เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 85 ยินดีที่ได้ช่วย
อสนีบาตผ่าชั่วพริบตา ส่องสว่างทั่วน่านฟ้าอันดำมืด
ร่างมโหฬารของเทพเจ้าได้หายไป ไร้ซึ่งสัญญาณใดจากสิ่งมีชีวิตชั้นสูงไม่ทราบที่มาซึ่งเพิ่งจะจู่โจมระยะไกลเมื่อครู่นี้เอง
“การสู้บอสจบลงแค่นี้จริงเหรอ?”
หลินเจี๋ยลดดาบในมือลงก่อนบังคับให้กริฟฟินของตนพุ่งไปข้างหน้า แสงพิสุทธิ์เรืองรองบนดาบส่องไปถึงบริเวณด้านหน้า ทว่าหมอกรอบ ๆ ทำให้พื้นที่นี้ดูเงียบงันเช่นกาลก่อน
ศัตรูที่เพิ่งโจมตีมาเมื่อครู่มาแบบทีเผลอเล็กน้อยจริง ๆ
ส่วนใหญ่เป็นเพราะช่วงเวลามันกะทันหันเกินไป
เขาเพิ่งจะดื่มด่ำไปกับประสบการณ์ ‘เกม VR’ ที่เหมือนจริงเมื่อไม่นานนี้เอง สัญชาตญาณร่างกายของแคนเดลา เช่นเดียวกับวิญญาณที่ตอนนี้กลายเป็นจิตวิญญาณสถิตดาบไปแล้ว ทำให้การต่อสู้นี้ไม่ต่างกับบททดสอบเบื้องต้นซึ่งลดระดับความยากลงมาเสียจนเกือบต่ำสุด
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าตนกำลังอยู่เฉย ๆ และคนที่ต่อสู้อยู่คือแคนเดลาด้วยซ้ำ ที่หลินเจี๋ยทำมีแค่การนำทางและช่วยตัดสินใจเท่านั้นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ‘เทพเจ้า’ ในความฝันนี่ดูจะไม่ใช่ ‘เทพเจ้า’ ที่ทำให้แคนเดลาเสียสติเพียงเพราะการมองอีกฝ่ายตรง ๆ อีกด้วย
‘เทพเจ้า’ องค์นี้น่ะดูน่าขนหัวลุกก็จริง แต่ก็เปรียบดั่งแสงเทียนใกล้ดับเมื่อเทียบกับเทพองค์นั้นในความทรงจำของแคนเดลา
ตามที่แคนเดลากล่าวไว้ เทพเจ้าองค์ใหม่นี้ได้ลงมาจุติอีกครั้งหลังผ่านไปหมื่นปี และเป็นภัยคุกคามต่อพสกนิกรของเขาอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงรับฟังคำแนะนำของหลินเจี๋ย ซึ่งเป็นการตัดสินใจจะเผชิญหน้าเข้ากับความผิดพลาดในกาลก่อน และทุ่มสุดแรงเพื่อช่วยปวงประชา ก่อนที่เขาจะร่วงโรยไปจากการเผชิญหน้ากับเทพเจ้าองค์นี้
ใช้ประสบการณ์คล้ายกันในอดีตกาลเพื่อชดเชยความเสียใจในครั้งนั้น
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าการเปิดใจรับฟังของแคนเดลา การยอมรับความผิดพลาด และเปลี่ยนแปลงให้ดีกว่าเดิมนั้นเป็นอะไรที่น่าปรบมือให้ อีกทั้งเขารู้สึกว่าจินตนาการในความฝันนี่ถือว่าสุดยอดเกินหาที่ใดเปรียบ
หากดูจากภายนอก เจ้าบอสตัวยักษ์นี่ดูน่าเกรงขามนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วสมรรถภาพการต่อสู้ของมันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น
แต่ในเมื่อนี่เป็นแค่ความฝัน พอคิดว่ามันต้องลงเอยแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติดี
มีเพียงเสียงหวีดหวิวของสายลมเท่านั้นที่ลอยผ่านหูท่ามกลางหมอกดำ ซึ่งยืดยาวออกไปหลายไมล์
หลินเจี๋ยพลันได้ยินเสียงโล่งใจดังก้องมาจากข้างในกายเขา “จบลงแล้ว… ต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง เราได้ทำความปรารถนาสุดท้ายจนเสร็จสิ้น และได้ใช้กำลังเฮือกสุดท้ายในการปกป้องปวงชนของเราและแผ่นดินของพวกเขา
“หมื่นปีผ่านไปแล้ว และทุกอย่างก็หายไปพร้อมกับสายลม นี่เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่กำลังเราจะอำนวย”
“การหนีไปตลอดกาลนั้นง่ายกว่าการเผชิญหน้ากับตราบาปนัก หากไม่มีคำชี้นำจากท่านแล้ว เกรงว่าเราคงไม่สามารถเผชิญหน้ากับตัวตนที่แท้จริงอันขี้ขลาดน่าชังของเราไปตลอดกาลเป็นแน่”
“ขอบคุณท่านมาก”
หลินเจี๋ยรู้สึกเหมือนหัวใจสั่นไหวและก้มมองลงดาบในมือ สนับมืออันวิจิตรเปล่งแสงจาง ๆ และแขนทั้งแขนของเขาเริ่มโปร่งใส ค่อย ๆ กลายสภาพเป็นธุลีสีทองที่กระจัดกระจายไปกับสายลม
เฮ้อ… เป็นตอนจบแบบนี้จริงด้วยสิน้า…
หลินเจี๋ยหัวเราะในใจ แคนเดลานั้นถือว่าสิ้นชีวิตไปนานแล้ว เพียงแต่ความพยาบาทและความขมขื่นยังผูกติดกับดาบ ทำให้จิตวิญญาณของเขายังคงอยู่มาอีกหมื่นปีเท่านั้นเอง
จากความทรงจำของแคนเดลาทั้งหมดที่เขาได้สัมผัสมา หลินเจี๋ยรู้สึกว่าแคนเดลานี่แหละคือกษัตริย์นักปราชญ์ที่แท้จริงก่อนที่เขาจะเสียสติไป
สำหรับแคนเดลา การที่ได้สละเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อปกป้องประเทศของตนถือว่าเป็นคำอวยพรโดยแท้ เพียงแค่เขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับอดีตของตนเพราะความขี้ขลาดและเอาแต่โทษตัวเองก็เท่านั้น
การเยียวยาที่หลินเจี๋ยมอบให้ครั้งนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพดีเยี่ยม ไม่ใช่แค่เปิดใจแคนเดลาได้เท่านั้น แต่ถึงกับฉุดวิญญาณของเขาขึ้นมาจากความขมขื่นที่ติดค้างในดาบมานานให้ไปสู่สุคติอีกด้วย
แม้ว่าเขาจะเลือนหายไป แต่การได้กลับไปยังบ้านเกิดและราชอาณาจักรก็ถือว่าเป็นบทสรุปอันเยี่ยมยอดแล้ว จุดจบของเรื่องราวควรจะเป็นแบบนี้สิน่า เฮ้อ
หลินเจี๋ยคิดขำขันพลางคลี่ยิ้มเล็กน้อย และยกมือขึ้นทำท่าทาง “ยินดีที่ได้ช่วยครับ”
ร่างกายของแคนเดลาค่อย ๆ เลือนหายกลายเป็นผงสีทอง แล้วแปรสภาพเป็นแสงวิบวับและขจัดขจายไปทั่วทุกหนแห่ง
ความมืดได้หดหายยามแสงนั้นได้แตะต้อง และผืนดินที่ถูกเมฆหมอกบดบังได้เผยออกมาให้เห็นทีละนิ้ว พร้อมกับดอกไม้งอกเงยขึ้นและเอนไหวไปตามแรงลม
ราชอาณาจักรจากหมื่นปีก่อนเป็นแผ่นดินเจริญรุ่งเรือง
ไอน้ำที่เหลือในท้องฟ้าเบื้องบนสมรภูมิแตกระแหงต่างควบแน่นจนเป็นฝนตกกะปริดกะปรอย
ฝุ่นและควันหลอมรวมเข้ากับอากาศและถูกสายลมพัดพาจนเลือนหาย
เมฆหนาปกคลุมทั่วน่านฟ้าได้กระจัดกระจายไปโดยแรงระเบิดอีเธอร์ขนาดใหญ่ และฝนที่ตกมานานถึงหนึ่งเดือน ในที่สุดก็หยุดลงเสียที
เอลฟ์ที่ขี่กริฟฟินนั้นเปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งขอบเขตระหว่างแดนนิมิตและความเป็นจริงเข้ามาบรรจบ
ดาบของเขาสะท้อนเงาหลุมขนาดยักษ์เบื้องหน้าและซากหักปรักพังอันกว้างใหญ่ไพศาล
การเผชิญหน้านี้กินเวลาไม่กี่นาที แต่ทุกคนที่เกี่ยวข้องหรือเฝ้าสังเกตการณ์การต่อสู้นี้เห็นชัดเจนว่าเอลฟ์ตนนี้มุ่งตรงไปยังปืนใหญ่ทลายอีเธอร์ และทำลายแบตเตอรี่ปืนใหญ่ของสมาคมแห่งสัจธรรมทั้งสามอัน
อัศวินแห่งหอพิธีกรรมต้องห้ามอ้าปากค้าง ต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าพวกเขาจะหลุดจากภวังค์นั้น
แม้วินสตันจะตะโกนว่า ‘ใจเย็น คงความระมัดระวังตัวเอาไว้ก่อน’ ผ่านเครื่องมือสื่อสาร แต่คนที่อยู่ในรอยแตกของแดนนิมิตก็ยังหวาดกลัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
ขณะเดียวกัน สมาคมแห่งสัจธรรมนั้นอยู่ในสภาพของความเงียบงันและวุ่นวายจนน่ากลัว
วินสตันรู้ดีว่าคำสั่งของเขาจะช่วยควบคุมสถานการณ์เหล่านั้นได้ไม่มาก แผ่นหลังของเขาเองก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ มือที่กุมเครื่องมือสื่อสารเองก็เหนียวเหนอะมากเช่นกัน
“ฟู่วว…”
เขาถอนหายใจยาวเหยียดพลางมองไปยังราชาเอลฟ์ในตำนาน
แล้วดวงตาของเขาก็เบิกกว้างเมื่อเห็นว่าร่างกายของเอลฟ์เริ่มแปรสภาพเป็นละอองแสงและเลือนหายไปไม่นานหลังจากนั้น
ในตอนนั้นเองที่วินสตันสัมผัสได้ว่าแดนนิมิตเริ่มย่อส่วนลง และความผันผวนของอีเธอร์ค่อย ๆ เสถียรขึ้นมา
จากประสบการณ์มาหลายปี เขาสามารถบอกได้ว่าเศษเสี้ยวแดนนิมิตเริ่มปิดลงหลังการสิ้นชีพของสัตว์มายาตนนั้น ทว่าสายตาของวินสตันก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่เอลฟ์ตนนั้นอยู่ดี
ในเมื่อนี่เป็นการสลายร่างอย่างสมัครใจ นั่นแปลว่าจิตวิญญาณโบราณอันหาญกล้าถูกใครบางคนอัญเชิญมา และคนคนนั้นก็มอบคำสั่งให้ตลอด
มีความเป็นไปได้สูงมากว่าผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังคือเจ้าของร้านหนังสือคนนั้น
น่าคิดจริง ๆ ว่าเขาจะทำอะไรอีกหรือเปล่า…?
ตอนนั้นเอง วินสตันก็เห็นเอลฟ์ตนนั้นยิ้มเจิดจ้าพร้อมเอ่ย ‘ยินดีที่ได้ช่วยครับ’ พลางโบกมือหย็อย ๆ
ยินดีที่ได้ช่วยเรอะ!?
วินสตันอดไม่ได้ที่จะมองไปทางสายตาของเอลฟ์ ทิศทางนั้นคือที่ตั้งของสมาคมแห่งสัจธรรมที่เพิ่งถูกเขากระทืบมาหมาด ๆ
ใครเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่า ‘ยินดีที่ได้ช่วย’ คือการตอบรับเมื่อได้รับคำขอบคุณ
ถ้าอย่างนั้น ความหมายของวลีนี้ก็คือ ‘ไม่ต้องขอบคุณที่ฉันกระทืบนายจนจมดินหรอกนะ มันเป็นหน้าที่ฉันอยู่แล้ว’ น่ะสิ
ตูม! เพล้ง!
เสียงมือทุบโต๊ะและสิ่งของต่าง ๆ ถูกกวาดร่วงลงพื้นดังขึ้นมา
บนหน้าจอมอนิเตอร์ห้องประชุม รอยยิ้มของเอลฟ์พร้อมโบกมือเอ่ยคำว่า ‘ยินดีที่ได้ช่วย’ นั้นถือว่าเป็นภาพชวนให้หงุดหงิดยิ่งนัก
ใบหน้าของแอนดรูว์เกือบจะบิดเบี้ยวด้วยไฟโทสะ กรามกัดกันแน่น เส้นเลือดผุดขึ้นปุด ๆ และร่างกายสั่นเทิ้มแสดงให้เห็นถึงความเกรี้ยวกราดอันมากล้น