เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 151 ตั้งชื่อเด็กๆ
บทที่ 151 ตั้งชื่อเด็กๆ
เฉาเช่าเห็นด้วยอย่างไม่ติดใจ
“ข้าจะดูแลแม่นางน้อยผู้นี้เอง”
แม่ทัพเจิ้นเป่ยรู้ดีว่าหากไม่ได้ถังหลี่มาคอยดูแลครอบครัวของพี่ฟานล่ะก็ ไม่รู้ว่าตอนนี้ครอบครัวนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง หากเฉาเช่าตายไปก็ไม่รู้ว่าจะมีหน้าไปเจอพี่ฟานได้อย่างไร
ผู้ที่คอยช่วยครอบครัวของพี่ฟานก็คือผู้มีพระคุณของเขา
ดังนั้นต่อให้ป้าเกาไม่พูดเรื่องนี้ เขาก็ตั้งใจที่จะตอบแทนนางอยู่แล้ว นอกจากนี้เฉาเช่ายังตั้งใจจะพาครอบครัวของป้าเกาไปดูแล แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาย่อมไม่เต็มใจจะไปด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นเฉาเช่าจึงทำได้เพียงแอบช่วยเหลือพวกเขาเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ถูกผู้ใดกลั่นแกล้ง รวมไปถึงหาหมอที่จะรักษาหลันฮวาเอ๋อร์ด้วย
เฉาเช่าวางแผนไว้ในใจ
แม่ทัพเจิ้นเป่ยมีภาระหน้าที่อยู่บนบ่ามากมาย ทำให้ไม่สามารถรั้งอยู่ที่นี้ได้นาน เขาต้องรีบเดินทางกลับ ทางด้านเว่ยฉิงเองก็ต้องกลับไปยังจวนสกุลเซี่ย พวกเขาจึงตกลงเดินทางออกจากหมู่บ้านพร้อมกัน บนรถม้าเว่ยฉิงมอบแบบร่างคันธนูและหน้าไม้ให้กับเฉาเช่า เมื่อเฉาเช่ารับไปกลับพบว่ายิ่งเขามองแบบร่างในมือมากเท่าไร เขายิ่งตกใจมากขึ้นเท่านั้น
นี่คือสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง!
ด้วยอาวุธชิ้นนี้ เขาสามารถฝึกกองทัพที่ไร้พ่ายต่อศัตรูได้! หลังจากที่แม่ทัพเฉาดูแบบทั้งหมดแล้ว เขาเก็บวางไว้ใกล้ตัวอย่างระมัดระวัง ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เว่ยฉิง ชายหนุ่มผู้นี้มีบุคลิกที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ ยิ่งมองเขาก็รู้สึกได้ถึงอนาคตที่รุ่งโรจน์ไม่มีขีดจำกัดของชายหนุ่มผู้นี้
“พ่อหนุ่ม เจ้าไม่สนใจเข้าร่วมกองทัพหรือ?” เฉาเช่าถาม
ถังหลี่กลอกตารีบเดินเข้ามาหา
“แม่ทัพเฉา ข้าให้แบบคันธนูกับหน้าไม้แก่ท่าน แต่ท่านคิดจะลักพาตัวสามีข้าหรือ?”
“คนดีย่อมมีปณิธานที่ดี” เฉาเช่าหัวเราะ
“สามีของข้าดีแค่เฉพาะกับข้าและลูก ๆ เท่านั้นแหละ”
เว่ยฉิงไม่ได้ตอบอะไร ชายหนุ่มกอดถังหลี่แน่นราวกับยืนยันว่า ‘ภรรยาเขาพูดเรื่องจริง’
เมื่อเฉาเช่าได้ยินแบบนั้น เขาก็ไม่คิดจะดึงดัน เพียงแต่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขบขัน
ใช่แล้ว! จุดมุ่งหมายของคนบางคนคือความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่สำหรับบางคนก็คือลูก ๆ และภรรยาของตนเท่านั้น
“เอาล่ะ ๆ แม้ว่าเจ้าจะน่าสนใจมากก็เถอะ ! แต่ข้าจะไม่ดึงดัน นี่สำหรับเจ้า” เฉาเช่ายื่นของบางอย่างให้ถังหลี่
หญิงสาวรับมันไปและพบว่ามันคือป้ายหยกสีดำสนิทอันหนึ่ง
“ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ใด เจ้าสามารถเข้าพบข้าได้ตลอด” เฉาเช่ากล่าว
ดวงตาของถังหลี่เป็นประกาย นี่หมายความว่านับแต่นี้ไป นางจะได้ผู้มีอำนาจหนุนหลังแล้ว! ในภายหน้าหากนางมีปัญหาติดขัดประการใด ย่อมมีทางออกแก้ไขได้แล้วสินะ!
ยอดเยี่ยม!
ถังหลี่รีบเก็บป้ายหยกทันทีอย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะหยอดคำหวานให้แม่ทัพเจิ้นเป่ย
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่ทัพเฉา”
เมื่อรถม้าไปถึงเมืองเหยาสุ่ย ถังหลี่และเว่ยฉิงก็ลงจากรถม้า ก่อนที่รถม้านั้นจะมุ่งหน้าไปยังเมืองฉินโจวต่อ
และแล้วเรื่องที่แม่ทัพเฉามาที่บ้านลุงหลี่ก็แพร่กระจายไปทั้งหมู่บ้าน
“ลูกชายของลุงหลี่กับท่านแม่ทัพเจอกันที่สนามรบ พอเขาเสียชีวิตลง ท่านแม่ทัพจึงทำหน้าที่กตัญญูแทนลูกชายลุงหลี่”
“ท่านแม่ทัพมีกำลังพลกี่คนหรือ?”
“มากกว่าท่านเจ้าเมืองเหอตงหลายเท่านัก”
“โอ้ สวรรค์! เขาคือขุนนางระดับสูงหรือ! ถ้าเป็นดั่งที่เจ้าว่า ครอบครัวของลุงหลี่น่าจะมีวาสนาหล่นทับ!”
“ท่านแม่ทัพจะเลี้ยงดูครอบครัวของลุงหลี่ ต่อไปครอบครัวเขาน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ”
“ข้าเคยคิดว่าหลี่ฟานเป็นพวกขี้โม้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสามารถไม่น้อย น่าเสียดายที่อายุสั้นไปหน่อย”
“โชคดีที่พวกเราไม่ได้ทำให้ลุงหลี่ขุ่นเคืองมาก่อนนะ”
“ฮูหยินเว่ยเป็นคนที่คอยช่วยเหลือครอบครัวของป้าเกามาตลอด ดังนั้นแม่ทัพคงหนุนหลังฮูหยินเว่ยใช่หรือไม่?”
“ฮูหยินเว่ยเป็นคนดีมาก ในภายหน้าข้าต้องตอบแทนนางแน่นอน!”
“เด็กไม่เอาไหนอย่างเจ้าจะมาสัญญาอะไร!”
……..
เมื่อแม่ทัพหนุ่มเดินทางกลับมายังค่ายทหาร สิ่งแรกที่เขาทำคือการส่งแบบร่างคันธนูและหน้าไม้ไปยังเมืองหลวง เพื่อทูลขอพระบรมราชโองการจากฮ่องเต้ในการสร้างอาวุธใหม่ ทันทีที่เฉาเช่าสั่งการเสร็จ นายกองจ้าวก็เดินเข้ามา
“ท่านแม่ทัพ ฝางหวู่ละเมิดกฎกองทัพไม่ใช่หรือขอรับ เหตุใดเขาจึงถูกเรียกตัวกลับมารับตำแหน่งเดิมเล่า?” จ้าวเทียนยี่ถามด้วยความสับสน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ฝางหวู่พาเข้ามาในค่ายคือผู้ใด?” เฉาเช่าถาม
“เขา? เขาเป็นแค่ตาแก่ผู้หนึ่งไม่ใช่หรือขอรับ? ข้าไม่รู้ว่าฝางหวู่รับสินบนอะไรจากตาแก่ผู้นี้จึงได้ยอมฝ่าฝืนกฎของกองทัพ” นายกองจ้าวกล่าว
“ชายแก่ที่เจ้าพูดถึง คือบิดาของพี่ชายที่ข้าเคารพ” บรรยากาศรอบตัวของแม่ทัพเฉาเย็นยะเยือกขึ้นทันที
จ้าวเทียนยี่สั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่
ชายแก่คนนั้น…คือบิดาพี่ชายที่ท่านแม่ทัพเคารพหรือ?
ทุกคนในค่ายทหารรู้ดีว่าท่านแม่ทัพมีพี่ชายที่เคารพรักอยู่ผู้หนึ่ง หากเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับพี่ชายคนนี้มักจะได้รับการยกเว้นทั้งหมด…เป็นคนที่มีความสำคัญต่อแม่ทัพเฉามาก
ดังนั้นฝางหวู่จึงมีความดีความชอบให้แม่ทัพเฉา ส่วนเขานั้น…
จ้าวเที่ยนยี่รู้สึกเสียใจจนแทบกระอัก รู้อย่างนี้เขาจะไม่มีทางทำร้ายตาแก่คนนั้นแน่นอน! ต้องต้อนรับขับสู้อย่างดีถึงจะถูก!
แสดงว่าตอนนี้ฝางหวู่คือคนที่ได้รับความดีความชอบจากเรื่องร้าย ๆ ใช่หรือไม่?
นายกองจ้าวโกรธมาก แต่ในชั่วพริบตาผ่านไปความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงก็ตามมา
“จ้าวเทียนยี่ เจ้าคือคนที่ทำร้ายลุงหลี่ใช่หรือไม่?” เฉาเช่ากล่าวขึ้นอย่างเย็นชา
จ้าวเทียนยี่หวาดกลัวจนเหงื่อเย็น ๆ ซึมออกมา
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เจ้าก่อไว้! เจ้าพยายามหลอกลวงข้า! ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าอีกต่อไป คนที่มีความดีความชอบก็ได้เลื่อนตำแหน่งส่วนคนที่ทำงานล้มเหลวปราศจากความรับผิดชอบก็ต้องล้มหายตายจากไป”
“ท่านแม่ทัพ ข้า…ข้าไม่กล้าแล้วขอรับ”
นายกองจ้าวพยายามจะวิ่งหนี…
วันรุ่งขึ้นจ้าวเที่ยนยี่ต้องพักฟื้นที่บ้านเพราะขาหักมาค่ายของแม่ทัพเฉาไม่ได้ เฉาเช่าใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้โยกย้ายงานทั้งหมดที่นายกองจ้าวรับผิดชอบ ไปให้ทหารคนอื่นที่ไว้ใจได้แทน
…..
ณ เมืองเหยาสุ่ย
เว่ยฉิงและถึงหลี่ใช้เวลาทั้งวันไปกับเด็ก ๆ
ตอนนี้สำนักศึกษาหงเหวินเข้าสู่ช่วงหยุดเทศกาล เว่ยฉิงและถังหลี่จึงพาเด็กทั้งสองไปรับพี่ชายที่สำนักศึกษา
เดิมทีถังหลี่คิดว่าตัวเองมาถึงที่หน้าสำนักเร็วมากแล้ว แต่ก็พบว่ามีพ่อแม่ของเด็กหลายคนมายืนรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขาเดินทางมาจากเมืองอื่นและหมู่บ้านที่อยู่ไกลออกไป สำหรับพวกเขาแล้วการศึกษาเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เด็ก ๆ ที่สามารถเข้าเรียนที่สำนักศึกษาได้จึงเป็นความหวังของคนทั้งครอบครัว
ผ่านไปครู่หนึ่งประตูของสำนักศึกษาก็เปิดออก เด็ก ๆ เดินออกมาจากสำนักทีละคน ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยเดินเคียงข้างกันออกมา ทั้งคู่สวมเสื้อคลุมสีขาวมีส่วนสูงที่ไล่เรี่ยกันจนดูราวกับเป็นฝาแฝด
เดิมทีแล้วต้าเป่าคิดว่าบิดามารดาของตนมีงานยุ่งมาก คงเป็นป้าจ้าวกับน้องทั้งสองคนที่มารับเขา แต่เมื่อต้าเป่ากวาดตามองไปยังผู้คนหน้าสำนักศึกษาก็เห็นบิดามารดา ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยจึงรีบเดินเข้าไปหาถังหลี่และเว่ยฉิงอย่างรวดเร็ว เด็กทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองและเริ่มร้องไห้
“ท่านพ่อ ท่านแม่..”
“พี่สาว…พี่เขย…”
ถังหลี่มองเด็กชายทั้งสองคน พวกเขาโตขึ้นอีกแล้ว ตอนนี้เด็กทั้งคู่สูงจนถึงเอวของถังหลี่ ต้าเป่าดูซูบผอมลงไปบ้าง แต่ใบหน้ายังดูเป็นเด็กไร้เดียงสา ทั้งยังขี้เล่นอยู่เช่นเดิม ส่วนสวี่เจวี๋ยก็ดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปมากนัก
ยังเป็นแค่เด็กตัวน้อยทั้งสองคนเท่านั้น
เว่ยฉิงอุ้มซานเป่าและเอ้อร์เป่าไว้ในอ้อมแขนทั้งสองข้าง ส่วนถังหลี่จูงมือต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยไว้คนละข้าง ทั้งหกคนเดินกลับบ้านไปพร้อมกัน
เมื่อกลับถึงบ้าน เอ้อร์เป่าและซานเป่าเล่นกับพี่ชาย เด็กโตและเด็กเล็กเล่นด้วยกัน หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ดูเป็นภาพที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา
“สามี ท่านไม่อยากตั้งชื่อให้ลูก ๆ หรือ?” ถังหลี่ถาม
ตอนนี้ต้าเป่าได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว แต่เด็กชายยังคงเป็นเว่ยต้าเป่า หากคนภายนอกที่ได้พบเห็น ถ้าไม่คิดว่า บิดามารดาของต้าเป่ารักเขามากเกินไป หรือว่าขี้เกียจจนเกินกว่าจะตั้งชื่อกันแน่…
ในนวนิยาย เด็กทั้งสามมีชื่อของตัวเองอยู่แล้ว แต่หญิงสาวหวังว่าทั้งสามคนจะมีชีวิตใหม่ไม่เหมือนดั่งในนิยาย ดังนั้นพวกเขาต้องเปลี่ยนชื่อ แม้เว่ยฉิงจะรู้หนังสือ แต่การตั้งชื่อก็ยังยากเกินไปสำหรับเขา
“ไปขอให้บิดาของเจิ้งติ่งช่วยกันเถอะ!” ถังหลี่ขักชวน
เจิ้งซูบิดาของเจิ้งติ่งนั้นเคยเป็นขุนนางที่เลื่องชื่อ ชายผู้นั้นมีความรู้กว้างขวาง ดังนั้นเขาจะต้องมีทักษะที่ดีในการตั้งชื่อแน่
หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จแล้ว พวกเขาจึงพาเด็ก ๆ เดินไปที่บ้านสกุลเจิ้ง ขอให้เจิ้งซูช่วยเลือกชื่อให้
ชายวัยกลางคนตอบตกลงอย่างเต็มใจ เขาคิดชื่อให้เด็กทั้งสามอย่างเอาใจใส่ ผ่านไปหลายวันเขาก็ส่งชื่อที่ตั้งให้กับบ้านสกุลเว่ย
ต้าเป่ามีนามว่า เว่ยจื่ออั๋ง
เอ้อร์เป่ามีนามว่า เว่ยจื่ออี้
ซานเปามีนามว่า เว่ยหนิง
…………….