เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 189 เว่ยฉิงอยากเอาชนะ
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 189 เว่ยฉิงอยากเอาชนะ
บทที่ 189 เว่ยฉิงอยากเอาชนะ
เว่ยฉิงอาศัยอยู่ในจวนตระกูลฟางเป็นเวลานานถึงสี่วัน เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง เขามาเป็นเพื่อนลูกชายแต่ตอนนี้กลับไม่เห็นเอ้อร์เป่าเลย
เอ้อเป่าร์เป็นลูกชายของเขาแต่ทำไมถึงได้เจอหน้ายากเย็นนัก
วันนี้เขาเดินมาหาฟางเจี๋ยที่หน้าประตู แม้จะมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าแต่แววตากลับเศร้าหมอง ผู้ชายคนนี้ยามต้องการเอ้อร์เป่ากลับมาหานายผู้เฒ่าฟางก็พูดจาดียิ้มแย้มขอร้องอ้อนวอนเขา หากต่อเมื่อได้ตัวเอ้อร์เป่ากลับมาแล้วกลับทำท่ายโส ดูถูกเขา
เจ้ากล้าเอาเอ้อเป่าร์ไปจากบ้านสกุลเว่ยหรือ? หากไม่ได้คิดว่าคนผู้นี้เป็นบิดาที่แท้จริงของเอ้อร์เป่าแล้วละก็เขาคงต่อยฟางเจี๋ยลงไปกองกับพื้นแล้ว แต่เป็นเพราะเอ้อร์เป่าทำให้เขาต้องอดทน
“เอ้อร์เป่าอยู่ที่ใด?” เว่ยชิงถามเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“หากท่านปู่ของเขาตื่น เหยียนเอ๋อร์ก็ต้องคอยอยู่ข้าง ๆ คอยพูดคุยกับเขา พอท่านปู่ของเขาพักผ่อนเหยียนเอ๋อร์ก็มีงานอื่นให้ต้องทำอีกมากมาย เขาหายจากบ้านไปยามเมื่ออายุได้สี่ขวบ ข้าจำต้องพาเขาไปหาญาติพี่น้องในตระกูลฟาง วันนี้ข้าได้เชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในเมืองฉินโจว มาสอนหนังสือให้เหยียนเอ๋อร์ อาจารย์ผู้นี้โด่งดังมาก เขาสอนลูก ๆ ของอดีตท่านเจ้าเมืองมาหลายคนแล้ว เขาเก่งกว่าอาจารย์ที่เมืองเหยาสุ่ยหลายเท่านัก หากเหยียนเอ๋อร์ได้เรียนหนังสือกับเขาแล้วล่ะก็คงจะเก่งขึ้นมากกว่านี้อย่างแน่นอน พี่เว่ยโปรดให้อภัยข้าด้วยที่เหยียนเอ๋อร์ไม่ว่างมาพบพี่ได้” นายท่านฟางพูดยิ้ม ๆ
เว่ยฉิงไม่ใช่คนโง่ เขาได้ยินที่นายท่านฟางพูดก็พอจะเข้าใจได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ฟางเจี๋ยพูดให้เขารู้ว่าตระกูลฟางนั้นมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่าอีกทั้งสามารถให้เหยียนเอ๋อร์ในสิ่งที่เขาให้ไม่ได้
“ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ต้องมีเวลา” เว่ยฉิงพูดอย่างเย็นชา
“พี่เว่ย…ข้าคิดว่าเป็นการดีกว่าที่พี่จะไม่เจอเหยียนเอ๋อร์ต่อไปอีก” ฟางเจี๋ยพูดอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เว่ยฉิงโกรธ เขาจ้องฟางเจี๋ยเขม็ง
“เอ้อร์เป่าเรียกข้าว่าพ่อมาสามปีสี่ปีแล้ว เหตุใดข้าจะเจอเขาไม่ได้!”
“พี่เว่ย ท่านอย่าโกรธเลย ข้าอาจจะพูดให้ท่านเข้าใจผิดไป…ตอนนี้เหยียนเอ๋อร์อายุเจ็ดขวบแล้ว เด็กคนอื่นอายุเจ็ดขวบก็ท่องบทกวีได้แล้ว แต่เหยียนเอ๋อร์กลับรู้จักตัวอักษรไม่กี่ตัวเท่านั้น เขาเข้าเรียนหนังสือช้าเกินไป ดังนั้นเขาจึงต้องรีบเรียนรู้ให้เร็วที่สุด เหยียนเอ๋อร์เป็นคนของตระกูลฟาง บ้านนี้คือครอบครัวของเขา ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องกลับมาอยู่ที่นี่ หากเขาเอาแต่อยู่กับท่าน เขาจะไม่สามารถลงหลักปักฐานในตระกูลนี้ได้เลย ข้าอยากให้เขาคุ้นชินกับตระกูลฟางให้เร็วที่สุด เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง ท่านเลี้ยงดูเขามานานย่อมผูกพันกับเขาเป็นธรรมดา แต่ท่านก็ต้องอยากให้เขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุดใช่หรือไม่?”
ฟางเจี๋ยเป็นพ่อค้า คำพูดจาของเขาย่อมไหลลื่นเป็นธรรมดา
เขาพูดแบบนี้เพื่อให้เว่ยฉิงได้คิดว่า เป็นการดีกว่าที่เอ้อร์เป่าจะไม่ต้องเจอกับเขาอีกแล้ว…นั่นเป็นการบังคับเว่ยฉิงทางอ้อม เพื่อไม่ให้เอ่อร์เป่าต้องเจอกับเขา
“เอ้อร์เป่าจะคิดอย่างไร? เขาต้องการให้ข้าเป็นบิดาหรือไม่? หากเขาพูดว่าไม่ต้องการข้า ข้าจะกลับไปเมืองเหย่าสุ่ยทันที” ใบหน้าเว่ยฉิงมืดครึ้ม น่าเกลียดขึ้นมาทันที สีหน้าของฟางเจี๋ยเองก็เช่นกัน เหยียนเอ๋อร์ร้องอยากเจอเว่ยฉิงตลอด เขายิ่งไม่อยากให้คนทั้งคู่ได้พบกัน
เด็กคนนี้ไม่รู้คิดอย่างไรถึงได้เห็นบิดาบุญธรรมดีกว่าพ่อแท้ ๆ ของตนเอง !
นายท่านฟางหยิบตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อ
“พี่เว่ย ! ข้ารู้สึกขอบคุณท่านเป็นอย่างมากในการเลี้ยงดูเหยียนเอ๋อร์มาตลอดสามปีที่ผ่านมา นี่เป็นตั๋วเงินมีมูลค่าห้าพันตำลึง ท่านเก็บไว้ให้ดี กลับไปซื้อบ้านให้ใหญ่กว่าเดิม ทำกิจการให้รุ่งเรือง ชีวิตจะดีขึ้นได้ในภายหน้า ”
เว่ยฉิงหยิบตั๋วเงินมาฉีกทันทีโดยไม่แม้แต่มองด้วยซ้ำ
ฟางเจี๋ยตกตะลึง
“พี่เว่ย…ข้าแนะนำให้ท่านรับเงินไป เหยียนเอ๋อร์เป็นลูกชายของข้าไม่เช่นนั้นข้าจะไปฟ้องทางการ”
“เจ้าขู่ข้าหรือ?” เว่ยฉิงหรี่ตาลง
“ข้าไม่ได้ขู่ นี่คือความจริง พี่เว่ย …พี่ออกจากบ้านมานานแล้ว ภรรยาที่บ้านย่อมเป็นห่วงท่าน ข้าขอแนะนำให้ท่านรีบกลับบ้าน ข้าจะให้รถม้าไปส่งท่าน”
เว่ยฉิงกำหมัดยกขึ้นต่อยฟางเจี๋ยเข้าที่ใบหน้าทันที
…………
ที่เรือนด้านใน
“พี่สะใภ้ ท่านเก่งจริง ๆ ทำเสื้อผ้าสวย ๆ ให้เด็กคนนี้” นางไช่พูดจายกยอ เอ้อร์เป่าสวมเสื้อผ้าใหม่ ทำให้เขาดูน่ารักขึ้นมาก ตอนแรกนางไช่ไม่ต้องการมาหานางถัง เพราะรู้สึกรำคาญนางถัง หากนายท่านรองเอาแต่คะยั้นคะยอนาง นางไช่จึงจำเป็นต้องมาอย่างเสียไม่ได้
แต่พอได้มาเห็นเด็กคนนี้เข้า นางไช่ถึงกลับใจอ่อน ในใจอยากแต่จะกอดเด็กน้อย อยากอุ้มเขา อยากเย้าแหย่เขา นางไช่เย้าแหย่ให้เขาพูดแต่เขากลับทำหน้าตึงเครียด
ทำไมตุ๊กตาตัวนี้ถึงได้ไม่พูดจา ไม่ยิ้มแย้ม หากได้ยิ้มคงจะน่ารักน่าดูมากกว่านี้หลายเท่านัก
“สวยหรือไม่? ข้าทำชุดให้ฉุนเอ๋อด้วย นางถังพูดเบา ๆ มีเด็กหญิงตัวน้อยอายุไล่เลี่ยพอ ๆ กับเอ้อร์เป่าเดินตามหลังนางไช่มาด้วย เป็นลูกสาวของนางไช่นั่นเองดวงตาของฟางฉุนเป็นประกายเมื่อได้ยิน
“ท่านป้าทำเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ข้าด้วยหรือ?”
นางถังพูดเบา ๆ “ใช่…ข้าจะลืมทำให้ฉุนเอ๋อได้อย่างไร?”
“ท่านป้าใจดี ใจดีกว่าท่านแม่อีก” ฟางฉุนพูดอย่างมีความสุข นางถังยิ้มกล่าวตอบว่า
“ข้าจะไม่ใจดีต่อเจ้าได้อย่างไรเล่า?”
นางไช่รู้สึกอึดอัดที่ได้ยินอย่างนั้น ราวกับนางถูกลักพาตัวบุตรสาวไปต่อหน้าต่อตา นางไช่ไม่รู้จริง ๆ ว่านางถังรักใคร่บุตรสาวนางหรือตั้งใจอยากให้ตัวนางไม่พอใจกันแน่! บางครั้งเมื่อบุตรสาวทำผิด นางต้องการลงโทษหรือว่ากล่าวตักเตือน นางถังจะเสียอกเสียใจมาก จนเวลาผ่านไปนางถังจึงได้สนิทสนมกับลูกสาวของนางมากกว่าตัวนางเอง
“ท่านป้าดีกับข้าเช่นนี้ ท่านสมควรเป็นมารดาของข้ามากกว่า” นางไช่ได้ยินแล้วไม่ชอบใจแม้แต่นิด
“เจ้าถามท่านป้าหรือยัง…ว่าเขาอยากได้เจ้าเป็นบุตรสาวหรือไม่?”
ฟางฉุนเม้มปากทำท่าจะร้องไห้ออกมา ร่างกายของนางเอนไปพิงนางถังอย่างไม่รู้ตัว นางไช่โกรธมาก นางจับมือลูกสาวดึงกระชากลากถูออกไปทันที เด็กน้อยอ้าปากร้องไห้น้ำตาไหลออกมา
นางถังยืนมองนางไช่ลากลูกสาวออกไปพร้อมกับดุด่าไปด้วย เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ร้องไห้ด้วยท่าทีคับแค้นใจ สีหน้าของนางถังเต็มไปด้วยความกังวล
“ฉุนเอ๋อเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ เท่านั้น เหตุใดถึงได้ต้องดุลูกขนาดนั้นด้วย!”
นางถังยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงได้รู้ตัวว่ายังมีเด็กอีกคนอยู่ในห้อง ใบหน้าของนางกลับมายิ้มแย้มเช่นเดิม
“เหยียนเอ๋อร์เจ้าหิวหรือยัง อยากกินอะไรให้แม่ทำให้กินไหม?”
เอ้อร์เป่าส่ายหน้า
นางถังก็หมดปัญญาเช่นกัน นางนั่งลงอย่างเหม่อลอย พวกเขาสองคน คนหนึ่งไม่ยอมพูดจา ส่วนอีกคนก็เบื่อหน่ายเกินกว่าจะชวนสนทนา จึงพากันนั่งอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งนายท่านฟางกลับมาถึงเรือน ในที่สุดนางถังจึงได้ขยับกาย นางอบขนมให้เอ้อร์เป่ากินพร้อมชวนเขาคุยอย่างอารมณ์ดี
ดวงตาของเอ้อร์เป่ามองใบหน้าของฟางเจี๋ย จมูกของเขามีรอยฟกช้ำ ใบหน้าบวม เอ้อร์เป่าเหลือบดูไม่รู้คิดอะไรอยู่ในหัวน้อย ๆ ของเขา
“พ่อข้าอยู่ไหน?” เอ้อร์เป่าถาม
“พ่อบุญธรรมของเจ้ากลับไปเมืองเหยาสุ่ยแล้ว” ฟางเจี๋ยตอบเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
……………………………