที
‘ไม่สิ ถ้าสมาคมฯ ยอมให้คนนั้นรับงานล่าค่าหัวไป ก็แปลว่ารายนั้นต้องมีโอกาสอย่างน้อย 50% ที่จะทำสำเร็จ’
‘แต่ถ้านักล่าคนนี้อยู่แค่ระดับสัตว์ประหลาด งั้นคำตอบก็ชัดแล้ว…’
“การรับรองไต่ระดับขึ้นเป็นภัยพิบัติ?”
คนอยากไต่ระดับขึ้นในรายชื่อประจำปีของสมาคมแห่งสัจธรรมต้องแสดงศักยภาพของตัวเองผ่านคุณงามความดี
ตัวอย่างเช่น การเอาชนะระดับภัยพิบัติในการต่อสู้จะถูกตัดสินว่าเป็นระดับภัยพิบัติคนใหม่
ส่วนคนที่ไม่ได้ถนัดการต่อสู้เองก็สามารถผ่านการทดสอบอีเธอร์แบบปกติได้เช่นกัน แค่พวกเขาจะมีป้าย ‘ผ่านการทดสอบปกติ’ ห้อยไว้หลังชื่อก็เท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาดูตกต่ำกว่าคนอื่น ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเลือกการแสดงศักยภาพผ่านภารกิจการต่อสู้มากกว่า
“ถูกต้อง” ฟีจพยักหน้า “นักล่าระดับสัตว์ประหลาด ‘ผู้เฝ้ายามราตรีอันจืดจาง’ เบอร์ตัน แอคเกอร์แมนเสนอตัวว่าเขาจะล่าค่าหัวไวลด์เพื่อยืนยันศักยภาพของเขาน่ะ”
“ระหว่างการทดสอบ เขาก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถของระดับภัยพิบัติหลังฉีดเลือดอสูรเข้าไป พวกเราก็เลยยอมรับข้อเสนอนั้น”
เลโอนาร์ดพยักหน้าหงึกหงัก “เข้าใจละ แต่เขาจะหา…”
“พวกนายคุยเรื่องอะไรอยู่น่ะ” จู่ ๆ แอนดรูว์ก็เดินเข้ามาพูดแทรกบทสนทนาของทั้งคู่ เขานั่งลงบนที่นั่งข้างตัวพวกเขาพร้อมโยนเครื่องสื่อสารไปอีกทาง
รองหัวหน้าสมาคมแห่งสัจธรรมถอนหายใจ “ไม่เคยคิดเลยจริง ๆ…”
“ท่านรองฯ เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เลโอนาร์ดถาม
นัยน์ตาของแอนดรูว์เต็มไปด้วยความซับซ้อนเมื่อเขาพร่ำบ่นออกมา “ผ่านไปก็สามร้อยปีแล้วแท้ ๆ ฉันแก่ลงตั้งเยอะแต่เธอกลับเหมือนเดิมไม่มีผิด ขนาดคำพูดคำจายังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ทำเอารู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่เลย”
เลโอนาร์ดลอบคิดว่านี่อาจเป็นความทุกข์จากการพบคนที่แอบรักคนเก่าอีกครั้งกระมัง
‘เอลฟ์อย่างโดริสก็มีชีวิตยืนยาวอยู่แล้วนี่ แล้วจะมาพร่ำเพ้อพรรณนาอะไรกัน?’
แต่เขาไม่พูดออกไปเลยจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นงบประมาณของเขาอาจตกอยู่ในอันตราย
ฟีจถามบ้าง “ท่านรองฯ ร้านหนังสือนั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ กลุ่มไอริสเรียกเขาว่าเป็นนายท่านจริง ๆ เหรอ”
“ไม่ใช่เขาหรอก แต่เป็นตัวตนเบื้องหลังเขาต่างหาก หอพิธีกรรมลับส่งไฟล์คดีมาให้ละ ไปดูกันเองไป”
คิ้วแอนดรูว์ขมวดมุ่นขณะที่เขาเอ่ยพร้อมกับดวงตาที่แฝงความเกลียดชังไว้ “ฉันเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีระดับจุดเหนือนภาแฝงอยู่ในนอร์ซิน แต่ไฟล์นี่เขียนโดยโจเซฟเองและพวกเราต้องให้ความสำคัญกับมันด้วย… ในเมื่อจุดยืนของเขาเป็นมิตร พวกเราก็ค่อย ๆ ดูท่าทีไปก่อนดีกว่า แต่ตัวตนระดับนี้ในนอร์ซินก็ถือว่ายุ่งยากมากเหมือนกัน”
“คือ จะสื่อว่า?” เลโอนาร์ดถาม
“รอดูกันต่อไป” แอนดรูว์ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยอย่างใจเย็น “ไวลด์มีเส้นสายกับเจ้าของร้านหนังสือนี่เหมือนกัน ส่งเจ้าแอคเกอร์แมนไปซะ แล้วให้เขาเป็นตาของเรา”