เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 97 เจ้าของร้านนั่นน่ะเป็นวิญญาณโฉดชั่ว!
นามของชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาร้านหนังสือคือแซนเดอร์ ลีออง เป็นเจ้าหน้าที่ขั้นสามของตำรวจระดับสูงสุด
แม้ว่าความจริงจะไม่มีความแตกต่างอะไรเลยระหว่างตำรวจประจำเขตตอนบนกับเขตตอนกลาง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงสุดนั้นถูกปกครองโดยเขตตอนกลางโดยตรง ซึ่งนั่นแปลว่าอยู่ระดับสูงกว่าเจ้าหน้าที่ปกติอยู่แล้ว
ตำรวจระดับสูงสุดนั้นเป็นตัวแทนปณิธานของผู้มีอิทธิพลในเขตตอนกลาง คนที่เข้าทำงานที่นั่นได้นั้นหากไม่ใช่ว่าเก่งมากก็มีเส้นสาย
ดังนั้นทำให้เจ้าหน้าที่หน่วยนี้มีความหยิ่งยโสที่ถูกส่งตัวมาที่นี่
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ไปถึงขั้นโอหัง แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ไม่รู้สึกอยากจะทำอะไรเพื่อชาวบ้านในเขตตอนบนสักเท่าไรนัก
คนที่พวกเขาทำงานให้คือผู้มีอิทธิพลและขุนนางในเขตตอนบนต่างหาก และมีเพียงคำสั่งของพวกเขาเท่านั้นที่จะเชื่อฟัง
ดังนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะไม่ค่อยมีความอดทนในการรับมือต่อคนจนหรือชาวบ้านปกติในเขตตอนบน
กับลีอองแล้วยิ่งใช่ เขามาจากตระกูลขุนนางที่ไม่ได้ตกอับ แถมยังมีสินทรัพย์และธุรกิจเป็นของตัวเอง
อีกทั้งพื้นหลังครอบครัวเช่นนี้ย่อมได้รับข่าววงในมาบ้าง… เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ไม่ใช่อะไรที่ตำรวจสักหน่วยสองหน่วยจะไล่ตามหรือแก้ปัญหาได้หรอก
ภารกิจของพวกเขาทำไปก็เพื่อแสดงถึง ‘ศักยภาพและความน่าเชื่อถือ’ ของเขตตอนกลางให้ผู้พักอาศัยของเขตตอนบนเห็นก็เท่านั้น
พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นแค่การกระทำตามมารยาทนั่นแหละ
สิบสองชั่วโมงก่อน ลีอองและเพื่อนร่วมงานกำลังคุยกันลั้ลลา วางแผนว่าจะไปคลับกันอยู่เลย แต่พริบตาเดียว พวกเขาดันถูกส่งตัวมาเขตตอนบนสุดเฉอะแฉะแถมยังเหม็นหึ่งเสียแล้ว
ภารกิจแบบนี้เป็นอะไรที่กินแรง ได้ไม่คุ้มเสีย แถมยังเปลืองเวลาสุด ๆ ไปอีก
ลีอองแค่อยากจะทำภารกิจไร้ความหมายนี่ให้มันจบ ๆ เพื่อพุ่งตรงกลับบ้านไปอาบน้ำอุ่น ชะล้างสิ่งสกปรกและคราบโคลนบนตัวเต็มแก่…
ลีอองเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหายใจลำบากขึ้นมา การเข้ามาเจออากาศอึดอัดสกปรกนี่ไม่ต่างกับอาหารโด่งดังประจำที่ราบสูงนอร์เธิร์นเลย… ใช่แล้ว เหมือนบ๊ะจ่างไม่มีผิด!
เฮอะ ภารกิจระยำเอ๊ย ถ้าได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับหนึ่งเมื่อไหร่นะ ฉันจะไม่เสียเวลากลับมาถนนนี่เพื่อวิ่งวุ่นเป็นหมาต้อนแกะอีกแน่!
“ว่าไปแล้ว ถนนนี่เพิ่งเกิดเหตุแก๊สระเบิดไปไม่ใช่เหรอเนี่ย”
ความสนใจของลีอองจ้องไปพื้นที่สภาพ ‘ราบเป็นหน้ากลอง’ ข้างถนนนี้เมื่อเขามาถึง ถนนด้านหนึ่งก็ดูไร้ระเบียบเป็นปกติ ในขณะที่อีกด้านกลายเป็นซากหักปรักพังของจริง สายล้อมรอบที่เกิดเหตุสีเหลืองปลิวไสวตามแรงลม
หนึ่งในลูกน้องประจำหน่วยตอบ “ใช่ครับ เป็นเหตุการณ์ที่เขียนไว้ในนอร์ซินเดลี่เมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว”
“ครึ่งเดือนที่แล้วเรอะ” ลีอองเชิดคางขึ้นแล้วเอ่ยด้วยบรรยากาศของผู้เหนือกว่า “แล้วยังอยู่ในสภาพนี้อีก นั่นแหละประสิทธิภาพของเขตตอนบนน่ะ”
สองลูกน้องในหน่วยจากเขตตอนบนเหลือบมองกัน แต่ไม่ได้เผยออกไปว่าความเละเทะทำให้สำนักข่าวมาทำงานมากมายเพื่อปรนเปรอเขตตอนบนที่ไม่มีข่าวบันเทิงมายาวนาน การก่อสร้างจึงดีเลย์มาจนปัจจุบัน
กว่าจะได้เริ่มก็ตอนบริษัทโรลล์ได้รับสัญญาเมื่อไม่นานมานี้นั่นแหละ
ดังนั้น สาเหตุหลักของความไร้ประสิทธิภาพก็มาจากผู้คนของเขตตอนกลางชัด ๆ
แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่เอ่ยอะไรออกไปให้ขัดหูผู้เป็นนาย ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะลำบากในอนาคตถึงขั้นถูกถอดยศเลยก็ได้
“ไปกันเถอะ นี่แสดงว่าพวกเราแค่ต้องถามคนแค่ครึ่งเดียวบนถนนเส้นนี้น่ะสิ” ลีอองพูดด้วยความพอใจ “แปลว่างานพวกเราง่ายขึ้นเยอะเลย”
พูดตามตรง งานแบบนี้ถือว่าผ่อนคลายจนหาที่ใดเปรียบเหมือนกัน
เมื่อถูกส่งตัวให้มายังเขตตอนบนนี้ ลีอองก็ได้แต่มองสายตาแสดงความเคารพ ชาวเมืองต่างก็เดินมาหาเขาอย่างเงียบสงบด้วยความกลัวถูกสอบสวน
แค่ถามคำถามง่าย ๆ ก็ให้พวกเขาเผยทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้าน แถมยังชมลีอองเสียใหญ่โตจนเขารำคาญ
ที่น่าขำสุดคงไม่พ้นเจ้าของร้านขายเครื่องเสียงนั่น
เขาเคลมว่าเจ้าของร้านหนังสือข้างบ้านนั้นอาจจะถูกวิญญาณร้ายเปลี่ยนตัวมา
“เจ้าของร้านนั่นน่ะเป็นวิญญาณชั่ว!
“เขาน่ะเดินทะลุกำแพงได้ แถมยังทำเรื่องน่ากลัวได้อีก” ชายวัยกลางนามคอลินพล่าม สีหน้าของเขานั้นเคร่งเครียด แถมน้ำเสียงยังสั่นเครือเล็กน้อยอีกด้วย “ไม่กี่วันมานี้ในช่วงเช้า ผมได้ยินเขาใช้เลื่อยไฟฟ้า…อาจเป็นการตัดกระดูกคนหรือก้อนเนื้อก็ได้ มันโคตรน่ากลัวเลย แถมเขายังหัวเราะบ้าคลั่งอีก อีกไม่นานไอ้หมอนั่นต้องมาฆ่าผมแน่ ๆ”
หนึ่งในเจ้าหน้าที่หยอกเย้าไป ‘บางทีคุณอาจต้องไปยื่นคำร้องที่โบสถ์นะครับ’
“ผมทำไปแล้วนะ!” คอลินฉุนเฉียวนักเมื่อตำรวจทั้งสามคนมองเขาอย่างกับตัวตลก “คุณพ่อกำลังมาที่นี่ เขาจะมาช่วยผมเอง!”
“โอเค โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นก็รอคุณพ่อมานะ พวกเราขอจบคำถามเพียงเท่านี้แหละ”
เห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างมองเรื่องนี้เป็นเรื่องขบขันไปแล้ว
ตอนแรกลีอองยังระมัดระวังอยู่บ้าง แต่พอเขาขอหลักฐานจากคอลิน อีกฝ่ายดันพล่ามบ้าอะไรก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านข้างบ้านเป็นคนที่ควรหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นเขาจะโชคร้าย
นั่นทำให้ลีอองสงสัยว่าสมองของคนคนนี้คงจะกระทบกระเทือนเป็นแน่
“คนของเขตตอนบนก็เป็นงี้กันแหละน้า…” ลีอองพึมพำพลางโคลงหัวแล้วเดินนำลูกน้องให้ออกจากที่นี่
แล้วเขาจึงมองไปยังร้านหนังสือข้าง ๆ
เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะการพล่ามอะไรไร้สาระของคอลินหรือเปล่า แต่ตอนนี้ ลีอองสัมผัสได้ถึงความล่อลวงอันบอกไม่ถูกแผ่ออกมาจากหน้าร้านสุดโทรม
ไม่ว่าจะเป็นกระดิ่งทองแดงแขวนอยู่บนประตูหรือหน้าต่างด้านข้างซึ่งเปรอะไปด้วยฝุ่น
ลีอองบอกกับตัวเองว่านี่เป็นแค่ธุรกิจประจำวันเท่านั้น แล้วจึงก้าวเข้าไป
เจ้าของร้านนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์นั้นเด็กกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก แต่ที่ไม่คาดคิดคือมีผู้ช่วยร้านอยู่ข้างตัว
ผู้ช่วยนั้นดูจะเป็นเด็กสาววัยละอ่อน บนใบหน้าและตัวยังมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ ดูราวกับมีแผลเพิ่งไม่นานมานี้
“ผมจำได้ว่าข้อมูลของร้านแสดงให้เห็นว่ามีเจ้าของแค่คนเดียวนะครับ” ลีอองว่าพลางกวาดตาอ่านแฟ้มซึ่งมีข้อมูลเบื้องต้นของร้านนี้
เจ้าของร้านหนังสือพยักหน้าและตอบตามปกติ “เธอเป็นผู้ช่วยที่ผมเพิ่งจ้างน่ะครับ ธุรกิจเพิ่งจะวุ่นวายเอาช่วงนี้ ผมเลยทำคนเดียวไม่ไหวน่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ ถ้างั้นผมขอดูเอกสารยืนยันตัวตนหรือสิ่งยืนยันการพักอาศัยหน่อยได้ไหมครับ พวกเราต้องบันทึกน่ะ”
“นั่นอาจจะยุ่งยากไปหน่อยน่ะครับ” เจ้าของร้านตอบ “พอดีเธอเป็นลูกสาวของเพื่อนของญาติผม แล้วเพิ่งจะย้ายจากเขตตอนกลางมาที่นี่ด้วย ผมว่าพวกคุณน่าจะรู้อยู่แล้วว่าวิธียื่นเอกสารการเต็มใจเปลี่ยนจากตระกูลขุนนางมาเป็นผู้พักอาศัยธรรมดามันยากแค่ไหน มันกำลังอยู่ในกระบวนการครับ เพราะงั้นเอกสารก็เลยถูกยื่นไปให้ฝั่งนั้นหมดเลย”
“อ้อ… เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นมาอยู่เหมือนกัน แล้วแผลบนตัวของเธอล่ะ”
“เรื่องนั้น ผมคงต้องขอเล่าถึงการเสื่อมถอยของตระกูลพวกเขาก่อนนะครับ…”
เจ้าของร้านกระแอมไอ ดูจะเริ่มร่ายเรื่องราวอันแสนยาวนาน
เจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนซึ่งยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์เตรียมฟัง แต่ดวงตาของพวกเขาต่างจับจ้องไปยังกุหลาบแดงแสนสวย
ลีอองเดินเข้าไปข้างในเพื่อตรวจสอบรอบด้านพลางเอ่ยขึ้นมาสบาย ๆ “จะว่าไป เพื่อนบ้านคุณดูจะเหยียดคุณอยู่แน่ะครับ เขาว่าคุณเป็นวิญญาณร้ายอะไรสักอย่างด้วย”
เจ้าของร้านหนังสือผงะไป “วิญญาณร้ายเหรอครับ? ผมไม่ยักรู้ว่าเขามองผมแบบนั้นเลยนี่สิ ผมเคยช่วยเขาด้วย แต่ไม่นึกว่าเขาจะเข้าใจผิดไปแบบนี้ได้ แปลกจัง ถ้าคิดสักหน่อยก็น่าจะรู้สิ ผมจะเป็นวิญญาณร้ายได้ยังไงกัน”
ลีอองชะงักฝีเท้าเมื่อเหลือบไปเห็นรอยเลือดจาง ๆ ซึ่งติดอยู่บนเก้าอี้เอนตัว
ความเย็นยะเยือกแผ่ขึ้นมาถึงสันหลังทันทีทันใด เขากลับหลังหันทันควันแล้วก็เห็นตำรวจสองคนนั้นถูกตรึงอยู่กับที่ เมื่อกลีบดอกไม้ที่เหมือนกับเลือดเบ่งบานออก จึงเผยให้เห็นคมเขี้ยวเป็นวงรีและลูกตาอันอำมหิต
เจ้าของร้านหลังเคาน์เตอร์แย้มรอยยิ้มกว้าง
“ผมเป็น… คนที่มีลมหายใจจริง ๆ นะครับ!”