เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 181 บิดามารดาของเอ้อร์เป่า
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 181 บิดามารดาของเอ้อร์เป่า
บทที่ 181 บิดามารดาของเอ้อร์เป่า
เว่ยฉิงยืนรออยู่ที่ประตูสำนักศึกษาพร้อมกับซานเป่า ในขณะที่ถังหลี่พาลูกชายเข้าไปด้านใน เมื่อเข้าไปในสำนักศึกษาด้านในแล้ว สายตาของเอ้อร์เป่าก็อดมองไปรอบ ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็นไม่ได้
มีเสียงอ่านหนังสือดังขึ้นในห้องทั่วไป
โต๊ะหินข้างสนามมีเด็กที่อายุไล่เลี่ยกับเขากำลังอ่านตำราอยู่
พี่ใหญ่กับพี่สวี่เจวี๋ยอยู่ที่ใดกัน?
ในวันธรรมดาพวกเขาก็ต้องเรียนหนังสือท่องตำราแบบนี้เหมือนกันใช่หรือไม่?
ทั้งสองคนเดินมาถึงห้องของอาจารย์เกา ถังหลี่เคาะประตูก่อนจะเปิดออก อาจารย์เกาอยู่ในห้อง เขาคุ้ยเคยดีกับถังหลี่ พอเห็นนางจึงรีบเชื้อเชิญนางเข้ามานั่งทันที หญิงสาวบอกจุดประสงค์ในการมาของนางอย่างไม่รอช้า
“น้องชายของต้าเป่าหรือ?” ดวงตาของอาจารย์เกาเป็นประกายเมื่อสบกับดวงตาของเอ้อร์เป่า
ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยคือศิษย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยสอนมาในชีวิต อาจารย์ที่ไหนจะกลัวว่ามีศิษย์เก่ง ๆ มากเกินไปเล่า?
อาจารย์เกามองไปที่เอ้อร์เป่าด้วยสายตาคาดหวัง
“เจ้าหนู เดี๋ยวอาจารย์จะทดสอบเจ้าด้วยคำถามสองสามข้อนะ”
เอ้อร์เป่ายืนตัวตรงอย่างเรียบร้อย
“ได้ขอรับท่านอาจารย์”
อาจารย์เกาถามคำถามเอ้อร์เป่าสองสามข้อ แต่เด็กชายยังมองเขาอย่างโง่เขลาราวกับว่าฟังพระคัมภีร์ที่ยากเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้
“เจ้าไม่เข้าใจคำถามของข้าหรือ?” อาจารย์เกาขมวดคิ้ว
ใบหน้าของเอ้อร์เป่าแดงขึ้นมาทันที เขาทำตัวไม่ถูก
หากเขาไม่เข้าใจที่อาจารย์พูด เขาจะเข้ามาเรียนที่นี่ไม่ได้หรือ?
เอ้อร์เป่าคิดว่าตัวเองฉลาดแต่ตอนนี้กลับเป็นเพียงคนโง่ผู้หนึ่ง
เด็กชายรู้สึกกระทบกระเทือนใจอย่างหนัก
หญิงสาวมองเอ้อร์เป่า ลูกชายของนางขดตัวราวกับกุ้งที่สุกแล้ว หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ เอ้อร์เป่าเป็นเพียงเด็กอายุเจ็ดขวบเท่านั้น เขาเป็นเพียงเด็กธรรมดา ท่านมีปัญหากับการที่เขาเป็นเด็กธรรมดาหรือ?”
อาจารย์เกาเข้าใจคำพูดของถังหลี่ดี เด็กชายตรงหน้านี้เป็นเพียงเด็กธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่เด็กที่มีพรสวรรค์เหมือนกับต้าเป่าและสวี่เจวี๋ย
เขาพลาดไปแล้วเด็กที่มีพรสวรรค์ไม่ได้หาง่าย ๆ หรือมีอยู่ทั่วไป..
เขาคงสับสนไปชั่วขณะ
อาจารย์เกาถามคำถามทั่วไปสองสามข้อกับเอ้อร์เป่า เด็กชายตอบได้อย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าเด็กคนนี้จะไม่ได้มีพรสวรรค์เท่าต้าเป่าและสวี่เจวี๋ย แต่เขาก็สุภาพพูดจาไพเราะไม่เขินอาย จิตใจแจ่มใส นั่นก็มากพอแล้วสำหรับเด็กอายุเจ็ดขวบ อาจารย์เกาลูบเครายาวของตนเองพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ
เอ้อร์เป่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตอนแรกนั้นเอ้อร์เป่ากลัวแทบตาย เขาคิดว่าตัวเองคงไม่มีความสามารถพอที่จะเข้าสำนักศึกษาแห่งนี้ได้
ในที่สุดเอ้อร์เป่าก็มีคุณสมบัติครบในการเข้าเรียน ถังหลี่ฝากฝังเด็กชายก่อนจะออกจากห้องรับรองไปพร้อมกับเอ้อร์เป่า ทันทีที่พวกเขาออกมาก็เห็นต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยยืนอยู่ที่ประตู เด็กทั้งสองโตขึ้นมาก แม้ใบหน้ายังคงเหมือนเด็ก แต่ท่าทีกลับเป็นผู้ใหญ่ ทั้งสองคนมีใบหน้าที่โดดเด่นยิ่ง ยามที่ยืนคู่กันก็ดูน่ามองเป็นพิเศษ
“ข้าบอกแล้วว่าท่านพี่มาที่นี่ เจ้าก็ไม่เชื่อข้า”
“เจ้าชอบหลอกข้า ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก”
“ตอนนี้เชื่อข้าหรือยัง?”
“เอาล่ะ…ข้าจะยอมเชื่อเจ้าดูอีกสักครั้ง ” เด็กหนุ่มสองคนพูดคุยกัน
เมื่อเห็นถังหลี่และเด็กชายออกมา คนทั้งคู่ก็หุบปากลงพร้อมกับมองไปยังพวกเขา ทั้งสองยืดตัวตรง
“ท่านแม่ เอ้อร์เป่า”
“ท่านพี่ เอ้อร์เป่า”
พวกเขาพากันทักทายอย่างสุภาพ
เอ้อร์เป่าไม่คุ้นเคยกับที่นี่มากนัก เด็กชายจึงมีความสุขเมื่อได้เจอคนที่รู้จักเป็นอย่างดี เขารีบวิ่งไปหาต้าเป่าทันที
“พี่ใหญ่!”
ต้าเป่าลูบหัวน้องชายคนเล็กของตนเอง
“เอ้อร์เป่าก็มาเรียนที่นี่หรือ?”
“ข้าเพิ่งไปพบอาจารย์เกามา ท่านแม่ฝากฝังข้าแล้ว แล้วจะมาเรียนที่นี่ในอีกสองวัน” เอ้อร์เป่าพยักหน้า
“ให้พี่พาไปดูรอบ ๆ ไหม?”
“ดีขอรับ”
ต้าเป่ามีท่าทีสมกับเป็นพี่ใหญ่ของน้อง ๆ
เด็กชายเดินตามหลังต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยไป เด็กหนุ่มทั้งสองรีบแนะนำสถานที่ต่าง ๆ ของสำนักศึกษาให้แก่เอ้อร์เป่า ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขามีสีแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
สำนักศึกษานั้นมีขนาดใหญ่มาก ที่ด้านหลังของสำนักมีสระน้ำอยู่ ในนั้นมีปลาหลี่สีแดงมากมาย พี่ชายคนโตของเขาเล่าว่า ปลาหลี่สีแดงทุกตัวมีเรื่องราวของตน พวกเขาสลับกันเล่าเรื่องปลาหลี่สีแดงให้เด็กชายฟัง เอ้อร์เป่าก็ฟังอย่างสนอกสนใจ
เด็กชายคาดหวังถึงชีวิตในสำนักศึกษา แต่สิ่งเดียวที่เสียใจคือซานเป่าไม่สามารถมาอยู่กับพวกเขาได้ เอ้อร์เป่าพอใจกับสิ่งที่พี่ชายทั้งสองเล่าให้ฟัง ก่อนจะออกจากสำนักไปพร้อมกับมารดา
ที่นอกสำนักศึกษาเว่ยฉิงกำลังมองดูซานเป่าอยู่ที่หน้าแผงลอย ชายหนุ่มซื้อกังหันลมมอบให้แก่ซานเป่า เด็กหญิงรับมันไปเป่าจนแก้มของนางพองขึ้น จากมุมด้านหลังถังหลี่ก็สามารถเห็นแก้มปูด ๆ ของเด็กหญิงได้
“ซานเป่า!” เอ้อร์เป่าตะโกน
“พี่รอง!” ซานเป่าหันกลับไปมองอย่างมีความสุข
“กลับบ้านกันเถอะ” เอ้อร์เป่ากล่าว
“อื้อ กลับบ้าน!” ซานเป่าดึงไหล่บิดาเบา ๆ
ครอบครัวทั้งสี่คนก็เดินทางกลับบ้าน โดยที่เว่ยฉิงและถังหลี่ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังจ้องมองไปที่เอ้อร์เป่าอย่างมุ่งมั่น
“ท่านพี่ นั่นคือเหยียนเอ๋อร์หรือ?” สตรีคนนั้นถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ดูเหมือนจะใช่…” บุรุษข้างกายยังคงสงบ
“ดียิ่ง! แปลว่าคนผู้นั้นไม่โกหก!”
“พวกเราต้องดูกันต่อไป”
…….
ถังหลี่และเว่ยฉิงกลับไปที่บ้านพร้อมกับบุตรทั้งสองคน
วันนี้หญิงสาวเข้าครัวปรุงอาหารจานใหม่ด้วยตนเอง
ถังหลี่สับเนื้อและหมักมันด้วยน้ำมัน เกลือ หัวหอม และกระเทียม ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงก่อนจะห่อด้วยมะเขือยาวและนำไปนึ่งในหม้อ
เว่ยฉิงเดินตามภรรยาราวกับสุนัขตัวใหญ่ เขาทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากหม้อ ชายหนุ่มแทบจะร้องไห้เมื่อได้กลิ่นเนื้อ หากถังหลี่ไม่จับจ้องคอยระวัง คาดว่าเนื้อชิ้นนี้คงจะหายไปอยู่ในปากเขาแล้ว
ถังหลี่พูดไม่ออก ชายคนนี้แสร้งทำทีจะเข้าช่วยแต่กลายเป็นว่า มาขโมยชิมอาหาร เขาแทบจะปกปิดแววตาเจ้าเล่ห์ของตนเองไว้ไม่ได้ กว่าถังหลี่จะทำอาหารเสร็จ เว่ยฉิงก็ชิมอาหารเกือบอิ่มแล้ว
ป้าจ้าวนำอาหารมาวางเรียงบนโต๊ะก่อนจะตกข้าวให้ทุกคน
เอ้อร์เป่านั่งถัดจากน้องสาว คอยเติมอาหารในชามของนางจนเด็กหญิงอิ่มพุงป่อง เมื่อเว่ยฉิงอิ่มหนำ เขาก็คอยคีบอาหารเอาอกเอาใจภรรยา ส่วนป้าจ้าวก็นั่งกินอาหารที่โต๊ะด้วย นางทำงานอยู่กับบ้านสกุลเว่ยมาหนึ่งปีแล้ว นิสัยอ่อนน้อมขี้เกรงใจของนางก็ค่อย ๆ หายไป ป้าจ้าวปรับตัวเข้ากับครอบครัวของสกุลเว่ยได้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นางไม่เคยเห็นคุณค่าของตนเองเลย
สิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตของป้าจ้าวคือการได้เจอกับบ้านสกุลเว่ย ทำให้นางมีชีวิตรู้จักคุณค่าของตนเอง
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ถังหลี่วิ่งไปเปิดประตู ก่อนจะเห็นคนสองคนยืนอยู่ที่ด้านนอก ทั้งสองคนเป็นชายหญิงอายุราวยี่สิบต้น ๆ แต่งกายด้วยเสื้อผ้ามีราคา ราวกับคนที่มาจากตระกูลร่ำรวย
“พวกท่านมาหาใครหรือ?” ถังหลี่ถาม
ชายผู้นั้นมีท่าทีสุภาพสง่างาม เขาตอบถังหลี่ว่า
“ฮูหยิน ข้าแซ่ฟางมีนามว่าเจี๋ย ข้าทำกิจการเล็ก ๆ อยู่ในเมืองฉินโจว ส่วนสตรีผู้นี้คือ ถังซื่อ ภรรยาของข้า พวกข้ามีเรื่องอยากถามไถ่ท่านสักเล็กน้อย ข้าขอรบกวนเข้าไปคุยกับพวกท่านสักครู่จะได้หรือไม่?”
ทั้งสองคนนี้ดูไม่ใช่คนไม่ดีอะไร ลักษณะการวางตัวก็ดูเหมือนได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี ถังหลี่จึงเชิญพวกเขาเข้ามา
เมื่อทั้งสองคนเข้ามาในบ้านพวกเขาพากันจ้องเอ้อร์เป่าเป็นตาเดียว
เด็กชายรับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องมา เขาหันไปมองคนทั้งคู่ด้วยความสงสัย พอเห็นเป็นคนไม่รู้จักเอ้อร์เป่าก็หันไปทางอื่น
ถังหลี่ที่สังเกตสายตาของคนทั้งคู่จึงถามขึ้น
“พวกท่านทั้งสอง มีเรื่องอยากสอบถามเกี่ยวกับเอ้อร์เป่าของข้าใช่หรือไม่?”
บุรุษผู้นั้นพยักหน้า
ถังหลี่เชิญทั้งสองคนเขาไปที่ห้องรับรอง ตามมาด้วยเว่ยฉิง ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ ถังหลี่
“ฮูหยิน ข้าขอถามได้ไหม เด็กคนนั้นเป็นบุตรของท่านหรือไม่?” ฟางเจี๋ยถามขึ้น
หัวใจของถังหลี่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ นางอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเว่ยฉิง