เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 243 พิจารณาคดี
บทที่ 243 พิจารณาคดี
วันต่อมาใต้เท้าจูเปิดศาลเพื่อพิจารณราคดีใส่ร้ายป้ายสี ถังหลี่เองก็มาดูการไต่สวนในครั้งนี้ด้วย บรรดานักเรียนที่ออกมาเป็นพยานว่าเห็นสวี่เจวี๋ยและต้าเป่าโกงข้อสอบต่างนั่งคุกเข่าอยู่ในลานพิจารณาคดีด้วยสีหน้าตื่นตระหนก หลังจากไต่สวนเสร็จใต้เท้าจูตัดสินว่าให้นักเรียนเหล่านี้ถูกตัดสิทธิ์ในการสอบทุกอย่าง
คำตัดสินนี้อาจฟังดูเล็กน้อยไม่สะทกสะเทือนผิวหนังมากนัก
แต่สำหรับนักเรียนเหล่านี้มันคือการลงโทษที่ร้ายแรงมาก เพราะตลอดชีวิตที่เหลือของพวกเขาจะไม่สามารถก้าวเดินไปสู่หนทางแห่งเกียรติยศและชื่อเสียงในการเป็นขุนนางได้อีก การร่ำเรียนอย่างหนักในปีที่ผ่านมาของพวกเขาถือได้ว่าเป็นการสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง
ถังหลี่ไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนเหล่านี้แม้แต่น้อย พวกเขาใส่ร้ายบุตรทั้งสองของนางว่าทุจริตในการสอบ ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ไร้คุณธรรมและจริยธรรมเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แต่เพียงว่าจะสูญเสียอนาคตที่จะเป็นขุนนางเท่านั้น หากพวกเขายังต้องทนแบกรับชื่อเสียงที่เลวร้ายไปตลอดชีวิตแทบไม่อาจเชิดหน้าขึ้นมองใครได้
ในยามที่พวกเขาใส่ร้ายบุตรชายของนาง พวกเขาไม่มีความสงสาร ไร้ซึ่งความเมตตา แล้วเหตุใดนางจึงต้องสงสารหรือเมตตาพวกเขาด้วย! สมควรแล้วที่จะได้รับบทลงโทษเช่นนี้!
ทันใดนั้นเองก็มีคนวิ่งออกมาพูดด้วยเสียงดังฟังชัดว่า
“ใต้เท้า! ที่ข้าทำไปเพราะได้รับคำสั่งมาขอรับ! ฉินเหวินซวนเป็นคนสั่งให้ข้าใส่ร้ายเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยขอรับ!”
“ใต้เท้า เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะฉินเหวินซวน เขาทำเรื่องเลวร้ายมากมาย เขาติดสินบนพ่อครัวที่สนามสอบ ให้ใส่ยาลงไปในอาหารของผู้เข้าสอบด้วยขอรับ!”
อย่างไรก็ตามพ่อครัวที่ฉินเหวินซวนติดสินบนนั้น เมื่อคืนนี้เขาเมาและตกลงไปในโถส้วมจมน้ำตายไป ทำให้ไม่มีหลักฐานเอาผิด จึงได้แต่ปล่อยประเด็นนี้ไป
เมื่อได้ยินคำพูดของนักเรียนผู้นั้นถังหลี่ก็ขมวดคิ้ว หรือว่าที่จั๋วชูโชคร้ายเป็นไปได้ไหมว่า…เขาโดนฉินเหวินซวนเล่นงาน?
ชายผู้นี้ช่างเป็นอสรพิษจริงๆ!
ความสามารถไม่มี จิตใจล้วนต่ำช้า!
ถังหลี่มองเฉียนลู่เห็นดวงตาของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเกลียดชังเหมือนงูพิษที่พร้อมจะแว้งกัด จุ๊ ๆ.. หมากัดหมา น่าสนุกเสียจริง…
….
ถังหลี่พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมพร้อมกับเด็ก ๆ เพียงชั่วข้ามคืนพวกเขาก็กลายเป็นตำนานในเมืองเหอตง ถึงกับมีผู้คนมาลอบมองเพราะอยากเห็นใบหน้าของเด็กทั้งสองคนที่ได้คะแนนสูงสุด
“หนึ่งตำลึงเงิน เจ้าจะเข้าไปได้หลังจากที่จ่ายเงินแล้วเท่านั้น” หลูหลิงยืนเฝ้าประตูเป็นธุระให้
ยังมีคนหลงเชื่อและให้เงินหลูหลิงไปอย่างเชื่อฟัง ไม่มีพ่อค้าคนไหนไม่สนใจเรื่องเงินทอง ในช่วงท้ายของวันหลูหลิงทำเงินได้ไปเกือบยี่สิบตำลึง
“พี่หลูช่างรู้วิธีหาเงินเสียจริง” สวี่เจวี๋ยเย้ยหยัน
ต้าเป่าที่ยืนอยู่ข้างสวี่เจวี๋ยก็มองไปที่หลูหลิงด้วยทีท่าอ่อนโยน แต่กลับทำให้หลูหลิงกลัวจนตัวสั่น เขาลูบศีรษะตัวเองอย่างเก้อเขินก่อนจะเดินเข้าไปใกล้คนทั้งสอง
“ทั้งหมดนี่ต้องขอบคุณน้องชายทั้งสองคน”
หลูหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“รู้ด้วยหรือว่าต้องขอบคุณพวกข้า เจ้าไม่รู้สึกละอายเลยหรือ?”
สวี่เจวี๋ยยื่นมือของตัวเองออกมา หลูหลิงจึงหยิบเงินสิบตำลึงออกมาจากแขนเสื้อของเขา
“ตามจริงแล้วย่อมควรแบ่งกันครึ่งต่อครึ่ง แต่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบกลิ่นทองแดง ดังนั้นเพื่อที่จะไม่ทำให้นัยน์ตาของพวกเจ้าแปดเปื้อนแล้ว….”
หลูหลิงพูดอ้อมไปมาเพราะอยากได้เงินจำนวนนี้กลับไป ทว่าสวี่เจวี๋ยรู้ทัน เขาเอื้อมมือมาฉวยเงินอย่างว่องไว ก่อนจะมอบให้กับต้าเป่า
“ต้าเป่านี่เป็นส่วนแบ่งของพวกเรา เจ้าเก็บไว้ให้ดีล่ะ”
ต้าเป่าไม่เกรงใจ รีบหยิบเงินไปพร้อมกับส่งยิ้มให้
“ได้สิ!”
หลูหลิง. : ….
เจ้าจิ้งจอกน้อยสองตัวนี้…
ทั้งต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยเดินออกไปโดยมีหลูหลิงตามไม่ห่าง
“เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ตัวติดกันนัก เป็นฝาแฝดกันหรือ?”
หลูหลิงสงสัยมาก
“ไม่ใช่ธุระของเจ้า”
“แล้วพวกเจ้าจะไปไหน? พวกเราเป็นสหายกันไม่ใช่หรือ? ควรบอกกล่าวกันหน่อยสิ”
“ท่านแม่ขอให้ข้าไปหาอาจารย์กัวเพื่อไต่ถามว่าเขาจะกลับเหยาสุ่ยพร้อมพวกข้าหรือไม่” ต้าเป่าหันไปตอบ
เด็กหนุ่มทั้งสามคนเดินเคียงข้างกันไปบนท้องถนน คนหนึ่งสูงและอีกสองคนตัวเล็กกว่า พวกเขาพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
บนถนนเส้นนั้น มีบ่าวรับใช้เดินนำหน้าชายหนุ่มพร้อมกับเด็กอ้วนที่ติดสอยห้อยตามมาติด ๆ พวกเขาเฝ้าดูเด็กหนุ่มทั้งสามคนที่เดินจากไป
“นายท่านขอรับ เราจะตามพวกเขาไปต่อไหม?” เขาถาม
ชายหนุ่มมองด้านหลังของคนทั้งสาม ดวงตาของเขาฉายแววครุ่นคิด
“เฝ้าดูไปก่อนเถอะ ดูเหมือนข้าจะเจอคนที่ตามหาแล้ว”
“แต่ก่อนอื่น เราต้องตรวจสอบเพิ่มเติมว่าเขาคือผู้มีความสามารถที่แท้จริงสมกับที่ข้ามองหาอยู่หรือไม่?”
….
ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
อาจารย์กัวกำลังดื่มกับสหายพร้อมกับสนทนากันอย่างออกรส ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นสหายร่วมชั้นเรียนมาด้วยกัน รวมไปถึงอาจารย์จางผู้สอนอยู่ในสำนักศึกษาหลวง ตลอดจนคณาอาจารย์ที่สอนในสำนักศึกษาอื่น ๆ
เมื่อก่อนอาจารย์กัวได้แต่นั่งหลบมุมอยู่ในงานเสวนาหนังสือ ฟังเพื่อนร่วมชั้นโอ้อวดถึงลูกศิษย์ของพวกเขาว่าแต่ละคนจะมีอนาคตรุ่งโรจน์เช่นไร? มีคนสอบผ่านเซี่ยนชื่อ ฝู่ชื่อ และฮุ้ยชื่อกี่คน? นาน ๆ ครั้งถึงจะมีคนหันมาพูดคุยกับเขาสักสองสามคำ
อาจารย์กัวยังคงปกป้องสำนักศึกษาหงเหวิน ภายนอกเขาดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่ในใจของเขาบังเกิดความอิจฉาจนล้นอก เมื่อใดกันนะ เขาถึงจะได้มีลูกศิษย์ที่เก่งกาจแบบนั้น? เขาเองก็อยากมีลูกศิษย์เอาไว้โอ้อวดบ้างเช่นกัน แม้จะไม่ปรารถนาเงินทองให้ได้ร่ำรวยก็ตาม แต่หากได้หน้าบ้างก็จะดีมิใช่น้อย
แต่แล้วในปีนี้ โชคดีก็วิ่งเข้ามาหาอาจารย์กัวอย่างไม่คาดคิด เพราะสำนักศึกษาหงเหวินครองสามอันดับแรกในการสอบเซี่ยนชื่อ! ดังนั้นในงานเสวนาหนังสือปีนี้ อาจารย์กัวจึงเป็นจุดศูนย์กลางของงาน ทุกคนต่างรุมล้อมเขา
อาจารย์กัวมีหน้ามีตาขึ้นมาโดยพลัน!
“เหล่ากัวขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย ลูกศิษย์ของท่านคว้าสามอันดับแรกของการสอบมาได้ สำนักหงเหวินของท่านจะโด่งดังไปทั่วมณฑลเหอตง!”
“ข้าอ่านกระดาษคำตอบของเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยแล้วได้แต่ถอนหายใจ มันน่าทึ่งมาก! ข้าไม่เคยเห็นเด็กที่มีพรสวรรค์เช่นนี้มาก่อนเลย!”
“ใช่แล้ว! เด็กสองคนนี้อายุเพียงแค่สิบขวบก็ฉายแววเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ ในภายหน้าพวกเขาจะต้องมีชื่อในแผ่นประกาศทองคำอย่างแน่นอน”
พวกเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน
“ลูกศิษย์ทุกคนล้วนน่าชื่นชมทั้งสิ้น ที่จริงก็ไม่มีอะไรมากนัก เพียงแค่ครั้งนี้ลูกศิษย์ของข้าบังเอิญทำข้อสอบได้ดีกว่าทุกคนเท่านั้นเอง” อาจารย์กัวพูดอย่างถ่อมตัว
“เหล่ากัว หากพี่อยากถ่อมตัวเช่นนี้ ก็ลดมุมปากลงหน่อยเถิด”
“ใช่แล้ว ดูรอยยิ้มของพี่สิ แทบจะฉีกไปถึงใบหู”
เหล่าบัณฑิตต่างพากันพูดจาหยอกเย้า อาจารย์กัวเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา
“การได้พบศิษย์ที่ฉลาดเช่นนี้ถือเป็นโชควาสนาของข้า! ข้าไม่ได้สอนอะไรพวกเขามากนัก เขาทำข้อสอบได้ดีเอง!”
อาจารย์คนอื่นได้ฟังก็อยากทุบเขาให้รู้แล้วรู้รอด
“ท่านอาจารย์ขอรับ” ในตอนนั้นเองสวี่เจวี๋ยและต้าเป่าก็มาถึง พวกเขาเรียกอาจารย์กัวอย่างเคารพที่ด้านนอกประตู
ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่เด็กทั้งสองราวกับหมาป่าจ้องลูกแกะ นี่คือเด็กที่ได้คะแนนสูงสุดในครั้งนี้!
คงจะดีมากทีเดียวหากทั้งสองคนนี้เป็นลูกศิษย์ของพวกเขา
“เด็กน้อย เข้ามาสิ!”
“อายุยังน้อยแต่ช่างน่าทึ่งเหลือเกิน!”
“ข้าชื่ออาจารย์เฉินอยู่สำนักศึกษาเหอตงนะ มาให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยเถอะ”
ตอนนี้อาจารย์กัวอยู่ในอารมณ์ที่หลากหลาย ใจหนึ่งเขาก็อยากจะอวดเด็ก ๆ ของตน แต่อีกใจก็กลัวว่าสหายของเขาจะฉกชิงเด็ก ๆ ไป เมื่อเห็นเด็กทั้งสองเดินตรงมาและยืนขนาบซ้ายขวาข้าง ๆ เขา อาจารย์กัวลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาไม่สมควรต้องวิตกกังวลให้มากเกินไป…
“ข้าไม่ได้โกหกพวกเจ้า ทั้งสองคนอยู่ที่สำนักศึกษาของข้ามาสองปีแล้ว ข้าไม่กังวลเรื่องแบบนี้หรอก”
“พวกเขาเพิ่งเข้าเรียนที่สำนักศึกษาแต่บทความของพวกเขาช่างเขียนได้ดีลื่นไหลมากจริง ๆ”
“พวกเขาเป็นเด็กดีไม่ต้องให้ข้าเคี่ยวเข็ญเลย ขยันอ่านตำราไม่เคยเกียจคร้านสักครั้ง”
อาจารย์กัวโอ้อวดเต็มปาก เมื่อเขารู้สึกว่าโม้มากพอแล้วเขาก็เดินตามศิษย์ทั้งสองออกจากเหลาอาหารไป