เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 96 ตำรวจผู้ทรงเกียรติประจำเขตตอนกลาง
ในวันที่สามหลังหลินเจี๋ยฟื้นวิชาการสอนเพื่อชี้แนะนักเรียนมูเอนนั้น ในที่สุดชายหนุ่มก็เข้าใจว่าไม่ใช่เป็นเพราะเขาสอนได้ดี แต่ความจริงเป็นเพราะเด็กคนนี้ฉลาดอย่างไม่มีที่เปรียบต่างหาก
ฉลาดแค่ไหนน่ะเหรอ?
ในช่วงสามวันนี้ หลินเจี๋ยเฝ้ามองอีกฝ่ายที่ไม่รู้อะไรเลยกลายเป็นเข้าใจคำศัพท์ภาษาอังกฤษและภาษาจีนที่ใช้บ่อยไปแล้ว เธอไม่ได้หยุดอยู่แค่การรับความรู้มาจากสารานุกรมเท่านั้น แต่ไปถึงขั้นเอาโน้ตต่าง ๆ ของหลินเจี๋ยที่เขาทำไว้เพื่อเรียนรู้ชาวอาซีร์และสภาพแวดล้อมตอนที่เขาเพิ่งมาถึงไม่นานไปอ่านด้วย
หลินเจี๋ยเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอมีความรู้กว้างขวางขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งที่เขามอบเพียงสารานุกรมเล่มเดียวให้เท่านั้นเอง
…บางทีเธออาจเป็นอัจฉริยะจริง ๆ
นอกเหนือจากนั้น อัตราที่มูเอนได้รับทักษะนั้นถือว่าไวมาก ‘ฟองน้ำ’ ถือว่าเป็นคำเปรียบเทียบชั้นยอดเมื่อหมายถึงความรวดเร็วในการดูดซับความรู้ของเธอ
ในคืนที่สอง เธอช่วยจัดการเตียงที่หลินเจี๋ยประกอบขึ้นมา และแปรสภาพจากเตียงเก่ากึ้กกลายเป็นโครงเตียงปกติให้
เสื้อผ้าที่หลินเจี๋ยเตรียมให้เธอก็ถูกตัดเย็บใหม่กลายเป็นชุดกระโปรงและดีไซน์อื่นซึ่งเหมาะสมกับเธอ โดยใช้เพียงแค่เข็มและด้ายเท่านั้น
เธอเองก็ทำความสะอาดร้านหนังสือด้วยครั้งหนึ่ง แม้ว่าร้านจะดูโทรมแถมยังดูหม่นหมองเป็นปกติ ตอนนี้กลับดูสะอาดสะอ้านกว่าแต่ก่อนนัก
ทว่า… เมื่อมูเอนมองไปยังกุหลาบของร้านหนังสือ เธอกลับลังเลไปนิดหน่อย ก่อนจะจ้องมันไปสักพักแล้วบอกว่าไม่รู้วิธีดูแลพืชพรรณ
นี่ทำให้หลินเจี๋ยลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็มีสิ่งที่เด็กคนนี้ไม่รู้สักทีสิน่า…
ตอนนี้เขามองตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญการเป็น ‘ผู้ปกครอง’ เด็กไปเสียแล้ว
หลินเจี๋ยสาวเท้าไปและหมุนดอกไม้เพื่อให้เห็นด้านหน้า เป็นดอกกุหลาบสีแดงอันงดงามซึ่งพริ้วไหวเบา ๆ
มูเอนเผยสีหน้าเรียบเฉยออกมาเล็กน้อย แต่หลังจากมองหลินเจี๋ย สายตาเลื่อนไปทางดอกไม้ดอกนั้น เธอก็พยักหน้าแล้วบอกว่ามันสวยดี
อื้ม… นั่นแสดงว่าชื่นชมมันอยู่สินะ หลินเจี๋ยคิดในใจ
มูเอนถึงขั้นเรียนรู้วิธีปรุงอาหารสามร้อยรูปแบบด้วยตัวเอง และเอางานของหลินเจี๋ยไปทำเสร็จสรรพ สร้างความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านที่เขาไม่ได้สัมผัสมานาน
นักเรียนมูเอนก็กลายเป็น ‘เสาหลัก’ ของบ้านไปโดยปริยาย
หากหลินเจี๋ยไม่ได้มั่นใจว่ามูเอนไม่ได้โกหกเรื่องอาการบาดเจ็บตอนแรกละก็ เขาคงจะสงสัยไปแล้วว่าตัวเองกำลังถูกหลอกอยู่หรือเปล่า…
แต่มันเองก็คงนึกภาพยากพอกันหากเธอรู้เรื่องพวกนี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
เด็กสาวเป็น ‘อัจฉริยะ’ นั้นเป็นคำอธิบายเดียวที่หลินเจี๋ยคิดขึ้นมาได้ โชคดีที่ตัวเขาเองก็มีอัจฉริยะผ่านหูผ่านตามาบ้าง ดังนั้นระดับของมูเอนถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้
อย่างไรเสีย ศักยภาพของอัจฉริยะก็ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลเท่าไรอยู่แล้ว
ในฐานะคนอายุยี่สิบสี่ …ไม่สิ เขาอายุยี่สิบเอ็ดก่อนย้ายมาที่นี่ หลินเจี๋ยได้ตีพิมพ์งานห้าฉบับ และทำธีสิสนับสิบในงานที่เกี่ยวข้อง แล้วก็กลายเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ขณะเรียนปริญญาเอกไปด้วย ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงถูกคนอื่นเรียกว่าอัจฉริยะเสมอ…
แต่ในมุมมองของชายหนุ่มนั้น เขามั่นใจว่านี่เป็นเพราะหน่วยความจำของเขาสูงกว่าเกณฑ์และเขามีทักษะครอบคลุม รวมไปถึงอาจารย์มีความสามารถโดดเด่นจึงทำให้เขาทำทุกอย่างจนเสร็จสมบูรณ์ได้
เมื่อพบอัจฉริยะตัวจริงที่ขัดแย้งกับหลักเหตุและผล หลินเจี๋ยย่อมรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรขนาดนั้น
ดังนั้น หลินเจี๋ยจึงยังรับได้กับข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเผลอเก็บเด็กอัจฉริยะมาเลี้ยงได้ดี
เพราะอย่างไรเสีย โลกใบนี้ก็กว้างใหญ่เสียจนความเป็นไปได้นั้นไร้ขีดจำกัด
และการเก็บผู้ช่วยซึ่งเก่งกาจไปเสียทุกด้านก็ถือเป็นเรื่องดีนี่นา?
ทว่าอารมณ์ดี ๆ ของหลินเจี๋ยก็คงอยู่ได้ไม่นานหลังผ่านไปไม่กี่วัน
ในวันที่สามหลังรับตัวมูเอนมา ตอนเช้าหลินเจี๋ยพลันพบว่ามีตำรวจตั้งวงล้อมอยู่ด้านนอกตอนที่เขาเดินลงมาเปิดร้าน
“ตำรวจเขตอำนาจศาลตอนกลางผู้ทรงเกียรติเหรอ…” หลินเจี๋ยเพ่งอ่านตัวอักษรเล็กจิ๋วบนสายสีเหลือง
แปลว่าวงล้อมนี้ถูกรับผิดชอบโดยเขตอำนาจศาลตอนกลางซึ่งมีอำนาจในการคุมกฎสูงสุด โดยปกติแล้วพวกเขาจะเป็นการ์ดส่วนตัวของผู้มีอำนาจและไม่ได้ถูกส่งตัวมาง่าย ๆ
แน่นอนว่าสาเหตุที่มาที่นี่เป็นเพราะอัคคีภัยเมื่อไม่กี่วันก่อน
ช่วงเวลาสองสามวันนั้น หลินเจี๋ยดูจะได้ยินข่าวหลากหลายซึ่งเกี่ยวกับไฟจากรายงานข่าวของโทรทัศน์ของคนข้างบ้านแล้ว
ไฟที่ว่าไม่ได้ห่างจากที่นี่มากนัก แต่ก็ไม่ได้ใกล้เท่ากับเหตุการณ์แก๊สระเบิดที่ห่างไปแค่ไม่กี่ถนน
ความเสียหายและการทำลายล้างถือว่ารุนแรง และกำลังตามหาต้นสายปลายเหตุกันอยู่ ทว่าการสืบสวนบอกชัดแล้วว่ามาจากสองจุดใด จุดแรกคือจุดท่อน้ำทิ้งซึ่งห่างไปหลายกิโลเมตร อีกจุดคือห้องทดลองที่เป็นของเขตตอนกลางที่ใครบางคนไปก่อเหตุเข้า
ไม่แปลกเลยว่าทำไมผู้มีอิทธิพลต่างควันออกหูที่บังอาจมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นใต้จมูกของพวกเขา
“มีอะไรเหรอคะ” มูเอนชะเง้อหน้า พยายามจะมองออกไปข้างนอก
หลินเจี๋ยรีบผลักตัวเธอกลับไปพร้อมพึมพำ “กลับไปครับ ตำรวจส่วนกลางส่งคนมาสืบสวนอัคคีภัยน่ะ อาจจะกำลังอยู่ในช่วงติดตามคนร้ายอยู่ก็ได้… ว่าแต่อ่านไปถึงผู้คุมกฎสูงสุดในโน้ตของผมหรือยังครับ”
มูเอนตอบรับด้วยเสียงฮึดฮัดเล็กน้อย หลินเจี๋ยจึงหมุนตัวและปิดประตูไปด้วย
เมื่อมองไปยังเด็กสาวตรงหน้า หลินเจี๋ยจึงกล่าวออกมา “พยายามอย่าพูดอะไรหรือกลัวอะไรถ้ามีคนเข้ามาถามคำถามนะครับ”
เขายื่นมือไปกอบกุมมือของผู้ช่วย แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมจะจัดการทุกอย่างให้เธอเอง”
มูเอนพยักหน้าหงึกหงัก นึกไปสักพักก่อนจะพูดขึ้นมา “เป้าหมายหลักของพวกเขาไม่น่าจะเป็นหนูหรอกนะ”
“นั่นแปลว่ายังมีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่พวกเขาจะตามหาเธอน่ะสิครับ ในที่สุดนักเรียนมูเอนก็ยอมแบ่งปันข้อมูลกับผมสักทีนะ”
หลินเจี๋ยยิ้มออกมา “แต่เธอก็ยังถือเป็นผู้พักอาศัยที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนนะครับ คงไม่ได้อยากโดนลากออกไปหรอกใช่ไหม”
อาการบาดเจ็บของมูเอนเริ่มหายไปหลายส่วนแล้ว นอกจากแผลลึกหน่อยบริเวณหลังต้นคอและใบหน้าซึ่งยังคงมีผ้าพันแผลพันเอาไว้
มองจากภายนอก เด็กสาวก็ดูเป็นผู้ช่วยร้านปกติที่บาดเจ็บ แต่ตอนนี้เธอเพิ่งจะเรียนรู้วิธีผนึกความผันผวนของอีเธอร์ในตัวด้วย
เธอไม่รู้เลยว่าสมาคมแห่งสัจธรรมจะรู้ไหมว่าเธอหนีมา หรือพวกเขาจะพบแล้วหรือไม่ว่ามีมนุษย์เทียมหลุดรอดออกมาได้
แต่หากสมาคมแห่งสัจธรรมเข้ามาตรวจตราจริง โฟกัสหลักของพวกเขาคงจะเป็นการตามหาคนที่เอามนุษย์เทียมอันล้ำค่าสามคนไป ในเมื่อคนเหล่านี้เป็นตำรวจเขตตอนกลางละก็ มูเอนย่อมคาดเดาว่าเป้าหมายหลักของพวกเขาคือปิดปากผู้พักอาศัยมากกว่า
หลินเจี๋ยพูดถูก ความน่ากังวลที่สุดของเธอตอนนี้ไม่ใช่เพราะเธอเป็นอมนุษย์ แต่เพราะเธอเป็นผู้พักอาศัยที่ยังไม่ลงทะเบียนต่างหาก…
กรุ๊งกริ๊ง!
เสียงกระดิ่งดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงบูตกระทบกันเสียงใสยามตำรวจสามนายเดินเข้ามา
หัวหน้าของพวกเขาดูจะเป็นหนุ่มแน่นวัยยี่สิบ จมูกโด่งเป็นสัน ผมสีน้ำตาลและดวงตาสีฟ้า เขามองไปรอบ ๆ ร้านหนังสือก่อนจะจ้องไปยังเคาน์เตอร์และหลินเจี๋ย
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจครับ ไม่ทราบว่าคุณได้พบกับคนน่าสงสัยคนไหนหรือเปล่า?”