เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 83 สายฝนได้หยุดลงแล้ว
ตู้ม…
เทพพิรุณขนาดยักษ์ร่วงหล่นลงมา คลื่นน้ำสาดซัดไปทั่วยามกระทบเข้ากับน้ำท่วมขัง กวาดล้างอาคารไปทั่วจนทรุดตัวลงมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ต่อหน้าศพของ ‘เทพเจ้า’ เอลฟ์ผู้ขับขี่บนกริฟฟินราวกับเปลวเพลิงพิสุทธิ์โชติช่วงได้ชี้ดาบยาวลงไปยังพื้นด้วยท่าทางอันแสนสง่า
หลังร่างนั้นร่วงตกลงไป มันก็สลายกลายเป็นไอและสายฟ้า
ไอน้ำระเหยออกกลายเป็นสายน้ำที่พังทลาย ในขณะที่อสนีบาตผ่าตรงลงมาจากหมู่เมฆ
สิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดผวาซึ่งนำมาซึ่งมหันตภัยแห่งสายฟ้าและฟ้าแลบระหว่างขยายอาณาเขตตน สลายหายกลายเป็นอีเธอร์และกลับไปยังแดนนิมิตทันทีทันใด
ฟิ้ว…
ลมโพยพัดมาหากริฟฟินนั้นแตกออกเป็นสองได้อย่างง่ายดาย และสายน้ำใต้กรงเล็บของมันสะท้อนให้เห็นรูปลักษณ์ของเอลฟ์ผู้งดงามอย่างชัดเจน
ฉากที่ราวกับหลุดออกมาจากนิทานปรัมปราท่ามกลางสภาพแวดล้อมชวนหดหู่ เอลฟ์ตนนี้ส่องประกายเฉกเช่นพระอาทิตย์ สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนรอบด้าน
ช่วงเวลานี้เองที่พนักงานหอพิธีกรรมต้องห้ามพากันหลุดจากภวังค์
“เอ่อ หัวหน้า… พวกเราควร… ทำอะไรต่อครับ? ต่อเลยไหม”
เสียงตะกุกตะกักหลุดออกมาจากปากหัวหน้าหน่วยหนึ่งอาร์โนลด์ ซึ่งผ่านเครื่องมือสื่อสารมาอีกที
วินสตันเพ่งพินิจมองเอลฟ์ตนนั้นแล้วกล่าว “ทุกหน่วยอยู่ประจำที่และเตรียมพร้อมไว้ก่อน ภารกิจเดิมยังคงเอาไว้ ระมัดระวังและเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลาซะ ติดต่อสมาคมแห่งสัจธรรมเพื่อยืนยันด้วยว่าเจ้านี่มาจากไหน”
“ครับ!”
วินสตันวางสายและชักดาบออกมา
การต่อสู้ยังไม่รู้ผลดี
ให้ถูกก็คือ สิ่งมีชีวิตที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาจะเป็นภัยคุกคามอันหนักหนาสาหัสหรือเปล่า
ดูจากสภาพการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น ดูเป็นไปได้สูงมากว่าสิ่งมีชีวิตนี้ก็มาจากแดนนิมิตเช่นกัน
ผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านสิ่งมีชีวิตชั้นสูง ทุกคนในนี้อย่างน้อยก็ต้องรู้จักตำนานของอาณาจักรเอลฟ์โบราณซึ่งเคยแพร่สะพัดในหมู่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงกัน
ภาพตรงหน้าปลุกเซนส์เดจาวูได้สองประการ อย่างแรกคือพละกำลังอันล้นเหลือของเอลฟ์ตนนี้ ส่วนอีกหนึ่งคือฉากนี้ไม่ต่างกับตำนานโบราณกาลได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
แคนเดลา ราชาแห่งเอลฟ์จันทรา ผู้หาญกล้าท้าทายเทพเจ้าจนเป็นสาเหตุของโรคระบาดอันยิ่งใหญ่
ในช่วงเวลาแห่งความมืด เขาถือครองเปลวเพลิงเพื่อเปิดผืนดินอื่นแก่พสกนิกร แม้เรื่องเล่านี้จะจบลงเฉกเช่นโศกนาฏกรรม แต่ความกล้าหาญไร้ความกลัวของแคนเดลายังคงถูกกล่าวขานแม้จะผ่านไปแล้วหลายต่อหลายปี
แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าไม่มีทางที่ราชาเอลฟ์แคนเดลาจะถูกฟื้นคืนชีพได้ หลายพันปีก่อนเขาอัตวินิบาตกรรมด้วยดาบของตน และวิญญาณพยาบาทได้หลอมรวมเข้ากับดาบจนแปรสภาพเป็นคำสาปไปแล้ว
และดาบเล่มนี้ก็กลายเป็นดาบปีศาจอันโด่งดังซึ่งจะเข่นฆ่าผู้ถือครองทุกคน
ในเมื่อแคนเดลาไม่ได้ถูกชุบชีวิต นั่นย่อมหมายความว่ามีคนไปปลุกวิญญาณโบราณนี้ขึ้นมา
นัยน์ตาของวินสตันเบิกกว้าง ดาบปีศาจนั่น! ดาบปีศาจนั่นโจเซฟน่าจะถือไว้นี่นา!
เขารีบเอาเครื่องมือสื่อสารออกมา “โจเซฟ! นาย…”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ อีกฝ่ายก็จัดการแทรกขึ้นมาก่อน “ใจเย็นก่อนนะวินสตัน ฉันเห็นละ…
“ฉันอยู่ในสนามรบแล้ว”
หลังเร่งรีบวิ่งรุดเข้ามา โจเซฟกำลังยืนอยู่บนซากอาคารหนึ่งอยู่ ในมือถือเครื่องมือสื่อสารเอาไว้พลางจ้องมองฉากราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายด้วยความตะลึงพรึงเพริด
ถึงเขาจะรู้ดีว่าอย่างไรเสียเจ้าของร้านหนังสือต้องออกโรงเองแน่ ๆ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะเกิดขึ้นอย่างหรูหราอลังการได้ขนาดนี้
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วอธิบาย “ดาบปีศาจน่ะถูกมอบไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง ผู้อาวุโสตัดสินใจเรื่องนี้ไปแล้วเพราะงั้นไม่ต้องมาสงสัยเลย เป็นแคนเดลาแน่นอน คุยกับมันมาตั้งสิบกว่าปี โคตรคุ้นเคยเลยให้ตายเหอะ”
ท่ามกลางความช็อก วินสตันดูจะจับได้แต่ใจความสำคัญ “มอบให้? นั่นมอบให้ใครกันน่ะ!?”
“ไฟล์ระดับ S 0114 เจ้าของโซนระดับ S 0113 หลินเจี๋ย หรือก็คือเถ้าแก่หลินนั่นไง”
“…เจ้าของร้านหนังสือนั่นอะนะ?”
“ก็เลยบอกอยู่เนี่ยว่าไม่ต้องกังวลไปร้อก”
“ฮู่ว…”
วินสตันถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะถามต่อ “แล้วไงต่อ? นายรู้หรือเปล่าว่าเขาจะทำอะไร แล้วก็… เขาอัญเชิญราชาเอลฟ์มาได้ไง? เดี๋ยวนะ จะทำอะไรต่อล่ะเนี่ย?”
ท่ามกลางเมฆฝนฟ้าคะนองซึ่งยังไม่เลือนหายและประตูแดนนิมิตยังไม่ถูกปิดลง กริฟฟินได้กางปีกและกู่ร้องไปยังทิศทางนั้น เอลฟ์ตนนั้นเงื้อดาบขึ้นฟ้า นัยน์ตาคมปลาบพอกันกับปลายดาบของเขา
ผู้ช่วยของวินสตันตะโกนขึ้นมา “ปืนใหญ่ทลายอีเธอร์!”
“อะไรนะ!?”
วินสตันเงยหน้ามองและพบเข้ากับแสงประกายเจิดจ้าผุดขึ้นมาจากความมืดที่อยู่ไกลออกไป “สมาคมแห่งสัจธรรมยังไม่ยกเลิกกันอีกหรือไง!?”
ความจริงสมาคมแห่งสัจธรรมได้ตกลงยกเลิกการยิง เลื่อนการต่อสู้ออกไปก่อนเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ ทว่าในยามนี้ผู้มีอำนาจสูงสุดในบังคับบัญชาการคือรองหัวหน้าแอนดรูว์อยู่
“ยิงมัน… เจ้าสิ่งมีชีวิตนั้นหลุดออกมาจากแดนนิมิต เป็นสัตว์มายานะ! สัตว์มายาสองตัวสู้กันไม่มีความยุติธรรมหรือมโนธรรมอะไรนั่นหรอก แค่ผู้แข็งแกร่งจ้องจะล่าตัวอ่อนแอเท่านั้นแหละ เข้าใจไหม!? จะมามัวลังเลทำซากอะไรอยู่ สิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่แข็งแกร่งกว่าตัวที่แล้วมาอยู่ต่อหน้าพวกเราแล้วนะเฮ้ย!”
แอนดรูว์เมินเสียงคัดค้านและโยนคำสรุปในมือที่ยืนยันเป็นอย่างดีว่าเอลฟ์บนตัวกริฟฟินคือสิ่งมีชีวิตจากแดนนิมิตไม่ผิดแน่ ในขณะเดียวกัน เขาก็มอบคำสั่งให้ยิงปืนใหญ่ทลายอีเธอร์ต่อ
การยิงปืนใหญ่ทลายอีเธอร์ที่ถูกงดไว้ก่อนชั่วคราวกลับมาอีกครั้ง ผ่านไปไม่กี่นาที มันก็ถูกเตรียมการเสร็จสิ้น และเป้าก็เล็งไปยังเอลฟ์ตนนั้น
ตูม!
พลังงานอีเธอร์ขนาดใหญ่ควบแน่นจนกลายเป็นลำแสงทำลายล้างพุ่งเข้ามายังสมรภูมิในพริบตาเดียว
ด้วยเกราะอ่อนพลิ้วไหวไปตามแรงลม เอลฟ์ตนนั้นก็เงื้อดาบขึ้นมา เขาจ้องมองไปยังที่ห่างไกลด้วยใบหน้าบึ้งตึงพลางพึมพำกับตัวเอง “ด่านสองเหรอ หรือว่ามอนสเตอร์ถูกเรียกขึ้นมา? ช่างเถอะ ตัดมันซะก็สิ้นเรื่อง”
และเขาก็ทำจริง
ราชาเอลฟ์กระชับดาบในมือและบังคับให้กริฟฟินของตนบินขึ้นที่สูง แสงประกายบนดาบราวกับเปลวเพลิงโชติช่วงเมื่อเขาผ่าไปทุกทิศทางเพื่อให้กระแสดาบพุ่งชนเข้ากับกระสุนปืนใหญ่ทลายอีเธอร์
ไฟและแสงชนเข้าหากันก่อให้เกิดพลังงานอีเธอร์ซึ่งใหญ่พอจะเกิดสนามพลังทรงกลมได้ สลายชิ้นส่วนใหญ่ยักษ์บนพื้นราวกับมันถูกแสงสีขาวกลืนกินไปจนสิ้น
แสงสีขาวเจิดจ้าแสบตากระจายไปทั่วสารทิศและพุ่งขึ้นไปท่ามกลางเมฆฝนสีดำสนิท ปริมาณของน้ำและเมฆถูกระเหยออก และบรรยากาศกลายเป็นเครื่องดูด
ม่านเมฆถูกแยกออกจากกัน เผยให้เห็นแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้เห็นมาแสนนาน
—
“ฝนหยุดแล้ว”
นักวิจัยในชุดยูนิฟอร์มของแผนกช่างกลซึ่งกำลังปีนขึ้นบันไดได้เห็นแสงอาทิตย์ไม่ไกล แล้วจึงเอ่ยขึ้นกับเพื่อนร่วมงานข้าง ๆ
ที่นี่คือตรงกลางระหว่างเขตตอนบนกับเขตตอนล่าง หรือที่เรียกกันว่า ‘เครื่องลูป’ เป็นโซนพิเศษที่สร้างมาเพื่องานวิจัยของสมาคมแห่งสัจธรรมโดยเฉพาะ
ตรงกลางตั้งแต่ใต้ดินถึงชั้นบนมีแผงผังดั่งรังผึ้งอันซับซ้อน ซึ่งเต็มไปด้วยโรงงานและห้องทดลองมากมาย
เพื่อนนักวิจัยข้างเขากำลังถือแฟ้มอยู่ ไม่แยแสจะมองข้างบนเลยสักนิด “ต่อให้ฟ้าถล่มขึ้นมาจริง ๆ ก็เกี่ยวกับพวกเราที่ไหนกัน ทำงานนายก่อนไปเหอะ”
“ก็จริงแหละ แต่…”
ปิ๊บ ปิ๊บ
นักวิจัยที่อยู่บนบันไดลิงดึงเครื่องมือสื่อสารออกมา สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจ “ซวยแล้ว โรงงานที่ทำเกี่ยวกับ ‘โปรเจกต์เทวรูปโคลน’ ถูกแจ้งว่าได้รับความเสียหาย!”