เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 77 ถึงเวลานอนแล้ว
ณ ซอย 52
ตูมมมม!
เสียงระเบิดดังขึ้น พร้อมกับเสียงตึกรามบ้านช่องทรุดตัวตามลงมา
ท่ามกลางม่านสายฝนอันมืดมัว ถนนสายนี้ซึ่งมีการอพยพผู้คนเรียบร้อยแล้วจู่ ๆ ก็ถูกย้อมไปด้วยเปลวเพลิงในชั่วพริบตา
พรึ่บ!
เงาของนักล่าทั้งหลายต่างพุ่งฝ่าสายฝนไป
ตามมาเสียงด้วยระเบิดอีกครั้ง พื้นดินบริเวณกลางถนนก็เกิดรอยร้าวจนทรุดตัว ก่อให้เกิดหลุมบ่อขนาดยักษ์
สายน้ำบนพื้นซีเมนต์ต่างหลั่งไหลเข้าไปในหลุมบ่อไม่ต่างกับน้ำตก
ส่วนหนึ่งของระบบท่อน้ำทิ้งใต้ดินของนอร์ซินถูกเผยสู่สายตา
เนื่องจากเขตเมืองตอนบนของนอร์ซินนั้นถูกสร้างขึ้นจากเหล็ก จึงไม่มีทั้งดินและพืชให้น้ำซึมลงไป ดังนั้นมักจะเกิดท่ออุดตันอย่างหนักทุกครั้งที่นอร์ซินเจอสภาพอากาศสุดขั้วเช่นนี้
ระบบท่อน้ำทิ้งอันกว้างขวางและพึ่งพาได้นั้นจึงจำเป็นต่อผังเมืองเป็นอย่างมาก
คนส่วนใหญ่คงจินตนาการไม่ออกหรอกว่าเบื้องล่างนอร์ซินจะมีพื้นที่ลับขนาดมโหฬารอยู่จนกว่าจะได้เห็นทางเดินใต้ดินขนาดใหญ่นี้กับตาตัวเอง
เห็นได้ชัดว่าพื้นที่นี้คือจุดที่มวลน้ำมาบรรจบกัน พื้นที่ส่วนใหญ่ในท่อน้ำทิ้งนั้นไม่ได้กว้างเช่นนี้
และเบื้องล่างก็คือภาพนรกอเวจีอันยากจะจินตนาการ
ภูเขาซากศพซึ่งแขนขาถูกตัดขาด เลือด และของเสียลอยละล่องไปกับน้ำสีเขียวตามท่อ ทั้งหมดนี้ต่างถูกคลื่นน้ำท่วมพัดหายไป
“พวกหมาป่าขาวนั่นเป็นบ้ากันไปแล้วรึไง!?”
จี้จือซู่สูดลมหายใจเข้าขณะรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
แม้ว่าหญิงสาวจะเป็นนักล่ามาหลายปี ได้พบกับการเข่นฆ่ามากมายและคุ้นเคยกับการเห็นคนตายต่อหน้า แต่เธอยังไม่เคยเห็นภาพอันน่าสยดสยองเท่านี้มาก่อน
นี่มันยกระดับขึ้นไปอีกหลายขั้นเลยนะเนี่ย
เธอรู้วิธีอันเหี้ยมโหดของหมาป่าขาวมาก่อนแล้ว แน่นอนว่ารวมไปถึงการฆ่าล้างบาง ทว่าหญิงสาวไม่รู้มาก่อนเลยว่าพวกเขาเอาศพมากองไว้ที่นี่ สภาพไม่ต่างกับโรงเชือดสักนิด
ดูจากรูปการณ์แล้ว เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นมาสักพักแล้ว
และที่นี่…อาจเป็นแค่หนึ่งในที่ซ่อนของพวกมันด้วย
นักล่าซึ่งทำหน้าที่คุ้มกันที่นี่ต่างกรูเข้ามาปะทะกับพวกเธอ พวกอมนุษย์ต่างเห่าหอนพลางฟาดฟันด้วยกรงเล็บและคมเขี้ยว
จี้จือซู่พลันสังหรณ์ถึงภยันตรายและรีบกระโดดไปด้านข้างเพื่อหลบกลอนหน้าไม้ที่พุ่งเข้ามา
กลอนนี้เป็นแบบหนาซึ่งใช้ในการปกป้องกำแพงเมือง มันถูกฝังลึกลงไปในพื้นซึ่งเดาได้เลยว่าหากปักลงไปในเนื้อมนุษย์จะเป็นเช่นไร
จังหวะที่มันพุ่งผ่านครรลองสายตา มีแสงส่องเข้ามาแวบหนึ่งเผยให้เห็นตราแกะสลัก แสดงว่ากลอนหน้าไม้นี่ไม่ธรรมดา
ตรามรสุมอัสนีของนักเวทมนตร์ขาว!
ดวงตาของจี้จือซู่เบิกกว้างพร้อมรีบพลิกตัวหลบไปด้านข้างทันที “ระวัง!”
“หนีเร็ว!”
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
ตรานั้นเปล่งแสงประกายไฟฟ้าอันงดงาม
เปรี้ยง!
อสนีบาตฟาดลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า พุ่งเข้าจู่โจมกลอนหน้าไม้และแตกแขนงออกเป็นหลายสาย
ชั่วพริบตานั้น สายฟ้าฟาดต่างแผ่พุ่งออกไปโดยรอบทิศทาง ทำให้ทั่วพื้นที่นั้นเต็มไปด้วยไฟฟ้าช็อต
เหล่านักล่าที่ถูกสายฟ้าฟาดไม่อาจกรีดร้องออกมาได้ด้วยซ้ำ ในเมื่อพวกเขาถูกเผาเป็นตอตะโก ร่วงลงบนพื้นและกลายเป็นเถ้าถ่านทันที
พื้นของทางลับใต้ดินซึ่งถูกน้ำฝนชะล้างจนเผยให้เห็นเขตแดนขึ้นมา
เมื่อผู้คนเหล่านี้ตาย เขตแดนก็จะส่องแสงสีแดงฉานซึ่งเปล่งประกายมากขึ้นไปทุกที…
“บ้าจริง!”
ร่างของจี้จือซู่ถูกทุ่มลงไปที่พื้น เมื่อหญิงสาวลุกขึ้นมาได้ก็รีบชักดาบออกมาจากไม้เท้า เล็งเห็นชายวัยกลางคนร่างสูงในเสื้อกันลมสีดำ ยืนบนหลังคาซึ่งอยู่ห่างออกไป
“เฮริส!”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับคุณหนูจี้ ดูท่าทางเธอจะแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้วสิเนี่ย” เฮริสทักอย่างเฉยเมย
จากนั้นเขาก็กระโดดจากหลังคา แล้วลงมายังพื้นด้วยเสียงเท้ากระทบกับพื้นอันดังก้อง
“เธอนี่โชคดีชะมัด พลังนั่นได้มาจากเจ้าของร้านหนังสืออีกรึเปล่าล่ะนั่น? น่าเสียดาย ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะสถานการณ์พาไปละก็ ฉันเองก็อยากไปอุดหนุนเขาสักครั้งเหมือนกันแท้ ๆ”
เขาสาวเท้าเข้าไปหาจี้จือซู่ ทุกหนึ่งย่างก้าว ก็เข้าสู่กลายพันธุ์เดรัจฉานไปทีละน้อย นัยน์ตาเต็มไปด้วยแรงพยาบาทชวนเสียวสันหลัง
“แต่มันไม่จำเป็นแล้วล่ะ ฉันว่าเขาคงไม่มีทางช่วยเหลือเธอได้อีกแล้วใช่ไหม?”
จู่ ๆ นักล่าหมาป่าขาวก็ปรากฏตัวออกมาจากหลังคา ท้องถนน และภายในตึกเต็มไปหมด
ดวงตาของพวกเขาส่องแสงท่ามกลางสายฝน ราวกับฝูงหมาป่าอันหิวโหยก็มิปาน
โดสเลือดอสูรเข้มข้นส่งผลให้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าปกติหลายเท่าตัว
และความเจ็บปวดผนวกกับภาพลวงของหายนะที่กำลังจะเกิดได้สร้างเจตจำนงอันไร้ที่ติ พวกเขากลายเป็นเครื่องจักรสังหารประสิทธิภาพสูงสุดจนกว่าจะตายกันไปข้าง
จี้จือซู่แค่นเสียงเย้ยหยัน “อย่าบอกนะว่านี่รวมตัวกันยกกลุ่มเพื่อมาจัดการพวกฉัน? รู้สึกเป็นเกียรติจัง”
“เพราะขนาดหอพิธีกรรมต้องห้ามยังไม่ยักจะเคยเจออะไรแบบนี้เลยนี่ พวกนายดูจะให้เกียรตินักล่ากลุ่มกระจิริดของพวกเราที่ก่อตั้งมาไม่ถึงเดือนจังเลยนะ”
ความนัยคือเธอหัวเราะเยาะใส่หมาป่าขาวที่เอาแต่เล่นซ่อนแอบกับหอพิธีกรรมต้องห้ามเพราะไม่กล้าประจันหน้า แต่ดันมารวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่โตเพื่อจัดการนักล่ากลุ่มใหม่นี้กลุ่มเดียว
ตัวอย่างดาษดื่นของการหวาดกลัวผู้แข็งแกร่งและจับจ้องแต่เหยื่อที่อ่อนแอ
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว แม้จี้จือซู่จะแสดงออกเช่นนี้ แต่ที่จริงหญิงสาวก็แอบกังวลเล็กน้อย
เธอมั่นใจในการพุ่งเข้าปะทะกับเฮริส ทว่านักล่าของเธอที่เพิ่งจะได้วิธีการ ‘คุมเหตุและผลระหว่างกลายพันธุ์เดรัจฉาน’ นั้นไม่มีฝีมือมากพอจะรับมือกับสมาชิกหมาป่าขาวที่บูสต์พลังขึ้นจากการได้รับเลือดอสูรในปริมาณมาก
ช่วงเวลานี้ การที่ศัตรูเผยตัวออกมาย่อมแปลว่าพวกเขากำลังเข้าตาจนถึงขนาดไม่สนใจหอพิธีกรรมต้องห้ามอีกต่อไป
เป้าหมายของพวกเขาคือการลากคนตายไปเป็นเครื่องบูชาก่อนจะตายตามกันนั่นเอง
บางทีนี่อาจเป็นเป้าหมายสุดท้ายของเหตุการณ์กระจกมนตราก็เป็นได้
และถือเป็นจุดจบภารกิจแก้แค้นของจี้จือซู่เช่นกัน
จี้จือซู่แปลงร่างเป็นหมาป่าขนเงินตัวยักษ์ เธอยืดลำตัวตรงส่งเสียงขู่ ก่อนจะทิ้งรอยลึกจากกรงเล็บไว้บนพื้น
แล้วพุ่งทะยานไปพร้อมเสียง ‘ฟิ้ว’ เดินทางผ่านมิติและไปโผล่ที่ด้านหลังของเฮริส คมเขี้ยวกัดตรงเข้าไปถึงกระดูกสันหลังของเฮริส เรียกเลือดออกมาได้ขนานใหญ่เมื่อฟันอันแหลมคมบดขยี้กระดูกเป็นชิ้น ๆ
นี่คือศึกหมาบ้าระหว่างสัตว์อสูร ฟันต่อฟัน โลหิตต่อโลหิต
ในทางลับใต้เมืองนอร์ซิน เหล่านักล่าวิปลาสซึ่งสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้วได้รับคำสั่งให้ไปยัง ‘แท่นบูชา’
ตูม!
เสียงการต่อสู้แว่วสะท้อนไปทั่วใต้ดินของนอร์ซินเขตตอนบน รับจังหวะเข้ากับเสียงฟ้าแลบจากท้องนภา
หลินเจี๋ยได้ยินเสียงฟ้าร้องกึกก้องจากด้านนอกจึงหันไปมอง… สายฟ้าฟาดต่างพุ่งออกมาจากท้องฟ้าอันมืดมัวราวกับกิ่งไม้ร่วงลงมาจากสวรรค์
“ไอ้สภาพอากาศแปรปรวนของนอร์ซินนี่ดูจะแย่ลงทุกวันเลยแฮะ”
เขาขมวดคิ้วแล้วปิดม่านลง
ถึงห้องนอนนี้จะสว่างจ้า แต่ความคุ้นเคยจากการอยู่ที่นี่มาถึงสามปีทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
สิ่งที่แตกต่างไปมีเพียงดาบยาวบนโต๊ะ
หลินเจี๋ยไม่ค่อยสบายใจที่จะทิ้งของราคาแพงขนาดนี้ไว้ที่ใดที่หนึ่งของบ้าน ก็เลยนำมันมาไว้ในห้องนอน
“คิดซะว่ามันไล่ภัยร้ายก็แล้วกัน” หลินเจี๋ยพึมพำกับตัวเอง
“ไว้ซื้อชั้นวางดาบแล้วประดับมันดี ๆ สักวันดีกว่า”
นี่ก็สี่ทุ่มแล้ว หลินเจี๋ยเหลือบมองนาฬิกาแล้วปีนขึ้นเตียง จ้องมองตาข่ายดักฝันอันสวยงามเหนือหัว
“ถึงเวลานอนแล้วสิ”