เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 98 พวกเขาไม่เป็นไรแน่นะ
“ผมเป็น… มนุษย์เดินดินจริง ๆ นะครับ!”
เจ้าของร้านหนังสือยิ้มอ่อนโยนแก่ตำรวจทั้งสาม ซึ่งรอยยิ้มนั้นเจือไปด้วยความขุ่นเคืองอันเนื่องมาจากความเข้าใจผิด
“คุณ…” ลีอองกลืนน้ำลายเฮือกเมื่อสัมผัสชาดิกคืบคลานมายังตัวเขา ภาพตรงหน้าซึ่งบิดเบี้ยวตรรกะทำเอาเขารู้สึกเหมือนจิตใจตนกำลังถูกฉีกกระชาก
ราวกับว่ากะโหลกของเขาถูกแยกออก แล้วสมองก็ถูกอะไรบางอย่างคนอยู่ไม่มีผิด
นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างพร้อมกับความคลื่นไส้พุ่งเข้ามา สายตาของเขาเริ่มพร่าเลือน สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงใบหน้าเปื้อนยิ้มและดอกกุหลาบ ‘ที่อ้าปากกว้าง’ เท่านั้นเอง
ในระยะเวลาที่ไม่แน่นอนนี้ ใบหน้าของเจ้าของร้านหนังสือเริ่มเลือนหายและจางไป
ปากอ้าค้างซึ่งเต็มไปด้วยฟันแหลมคมขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ กลีบจากเนื้อหนังมังสาใกล้แค่เอื้อมและลูกตากระตุกจ้องมองเขาเป็นทั้งหมดที่ลีอองเห็น
จิตใต้สำนึกสุดท้ายของลีอองกำลังตะโกนกู่ร้อง
แกมันไม่ใช่คนโว้ย! ไอ้คนโกหก! อย่างแกจะเป็นมนุษย์เดินดินได้ไงก่อน!?
เขาเห็นสีหน้าหวาดกลัวบนใบหน้าของตำรวจอีกสองนายจนสัมผัสได้ถึงความกลัวจับขั้วหัวใจของพวกเขา
มันราวกับว่ามีหลอดเชื่อมพวกเขาทั้งสามอยู่ และต่างดูดความคิดพร้อมรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ในขณะเดียวกันก็สร้าง ‘ส่วนผสม’ พิเศษที่ทำให้ภาพลวงตาและความคิดทั้งสามเชื่อมโยงกันชั่วคราว
กลัว ตระหนก สิ้นหวัง ตะลึง พ่ายแพ้ ผวา…
ทุกอย่างนี้ถูกถักทอเป็นหนึ่งเดียวและเลือนหายไปพร้อมกัน
ทว่าประสบการณ์สัมผัสอันแปลกแยกนี้อยู่ไม่นานก่อนที่พวกเขาจะเริ่มถูก ‘ดูดซึม’
ได้ยินเสียงเคี้ยวและดูดจาง ๆ ประสาทการรับรู้ของเขาก็เริ่มแตกสลายพร้อมกับความว่างเปล่าได้แตกหน่อขึ้นมา…
คลับ งานปาร์ตี้ และความปรารถนาอื่นที่เขามีเริ่มจางหาย…
หน้าที่การงาน ครอบครัว… ปณิธานของเขาเองก็หายตามไปด้วยในเวลาไม่นาน
กริ๊ง!!
กระดิ่งทองแดงบนประตูร้านหนังสือลั่นขึ้นมาอีกครั้ง
“นี่พวกนายกำลังทำอะไรน่ะ”
เสียงเคร่งขรึมจริงจังของคนแปลกหน้าดังขึ้นมา และนั่นเป็นดั่งค้อนทุบ มันสลายบาเรียไร้รูปร่างนั้นทันที
ดอกไม้ซึ่งเต็มไปด้วยเลือดและเนื้อหนังเป็นชั้น ๆ ในคลองสายตารีบหุบลงทันควัน กลับกลายเป็นดอกกุหลาบปกติ
แกรก…
เสียงมันเหมือนกับแก้วแตกร้าวไม่มีผิด
ลีอองกลับมาควบคุมแขนขาอ่อนเปลี้ยและประสาทสัมผัสอันแข็งทื่อ พร้อมกับที่โลกตรงหน้าเขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ทว่าร่างกายของลีอองกลับเหงื่อแตกพลั่ก เขาเซไปด้านหลัง หอบแฮกราวกับว่าตนจะสลบไปด้วยความกลัวได้ทุกเมื่อ
ตุ้บ! ตุ้บ!
ลูกน้องทั้งสองของลีอองล้มก้นจ้ำเบ้าและถอยไปอย่างอ่อนแรง สีหน้าหม่นหมองไปด้วยความสิ้นหวัง
สีหน้าที่พวกเขามีราวกับว่าความหวังในการชีวิตทั้งมวลได้หายไปจนสิ้น
ระหว่างที่ถอยห่าง พวกเขาพยายามจะตะเกียกตะกายขึ้นมาวิ่งพลางพึมพำไม่ได้ศัพท์ “ไม่นะ! อย่าเข้ามาใกล้ฉัน!”
ริมฝีปากของลีอองแห้งผากเมื่อเห็นภาพตรงหน้า หน้าผากของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ…
นี่ไม่ใช่ภาพลวง
พวกเขาทั้งสามเพิ่งจะเกือบดอกไม้ประหลาดนั่น ‘เขมือบ’ มาหมาด ๆ
แต่ทำไมดูเหมือนว่าลูกน้องสองคนนั้นจะโดนแรงกว่าเขาอีกล่ะ?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ขึ้น ลีอองพลันรู้สึกว่าหน้าอกของตัวเองร้อนผ่าว เขาเอื้อมมือไปดึงสร้อยที่ตนสวมใส่ตั้งแต่เด็ก สร้อยนี้เขาว่ามันถูกถ่ายทอดมาหลายยุคสมัยในตระกูลเขา และจี้ของมันถูกสลักไว้โดยภาษาไร้ที่มา
ตอนนี้ตัวอักษรของมันถูกเผาเป็นเถ้าถ่านและร้อนเกินกว่าจะแตะ หลังจากนั้นถ้อยคำบนจี้ก็หายวับไป ทิ้งไว้เพียงรูปร่างของเหล็กหล่อวงเกลี้ยงเท่านั้น
“…”
เสียงแตกหักอันรางเลือนดังขึ้น พร้อมกับจี้เหล็กนั้นแตกออกเป็นสองเสี่ยง
ลีอองกำจี้มรดกตกทอดด้วยความมึนงง เขาหันไปมองเจ้าของร้านหนังสือด้วยความหวาดกลัว ราวกับตนกำลังมองเห็นผีไม่ก็วิญญาณร้ายอย่างไรอย่างนั้น…
พระเจ้าช่วย! ไอ้คนร้านขายเครื่องเสียงนั่นพูดถูกนี่หว่า!
ไม่สิ! ไม่อะ ไม่ ไม่! ไอ้หมอนี่แม่งน่ากลัวกว่าวิญญาณร้ายไปร้อยเท่า ไม่สิ พันเท่าเลยต่างหาก! แค่ดอกไม้หมอนี่ก็เป็น ‘ตัวกินคน’ แล้ว!
ลีอองรู้สึกว่าส่วนหนึ่งของตัวเองถูก ‘เขมือบ’ ไปแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ มันรู้สึกแค่ว่าในอนาคตนี้ก็จะกลับตาลปัตรไปแน่นอน…
ระหว่างที่เขากำลังตระหนกก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มผู้เป็นต้นเสียง ซึ่งโชคดีที่หยุดการเขมือบของดอกไม้นี้ได้
เขาเป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลา เรือนผมสีทองและตาสีฟ้า สวมแจ๊กเก็ตกันลมสีดำและกางเกงขายาว รูปลักษณ์อันเด่นสง่าราวรูปปั้นหินอ่อนสร้างบรรยากาศผดุงความยุติธรรมแผ่ออกมา และนัยน์ตาของเขาก็เปี่ยมไปด้วยแสงประกาย
เขาหยุดตำรวจ ‘ที่ถูกสิง’ ทั้งสองนายซึ่งกำลังจะหนีไปอย่างขาดสติ ก่อนจะซัดพวกเขาสลบเหมือด หลังจากนั้นจึงพยุงตัวพวกเขาไปพิงเข้ากับผนังด้านข้างแล้วยืดตัวยืนขึ้นตรง
ความพลิ้วไหวของการกระทำและรูปลักษณ์นั้นเปล่งประกายเกินต้าน มันไม่ต่างกับตอนที่ฮีโร่โผล่มาช่วยเหลือในหนังช่วงไคลแม็กซ์เลยสักนิด
ลีอองรู้สึกเหมือนตนได้รับ ‘การช่วยเหลือ’ เรียบร้อยแล้ว
แต่เหม่อลอยไปสามวินาที เขาก็ตระหนักขึ้นมาว่าชายคนนี้ดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
ยิ่งลีอองมองมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตามากขึ้นเท่านั้น
ลีอองคุ้ยความทรงจำในสมอง แสงสาดจ้าชั่วพริบตาถูกรูดซิปออกท่ามกลางจิตใต้สำนึกอันขุ่นมัว และเขาก็จำได้ในที่สุด คนนี้คือร้อยตำรวจเอกที่เพิ่งถูกเลื่อนตำแหน่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้นี่นา
คล็อด ใช่แล้ว! ลีอองจำได้แล้วว่าเขาชื่อคล็อด
ว่ากันว่าเขาเป็นปุถุชนที่เริ่มจากศูนย์ พึ่งพาแต่ความสามารถของตัวเองในการไต่เต้าอันดับขึ้นมารัว ๆ แล้วดันบังเอิญว่าจุดสูงสุดของสายอาชีพเขาชนเข้ากับช่วงเวลาที่ผู้มีอำนาจของเขตตอนกลางตัดสินใจจะมอบตำแหน่งสำคัญในเขตตอนบนพอดี
ลีอองอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนกลับไปถึงแวดวงสังคมที่เขาไปเข้าร่วมบ่อย ๆ ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าหนุ่มผู้มากไปด้วยความสามารถ สถานภาพ และได้รับการยอมรับสามารถ…
เขามอง ‘ผู้ช่วยชีวิต’ ซึ่งเป็นร้อยตำรวจเอกวัยหนุ่มที่เหลือบมองมายังตนแล้วถอนหายใจ ก่อนจะหันไปหา ‘วิญญาณร้าย’ ตนนั้นพร้อมโค้งคำนับอย่างเป็นทางการ
“สวัสดีครับคุณหลิน ผมชื่อแฮร์รี่ คล็อดครับ เป็นลูกศิษย์ของโจเซฟ แล้วก็ยังเป็นร้อยตำรวจเอกระดับหนึ่งของเขตตอนกลางด้วย อาจารย์ของผมส่งความคิดถึงมาให้น่ะครับ”
ตุ้บ!
ลีอองทนอาการช็อกไม่ไหวและสลบไปในที่สุด ตัวของเขาร่วงลงไปกับพื้นทันควัน
ริมฝีปากของหลินเจี๋ยกระตุกน้อย ๆ พลางเหลือบมองตำรวจสามนายนอนแน่นิ่งกับพื้น
“พวกเขาไม่เป็นไรแน่นะครับ” หลินเจี๋ยถามด้วยความเป็นห่วง
กลัวกับแค่เพราะเจอหัวหน้าตัวเองท่ามกลางสถานการณ์ไม่เป็นเรื่องแบบนี้เนี่ยนะ…
เขาอดพึมพำออกมาไม่ได้ “ไม่หน่อมแน้มไปหน่อยเรอะแบบนี้…”
คล็อดยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม เหลือบมองไปยังกุหลาบยืนแน่นิ่งซึ่งดูจะแอบเรอออกมาพลางคิดในใจ ‘ไหงคุณถึงไม่รู้ตัวเอง หนักกว่าอาจารย์ผมอีกเฉยเลยล่ะครับ…’
ทว่าจากสถานการณ์ที่เขาใช้รับมืออาจารย์ตัวเอง คล็อดก็ตอบกลับมาอย่างใจเย็น “ไม่น่าจะเป็นปัญหามากขนาดนั้นหรอกครับ ไม่กี่เดือนพวกเขาก็รักษาตัวเองเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยให้พวกเขาหยุดยาวเอง โปรดอย่าเป็นห่วงสุขภาพกายและใจของพวกเขาเลยนะครับ”