เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 235 เลี่ยงวิกฤต
บทที่ 235 เลี่ยงวิกฤต
เอ้อร์เป่าเงี่ยหูฟังเรื่องซุบซิบในโรงน้ำชาอย่างสนอกสนใจ ในขณะที่ซานเป่ากอดจานขนมไว้ กินจนแก้มปูด ถังหลี่มองไปรอบ ๆ ในโรงน้ำชาแห่งนี้มีพ่อค้าและบัณฑิตหลายคนกำลังดื่มชา พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับการสอบในครั้งนี้ไม่หยุดปาก
“เจ้าคิดว่าในการสอบครั้งนี้ใครมีแนวโน้มได้คะแนนสูงสุดหรือ?”
“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นนายน้อยของสกุลฉิน พรสวรรค์การเรียนรู้ของคุณชายท่านนี้เป็นที่เลื่องลือกันดีในเมืองเหอตง”
“ได้ยินมาว่าในตอนแรกเขาจะต้องเข้าสอบในปีที่แล้ว แต่ผู้อาวุโสในตระกูลขวางไว้ ทำให้ต้องมาสอบใหม่ในปีนี้ ข้าว่าเขาต้องจะได้คะแนนสูงสุดเป็นแน่!”
“ผู้อาวุโสตระกูลฉินสายตากว้างไกล หากเขาสอบได้ลำดับที่ดีในคราวนี้ชื่อเสียงของเขาต้องเพิ่มขึ้นแน่”
ในโรงน้ำชาแห่งนี้มีหญิงสาวผู้หนึ่งแต่งตัวคล้ายบุรุษกำลังนั่งฟังสนทนาอยู่เงียบ ๆ ข้าง ๆ นางเป็นเด็กชายตัวอ้วนอายุห้าหกขวบนั่งตัวตรงถือหนังสือภาพอยู่ในมือ แต่แท้จริงแล้วเขาตาปิดหลับไปนานแล้วพร้อมกับ ส่งเสียงกรนเบา ๆ ดังลอดมา
จู่ ๆ มีความโกลาหลเกิดขึ้น ถังหลี่หันไปมองก็เห็นกระดานดำขนาดใหญ่ถูกยกมาวางตั้งไว้กลางโรงน้ำชา ถังหลี่ใช้สายตาที่เฉียบคมของนางกวาดตามองอย่างรวดเร็ว บนนั้นมีรายชื่อคนมากมายเรียงรายอยู่
ฉินเหวินซวน และ บุตรชายทั้งสองคนของนาง…
เป็นรายชื่อนักเรียนที่เข้าร่วมสอบในครั้งนี้นั่นเอง!
เป็นเพราะอะไรกันกันแน่?
“นี่คือประเพณีของโรงน้ำชาแห่งนี้ เจ้าของโรงน้ำชาของเราต้องการพนันว่าใครจะเป็นสามอันดับแรกในการสอบครั้งนี้”
ถังหลี่หันไปมองก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคยฉลาดเฉลียวของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง เขาคือหลูหลิงนั้นเอง เมื่อเห็นถังหลี่มองมา เขากะพริบตาก่อนจะยืดตัวขึ้น
“ทุกท่าน ข้ามีข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับนักเรียนที่เข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ เงินหนึ่งตำลึงสำหรับข้อมูลของผู้เข้าสอบ มีใครอยากได้หรือไม่?” หลูหลิงตะโกนถาม
กลายเป็นว่าก่อนหน้านี้ที่เขาจดบันทึกเกี่ยวกับนักเรียนแต่ละคนก็เพื่อจะเอามาขายในช่วงนี้นี่เอง ช่างมีหัวการค้ายิ่งนัก…
แต่บันทึกนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับนักพนันเท่านั้น ยังมีอีกหลายคนที่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับนักเรียนที่เข้าสอบ ดังนั้นหลูหลิงจึงได้กำไรจากกิจการนี้เป็นกอบเป็นกำ เขาสามารถขายสำเนาบันทึกได้มากกว่ายี่สิบชุดในคราวเดียว
แม้กระทั่งถังหลี่เองก็ซื้อบันทึกที่ว่านั้นมาเช่นกัน
ถังหลี่เปิดสมุดเล่มเล็กออก ด้านในถูกเขียนด้วยลายมือทั้งหมด ตัวอักษรเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย
ในหน้าแรกนั้นเขียนสรุปจำนวนนักเรียนที่เข้าสอบ ในครั้งนี้มีเด็กที่เข้าสอบหนึ่งร้อยคนจากสำนักศึกษายี่สิบแห่ง ในจำนวนนี้มีศิษย์จากสำนักเหอตงถึงสามสิบคน
นักเรียนบางคนมีรายละเอียดเขียนกำกับไว้มาก เช่น ฉินเหวินซวน ซึ่งมาจากครอบครัวมีชื่อเสียงและบอกด้วยว่าผลการเรียนของเขาในสำนักศึกษาเหอตงเป็นอย่างไรบ้าง
สวี่เจวี๋ย ต้าเป่า และจั๋วชู ล้วนมาจากสำนักศึกษาหงเหวิน เป็นเวลาห้าปีแล้วที่สำนักหงเหวินไม่เคยมีใครผ่านการสอบเซี่ยนชื่อเลย ทำให้ดูน่าอนาถามาก
“มาเลยทุกท่าน ถ้าสนใจก็แทงพนันได้เลย!” เสี่ยวเอ้อร์ตะโกน
“ข้าพนันเลยว่าฉินเหวินซวนจะต้องชนะแน่!”
“คนผู้นี้ข้าเคยได้ยินชื่อ ข้าพนันว่าเขาจะเป็นคนชนะ”
“ข้าลงข้างฉินเหวินซวนหนึ่งร้อยตำลึง!”
เสียงหนึ่งในนั้นดังขึ้นมาจนทุกคนให้ความสนใจ
หนึ่งร้อยตำลึงไม่ใช่เงินน้อย ๆ
ที่เรียกว่าการพนันขนาดเล็กก็เพราะว่า ในโรงน้ำชาแห่งนี้มีกฎห้ามแทงเงินพนันเกินหนึ่งร้อยตำลึง แม้จะมีแนวโน้มฉินเหวินซวนมีโอกาสสูงที่จะได้อันดับหนึ่ง แต่ก็ไม่แน่นอนเต็มร้อยแต่อย่างใด หากเขาเกิดแพ้ขึ้นมา จะสูญเงินไปเปล่า ๆ
“ฉินเหวินซวนเป็นลูกพี่ลูกน้องข้า เขาเป็นอัจฉริยะมาตั้งแต่เด็ก อ่านตำราได้ตั้งแต่อายุสามขวบเท่านั้น ห้าขวบก็เขียนบทกวีได้ อีกทั้งในตอนแปดขวบเขาสามารถแต่งบทกวีได้เองเลย ดังนั้นเขาจะต้องได้อันดับหนึ่งแน่นอน!” ชายคนนั้นพูดขึ้น
หากถังหลี่ไม่ได้รู้เรื่องราวมาก่อนนางคงตกหลุมพรางที่ชั่วร้ายของคนผู้นี้ไปแล้ว ฉินเหวินซวนนั้นมีความสามารถก็จริง แต่ยังห่างไกลจากคำว่าพรสวรรค์มากนัก
“ข้าเดิมพันเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยคนละหนึ่งร้อยตำลึง” ถังหลี่พูดออกมา
ทั้งต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยมีอัตราการเดิมพันสิบต่อสิบ ดังนั้นถังหลี่จะได้รับเงินหนึ่งพันตำลึงหากพวกเขาชนะการทดสอบในครั้งนี้ หลังจากหักค่าพนันแล้ว นางยังคงเหลือเงินอยู่ที่แปดร้อยตำลึง
“เว่ยจื่ออั๋งกับสวี่เจวี๋ย?”
“ข้าเห็นรายชื่อเหมือนจะเป็นเด็กนักเรียนของสำนักหงเหวินในเมืองเหยาสุ่ยนะ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อนเลย”
“สำนักศึกษาแบบนี้จะมีศิษย์เก่ง ๆ ได้อย่างไรกัน ยังกล้ามีคนพนันว่าเด็กจากสำนักศึกษาแห่งนี้จะชนะอีกหรือ? เงินจำนวนมากขนาดนั้น!”
“คนโง่แต่กระเป๋าหนักสินะ ข้าพนันฉินเหวินซวน”
มีความโกลาหลเกิดขึ้นอีกครั้งในโรงน้ำชา
“ข้าด้วย”
หลูหลิงลงพนันข้างเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเงียบ ๆ คนละหนึ่งตำลึง อันที่จริงแล้วเด็กทั้งสองทำให้หลูหลิงมองพวกเขาแตกต่างไปจากเดิม
วันนี้ในโรงเตี๊ยมเขาจึงเสียเงินไปสองตำลึง
ในขณะที่โรงน้ำชามีเสียงโหวกเหวกดังอยู่ตลอด การกระทำของหลูหลิงจึงไม่เป็นที่สนใจแต่อย่างใด
พวกเขาต่างหัวเราะเยาะถังหลี่ที่โง่แต่มีเงินมาก
“พี่ใหญ่กับพี่สวี่เจวี๋ยต้องชนะในการสอบครั้งนี้แน่นอน!” เอ้อร์เป่ามั่นใจอย่างมาก
“ใช่!” ซานเป่ายกกำปั้นเล็ก ๆ ของนางขึ้นมาเช่นกัน
ถังหลี่อมยิ้มบางๆ
“ไม่จำเป็นต้องเถียงพวกเขาหรอก ผลสอบที่ออกมาจะเป็นข้อเท็จจริงที่จะตบหน้าพวกเขาเอง”
เด็กน้อยทั้งสองคนพยักหน้าตาม พวกเขาคิดว่าสิ่งที่มารดาพูดนั้นถูกต้อง ตอนนี้ทั้งสามกำลังรอให้คนเหล่านี้ถูกตบหน้าด้วยคะแนนของต้าเป่าและสวี่เจวี๋ย!
สามคนแม่ลูกนั่งอยู่ที่โรงน้ำชาไปจนถึงช่วงบ่าย เมื่อใกล้ช่วงหมดเวลาสอบพวกเขาเดินไปที่ประตูสำนักศึกษาเพื่อยืนรอต้าเป่าและสวี่เจวี๋ย หลังจากนั้นไม่นานผู้เข้าสอบก็ทยอยออกมาทีละคน เอ้อร์เป่ากับซานเป่าจ้องมองด้วยตาโต ๆ ของพวกเขา
“พี่ใหญ่ พี่สวี่เจวี๋ย!” เอ้อร์เป่าเป็นคนแรกที่เห็น ก่อนที่ซานเป่าจะตะโกนเรียก
เด็กน้อยทั้งสองคุยกับต้าเป่าและสวี่เจวี๋ย ในตอนเช้านั้นต้าเป่ายังมีท่าทีไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความมั่นใจจะเต็มเปี่ยม เมื่อถังหลี่เห็นแบบนั้นนางรู้ทันทีว่าการสอบผ่านไปได้ด้วยดี
“รอจั๋วชูกันก่อนเถอะ” ถังหลี่กล่าว
ทั้งห้าคนยืนรอจั๋วชูอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มเดินออกมาเป็นคนสุดท้ายเมื่อจั๋วชูได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ เขาหันกลับไปมองทันทีเห็นว่าถังหลี่และเด็ก ๆ กำลังรออยู่ จั๋วชูรีบเร่งฝีเท้าเดินไปหาคนทั้งห้า
“พวกท่าน…รอข้าหรือ?” จั๋วชูรู้สึกประหลาดใจ
“ใช่แล้ว กลับด้วยกันเถอะ” ถังหลี่รับคำเด็กหนุ่มรู้สึกอบอุ่นในหัวใจของเขา ในการสอบครั้งที่ผ่าน ๆ มาไม่เคยมีคนมารอเขาสอบเลยเพราะเขามาสอบเพียงลำพังแต่ผู้เดียวทุกครั้ง บางครั้งยามที่เห็นเด็กคนอื่นมีบิดามารดามารับจั๋วชูก็รู้สึกอิจฉา แต่เขาไม่โทษบิดามารดาของเขา อย่างไรเสียพวกท่านก็สนับสนุนเขามาตลอด…
เขาเพียงคิดถึงพี่สาวของเขาเท่านั้น..
“ไป กลับกันเถอะ”
จั๋วชูพยักหน้ารีบตามถังหลี่ไป
หญิงสาวถามต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยเกี่ยวกับการสอบ เด็กหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นจนพูดไม่หยุด จู่ ๆ ต้าเป่าก็หุบปากลงทันที เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อยเพราะถังหลี่ถามพวกเขาแต่ต้าเป่ากลับตอบอยู่แต่ผู้เดียว
“สวี่เจวี๋ยเจ้าสอบเป็นยังไงบ้าง?” ต้าเป่ารีบโยนไปให้สวี่เจวี๋ยทันที
ต้าเป่าหวังว่าสวี่เจวี๋ยเองจะทำได้ดีในการสอบ เพราะเขาอยากเข้ามาเรียนที่สำนักศึกษาในเขตมณฑลพร้อมกับสวี่เจวี๋ย หากเป็นเขาที่สอบผ่านคนเดียวจะมีประโยชน์อย่างไร?
สวี่เจวี๋ยพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาของข้อสอบที่เขาพบเจอ ต้าเป่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก สวี่เจวี๋ยเองก็ทำได้ดีมากเช่นกัน ถังหลี่พยักหน้า นางเอ่ยชมเด็กทั้งสองสองสามคำจากนั้นมองไปที่จั๋วชู
“คุณชายจั๋ว แล้วเจ้าล่ะ?”
เขารู้สึกดีจริง ๆ ที่มีคนห่วงใยเขา
จั๋วชูเล่าถึงการสอบของตนเองในนางฟังด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“พี่จั๋วต้องทำข้อสอบผ่านอย่างแน่นอน” ต้าเป่ากล่าว
ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงขึ้นอีก เขามีความสุขมากที่วันแรกของการสอบไม่มีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้น! ขอให้อีกสองวันผ่านไปได้ด้วยดีด้วยเถอะ
คงจะดีมากทีเดียว หากเขาได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงระดับมณฑลได้!