เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 255 พลิกวิกฤติโดยบังเอิญ
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 255 พลิกวิกฤติโดยบังเอิญ
บทที่ 255 พลิกวิกฤติโดยบังเอิญ
สีหน้าของต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยไม่ค่อยดีนัก
“ไปหาเขากันเถอะ!”
ทั้งสองออกค้นหาไปรอบ ๆ บริเวณแถวนั้น จนไปพบกับกลุ่มคนที่กำลังรุมจั๋วชูอยู่ในตรอกลึก ใบหน้าของจั๋วชูซีดเผือด ผมเผ้ากระเซิง เสื้อผ้าขาดวิ่น
เด็กหนุ่มทั้งสองคนรีบถอยหลังไปหลบในมุมอย่างรวดเร็ว ไม่ให้คนพวกนั้นสังเกตเห็นพวกเขา
“ต้าเป่า พวกมันมีหลายคนเจ้าไปตามคนอื่นมา” สวี่เจวี๋ยกระซิบ
“แล้วเจ้าล่ะ..” ต้าเป่ารู้สึกเป็นห่วงอีกฝ่าย
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร”
ทั้งคู่มองหน้าก่อนก่อนที่ต้าเป่าจะหันหลังและวิ่งจากไปอย่างที่นัดแนะกันไว้ ในขณะที่คนพวกนั้นกำลังจะใช้กำลังกับจั๋วชู
“หยุดนะ!!”
พวกมันหันไปมองเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง แต่ไม่ได้ให้สนใจกับเขา
“เด็กน้อย ไม่ใช่เรื่องของเจ้า นี่เป็นธุระของพวกเราเจ้าอย่าได้เข้ามายุ่ง”
“สวี่เจวี๋ยหนีไป!!” จั๋วชูตะโกน
“ธุระ? พวกเจ้ามีธุระเช่นใดหรือ?”
สวี่เจวี๋ยไม่สนใจที่จั๋วชูตะโกนออกมา เขาก้าวเข้าหาคนพวกนั้นช้า ๆ ทั้งห้าคนนั้นสวมเสื้อผ้าเหมือนกัน น่าจะเป็นชุดของบ่าวรับใช้
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”
“ข้าแค่เป็นห่วงพวกเจ้า จั๋วชูคือศิษย์ของสำนักศึกษาหลวง เขาเป็นคนที่สอบได้ลำดับที่สามในครั้งนี้ หากพวกเจ้าทำอะไรเขาเท่ากับละเมิดกฎหมายของต้าโจว!”
สวี่เจวี๋ยพูดขู่
“ผายลม! เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกข้าเป็นใคร ทางการจะมาจับเราได้เช่นไร?” พวกเขาเหล่านั้นไม่สนใจ
“ไอ้หนูนี่ดูท่าจะหาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ว”
ขณะที่พูดเขาก็หันกลับมาจะโจมตีสวี่เจวี๋ย จั๋วชูวิ่งเข้าไปขวางชายคนนั้นและจับตัวเขาไว้
“สวี่เจวี๋ย วิ่ง!”
ชายคนนั้นหันไปสะบัดตัวจั๋วชูออก ก่อนที่คนอื่นจะมาคว้าตัวสวี่เจวี๋ยเอาไว้ได้
“ปล่อยเขาไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา!”
“เอาเถอะ จั๋วชู…ที่ข้าพูดก็เพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง ไม่เป็นไรถ้าพวกเขาจะสำนึกไม่ได้ หากพวกเจ้าทุบตีข้า พวกเจ้าย่อมมีความผิดทางอาญา เจ้าอาจจะจำข้าไม่ได้ ข้าเป็นคนที่สอบได้อันดับสองในครั้งนี้ ส่วนจั๋วชูคืออันดับสาม ท่านเจ้าเมืองให้ความสำคัญกับพวกเรามาก ใต้เท้าจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้พวกข้าอย่างแน่นอน”
สวี่เจวี๋ยพูดด้วยความใจเย็น เขามองไปที่คนเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา ทันทีที่พูดจบบ่าวรับใช้ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา พวกมันพากันลังเลใจ
ลำดับที่สองและสาม…ท่านเจ้าเมืองย่อมตรวจสอบอย่างเคร่งครัด คงไม่ปล่อยไปง่ายๆ!
หากพบว่า…
ทว่าในอีกด้านหนึ่ง คำสั่งนี้เป็นคำสั่งของนายน้อย แต่ว่าการฝ่าฝืนกฎหมายของต้าโจวนั้น… ในขณะที่พวกเขากำลังลังเล ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ใต้เท้าเฉิน อาจารย์จาง อาจารย์หลี่! มีคนโดนรุมทำร้ายอยู่ทางด้านนั้นขอรับ!”
ทันทีที่ได้ยินพวกเขาตื่นตระหนกกันมาก ทั้งห้าคนทิ้งจั๋วชูไว้เบื้องหลังแล้วรีบวิ่งหนีไปทันที จากนั้นไม่นานนักทั้งสองคนจึงเห็นต้าเป่าเดินออกมาคนเดียว แล้วคนอื่นเล่า?
“ไม่มีใครหรอก ข้าโกหกน่ะ” ต้าเป่ากล่าว
ในตอนแรกต้าเป่าอยากจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่ระยะทางไปกลับนั้นไกลเกินไป ตอนนี้ในสำนักศึกษาไม่มีอาจารย์อยู่เลย
ดังนั้นเขาต้องพยายามอย่างมากในการหาใครสักคน แต่ต้าเป่ากลัวว่าสวี่เจวี๋ยและจั๋วชูจะตกอยู่ในอันตราย เขาจึงรีบกลับมาอีกครั้งโดยแสร้งว่ามีคนมาด้วย
ในตอนแรก คนทั้งห้านั้นก็เริ่มหวาดกลัวคำพูดของสวี่เจวี๋ยแล้ว เมื่อต้าเป่าตะโกนขึ้นมาเช่นนั้นพวกมันจึงรีบวิ่งหนีไป ตอนนี้ทั้งสามคนรอดจากสถานการณ์วิกฤตแล้วพวกเขาพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ” สวี่เจวี๋ยกล่าว
พวกเขาออกจากตรอกแห่งนั้นด้วยความรีบร้อน ก่อนจะถอนหายใจเมื่อเริ่มเห็นผู้คน
“จื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ยขอบคุณพวกเจ้ามาก” จั๋วชูกล่าว หากไม่ได้เด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้เขาต้องถูกรุมทุบตีแน่นอน
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เจ้าเจ็บมากไหม?” ต้าเป่าถาม
“ไม่ พวกเขายังไม่ได้ทำอะไรข้า” จั๋วชูตอบกลับ
ทั้งสองเดินตามจั๋วชูกลับไปยังที่พัก
“คนพวกนั้นเป็นใคร?” ต้าเป่าถามในขณะที่จั๋วชูเองก็ส่ายหน้า
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ใครกันที่เล็งเป้าหมายมาที่จั๋วชู?
“คงเพราะเจ้ากำลังเป็นที่สนใจและเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาหลวง” ต้าเป่ากล่าว จั๋วชูพยักหน้ารับ
“อย่ากังวลไปเลยข้าสบายดี พวกเจ้ารีบกลับบ้านไปเถอะ ไม่เช่นนั้นฮูหยินเว่ยจะเป็นห่วง”
ทั้งสองคนจึงจากเขาไป เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงประตูสำนักศึกษา ก็เห็นร่างของคนผู้หนึ่งยืนรออยู่
“ท่านแม่!”
โดยปกติแล้วเด็กหนุ่มทั้งสองจะกลับถึงบ้านตรงเวลาทุกวัน แต่วันนี้ถังหลี่รู้สึกกังวลเมื่อถึงเวลาแล้วพวกเขายังไม่กลับมา เมื่อเห็นทั้งสองปลอดภัยดี นางจึงรู้สึกโล่งใจ
“กลับบ้านกันเถอะ” ถังหลี่กล่าว
หลังจากนั้นพวกเขาก็บอกมารดาเกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้กลับบ้านช้า ทันทีที่ฟังจบถังหลี่รู้สึกกังวลและหวาดกลัวขึ้นมา โชคดีที่เด็ก ๆ ไม่เป็นอะไร พวกเขาอาจจะเป็นเด็กที่สมองดีเรียนหนังสือเก่ง แต่ทั้งสองคนไม่ได้ฝึกหมัดมวยมาเลย ครั้งหน้าพวกเขาอาจจะไม่โชคดีเช่นนี้อีก
ถังหลี่ครุ่นคิดว่าควรหาบ่าวรับใช้มาดูแลบุตรทั้งสองคน เพื่อนางจะได้สบายใจ
“ท่านแม่ ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าใครพุ่งเป้ามาที่จั๋วชู แต่เขาน่าสงสารมาก” ต้าเป่ากล่าว
จั๋วชูเป็นคนที่อับโชคจริง ๆ เขาล้มเหลวในการสอบมาถึงสามปี ตอนนี้ก็มาเจอปัญหาเช่นนี้อีก
“พ่อแม่ของจั๋วชูไม่ได้อยู่ที่เหอตง ดังนั้นแม่จะเป็นพี่สาวที่คอยปกป้องเขาเอง ต้าเป่า สวี่เจวี๋ย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพวกลูกให้มาบอกแม่นะ” ถังหลี่ถาม
ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยพยักหน้าเมื่อได้ยิน ท่านแม่เป็นคนที่เก่งกล้าทำให้พวกเขาไม่กลัวอะไรเลย
…..
ต้าเป่าคาดเดาได้อย่างถูกต้อง ในตอนเช้าเรื่องร้าย ๆ ของจั๋วชูยังเกิดขึ้นอีก มีคนมาแอบทุบแท่นหมึกของจั๋วชูทำให้โต๊ะเรียนของเขาเต็มไปด้วยหมึกเลอะเทอะ ทั้งยังจับตัวคนทำไม่ได้อีกด้วย จั๋วชูเสียใจมาก เพราะแท่นหมึกอันนี้จื่ออั๋งเป็นคนมอบให้เขา ทำให้เขามีหมึกพอใช้ไปได้อีกครึ่งปีเลยทีเดียว
จั๋วชูหยิบแท่นหมึกขึ้นมา ก่อนจะเช็ดโต๊ะเรียนของเขาด้วยผ้าสำหรับเช็ดหมึก
“ใครเป็นคนทำ? ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ จู่ ๆ มาทำลายข้าวของจั๋วชูแบบนี้”
“ใช่แล้ว แบบนี้มันรังแกกันชัดๆ”
ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยช่วยเพื่อนเช็ดหมึกบนโต๊ะออก แต่พวกเขาต้องยอมแพ้เพราะทั้งสองคนไม่ได้หยิบจับงานบ้านมานานแล้ว
ท่านอาจารย์ก็มาลงดูเรื่องนี้ด้วยตนเองเช่นกัน แต่เขาไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นคนทำ จึงได้แต่ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไป
ทว่าวันต่อมาหนังสือของจั๋วชูถูกฉีกขาด นั่นทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดมาก
“คนร้ายอาจจะเป็นพวกเดียวกับที่มารุมจั๋วชูครั้งนั้นก็ได้ ข้าคิดไม่ออกเลยว่าจั๋วชูไปทำอะไรให้พวกเขา”
“เราต้องหาตัวผู้กระทำผิดมาเพื่อสะสางปัญหานี้ มิฉะนั้นเรื่องเลวร้ายของจั๋วชูก็จะเกิดขึ้นไม่จบสิ้น”
ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยตัดสินใจก่อนจะปรึกษาหารือเรื่องนี้กับจั๋วชู
เด็กหนุ่มรู้สึกเสียใจมากเขาพยายามกัดฟันและยืนหยัดมาโดยลำพังตลอด จั๋วชูบอกกับตัวเองเสมอว่าเขาทำได้ จนในที่สุดเขาก็สอบผ่านได้เข้ามาเรียนที่สำนักศึกษาแห่งนี้ เขาจะไม่มีวันยอมออกจากที่นี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
แค่อดทนสักนิดอีกฝ่ายก็อาจจะเบื่อและปล่อยเขาไป…
เมื่อจั๋วชูได้ยินคำพูดของต้าเป่าและสวี่เจวี๋ย
เขากระพริบตาก่อนค้อมศีรษะลง
“ข้าทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนอีกครั้งแล้ว”
เขาเป็นคนอาภัพทำให้ผู้คนรอบตัวพลอยโชคร้ายมีเคราะห์ไปด้วย มารดาเขาสติไม่สมประกอบ บิดาพิการ หลังจากทั้งคู่รับเลี้ยงเขา ทั้งบิดามารดาก็มีแต่ชีวิตย่ำแย่ลง เพื่อให้เขาได้เรียนหนังสือ บิดาจำต้องไปขอร้องความช่วยเหลือจากคนอื่น