เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 257 ถังหลี่อาสา
บทที่ 257 ถังหลี่อาสา
เมื่อถังหลี่ไปรับสวี่เจวี๋ยและต้าเป่ากลับบ้าน นางสังเกตว่าใบหน้าของเด็ก ๆ ไม่มีความสุข จึงหยิกแก้มลูกชายพลางถามว่า
“เป็นอะไรไปหรือ? ที่โรงเรียนมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า?”
“ท่านแม่…” เด็กชายที่ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นดูนิ่งสงบมั่นคง หากยามนี้เมื่ออยู่กับมารดากลับมีทีท่าอ่อนลง เขาจับแขนถังหลี่แล้วพูดว่า
“เราจับตัวคนร้ายที่รังแกจั๋วชูได้”
“โอ้ แล้วเป็นใครหรือ?” ถังหลี่ถามอย่างสงสัย
ถังหลี่รู้ว่าต้าเป่ามีเรื่องอยากจะบอกนาง นางจึงค่อย ๆ ถามเขา
“เขาคือเจียงเฉิงเป่า เป็นสหายร่วมสำนัก บิดาของเขาเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยในเมืองเหอตง เจียงเฉิงเป่าเข้ามาเรียนในสำนักศึกษาทั้ง ๆ ที่เขาสอบไม่ผ่าน ซ้ำยังมารังแกจั๋วชูอีกด้วย…” ต้าเป่าพูดด้วยน้ำเสียงบูดบึ้ง
“เขาเป็นคนนิสัยไม่ดี ใคร ๆ ก็รู้ว่าคนอย่างเขาสมควรโดนไล่ออกจากสำนัก!”
“แล้วเจ้าสำนักจัดการอย่างไรหรือ?” ถังหลี่ถาม
“ท่านเจ้าสำนักขอให้เจียงเฉิงเป่าและบิดาขอโทษจั๋วชู”
ต้าเป่ากล่าว ซึ่งถังหลี่เองก็แอบคาดเดาผลลัพธ์เอาไว้ในใจแล้ว
“แล้วจั๋วชูให้อภัยเขาหรือ?”
“เป็นเพราะบิดาของเจียงเฉิงเป่าเป็นคนมาขอโทษจั๋วชู”
“ต้าเป่าคิดว่าจั๋วชูตัดสินใจผิดหรือ?”
“ไม่ขอรับ” ต้าเป่าส่ายศีรษะ
จั๋วชูตัดสินใจถูกต้องแล้ว แต่ต้าเป่ารู้สึกสงสารเพื่อนและอึดอัดใจไม่น้อย
“ต้าเป่าไม่มีอะไรบนโลกนี้เป็นสีขาวและดำหรอกนะ หากเขาตัดสินใจอย่างไรลูกควรเคารพการตัดสินใจของเขา”
“จั๋วชูบอกว่าในตอนที่เห็นบิดาของเจียงเฉิงเป่า เขานึกถึงบิดาของตนเองขอรับ”
“หากบิดาของเจียงเฉิงเป่าเป็นคนมีเหตุผล เขาจะต้องลงโทษลูกชายของเขาเป็นแน่ แต่ถ้าเขาเสแสร้งล่ะก็แม่จะจัดการให้แทนจั๋วชูเอง เขาจะต้องไม่โดนรังแกอย่างไม่ยุติธรรม!” ถังหลี่พูดอย่างหนักแน่น
เด็กน้อยคลี่ยิ้ม เขาถูไถใบหน้ากับไหล่ของมารดา ท่านแม่ของเขาเป็นคนใจดี ปกป้อง และห่วงใยต้าเป่า อีกทั้งยังเข้มแข็งพอที่จะต่อสู้กับความอยุติธรรมได้ เขาโชคดีเหลือเกินที่มีมารดาเช่นนาง แต่ต้าเป่าก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
หลังจากที่ออดอ้อนมารดาเขาก็จำได้ว่าตัวเองโตแล้ว ทำให้เขารู้สึกอับอาย ต้าเป่าแอบมองสวี่เจวี๋ย เพื่อดูว่าอีกฝ่ายแอบหัวเราะเยาะเขาหรือเปล่า?
“ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ เจ้าก็ยังเป็นบุตรชายของแม่”
ถังหลี่เข้าใจสิ่งที่เขาคิดทันที หญิงสาวลูบหัวบุตรคนโตเบา ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นต้าเป่าก็ครุ่นคิดถึงคำพูดมารดา ใช่แล้วนางพูดถูก ไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไหร่เขาก็ยังเป็นเด็กสำหรับท่านแม่เหมือนเดิม ดังนั้นต้าเป่าจึงจับแขนมารดาและออดอ้อนราวกับเด็กทารก
ถังหลี่กำลังคิดถึงเจียงเฉิงเป่า บิดาของเขาเป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งในเมืองเหอตงหรือ… นางจำได้ว่าฮูหยินมู่กล่าวว่าพี่ชายของนางมีบุตรชายที่แก่กว่าต้าเป่า หลานชายคนนี้ชอบทำให้บิดาปวดหัว…มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ?
ในตอนที่สามีของนางถูกกล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดกับโจรภูเขา นายท่านเจียงเป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือนางมาก เขาเป็นเสมือนผู้มีพระคุณของถังหลี่ คงต้องหาเวลาไปเยี่ยมเสียหน่อย…
ถังหลี่เก็บเรื่องนี้ในไว้ใจ
วันต่อมา
ถังหลี่มีคลังสมบัติเล็ก ๆ ของตัวเองอยู่ ในนั้นเต็มไปด้วยของหายากและของมีค่ามากมาย บางส่วนได้รับมาจากพี่ชายและบางส่วนเป็นของที่นางเก็บสะสมไว้ หญิงสาวหยิบโสมร้อยปีมาใส่กล่องก่อนจะเดินทางไปยังจวนสกุลเจียง จวนสกุลเจียงในเมืองเหอตงนั้นเป็นจวนแบบเก่าและเรียบง่าย เป็นมรดกที่ตกทอดกันมาหลายรุ่น
ครั้งสุดท้ายที่นางจำได้คือพี่ชายของฮูหยินมู่ผู้นี้ดูท่าทางไม่เหมือนพ่อค้า หากดูเหมือนเป็นนักวิชาการมากกว่า
“ได้โปรดไปแจ้งนายท่านเจียงด้วยว่า ข้าถังหลี่จากเมืองเหยาสุ่ย ต้องการพบกับนายท่าน”
บ่าวรับใช้รีบวิ่งเข้าไปในจวนทันที
แต่ที่ทำให้ถังหลี่ประหลาดใจก็คือ คนที่ออกมาต้อนรับนางเป็นฮูหยินมู่ที่มีท่าทางเหนื่อยล้า
“พี่หลาน!” ถังหลี่เรียกนาง
“เสี่ยวถัง เข้ามาเร็ว” ฮูหยินมู่จับมือถังหลี่ก่อนจะพาเข้าไปในจวน
ระหว่างทางเดินถังหลี่ก็ได้รับข่าวว่าพี่ชายของฮูหยินมู่ล้มป่วย
“เมื่อวานนี้ข้ามาที่เหอตงตั้งใจจะไปเยี่ยมเจ้าในวันนี้ แต่คาดไม่ถึงว่าพี่ชายข้า…”
“หลานชายของข้าก่อเรื่องเมื่อวาน ทำให้ท่านพี่ล้มป่วยเพราะความโมโห”
“เขาตั้งความหวังกับบุตรชายคนนี้ไว้มาก คิดไม่ถึงเลยว่าหลานชายจะก่อเรื่องรังแกสหายร่วมชั้นเรียนถึงเพียงนี้ เมื่อพี่ชายข้ากลับมาที่จวนเขาล้มป่วยลง…”
ฮูหยินมู่ถอนหายใจเบา ๆ
ว่ากันว่าบิดามารดานั้นเป็นหนี้กรรมกับบุตรมาแต่ชาติที่แล้ว
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกินที่เจียงเฉิงเป่านั้นเป็นหลานชายของพี่หลานจริง ๆ!
ถังหลี่รู้ดีว่าการที่มีเด็กเอาแต่ใจนิสัยเสียอยู่ในบ้านนั้นมันน่าอึดอัดเพียงใด เพราะอย่างไรบุตรก็ย่อมเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง สุดท้ายแล้วก็ต้องทุกข์ใจเพราะบุตรของตน
“ฮูหยินขอรับ นายท่านตื่นแล้ว” บ่าวรับใช้เข้ามารายงาน ทำให้ฮูหยินมู่ประหลาดใจ
“ฟื้นแล้วหรือ ดียิ่ง… เสี่ยวถัง เจ้าจะไปกับข้าหรือจะรอข้าที่ห้องรับรอง”
ถังหลี่ตามฮูหยินมู่ไปเยี่ยมนายท่านเจียง เขานอนอยู่บนเตียงใบหน้าดูซีดเซียวอิดโรยเมื่อเห็นน้องสาวก็คลี่ยิ้มออกมา
“น้องเล็ก…” ก่อนจะเหลือบสายตามองถังหลี่ ไม่นานนักเขาก็จดจำนางได้
“ฮูหยินเว่ย”
ถังหลี่ทักทายเขา
“ท่านพี่ เรื่องเฉิงเป่า…”
“ตอนที่เขายังเล็กเขาเป็นเด็กเชื่อฟังมาก เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้” นายท่านเจียงรู้สึกโกรธเมื่อพูดถึงลูกชายของเขา ‘เจียงเฉิงเป่า’
“ท่านพี่พักผ่อนก่อนเถอะ อย่าคิดมากเลย”
“ไม่ได้หรอก ข้าต้องทำให้เขารู้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง และไปขอโทษเพื่อนกับข้า”
เมื่อคิดถึงใบหน้าของบุตรชายเขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา นายท่านเจียงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรแต่ภายในของเขาเต็มไปด้วยโทสะ เขามีบุตรชายเช่นนี้ได้อย่างไร!
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ ก็ยิ่งทวีความโกรธมากยิ่งขึ้นใบหน้าของเขามืดครึ้มดำทมึน
ฮูหยินมู่เห็นเช่นนัันก็ยิ่งตกใจ
“ท่านพี่ เลิกคิดก่อนเถอะ…ท่านพักผ่อนก่อนจะได้ดีขึ้น”
ฮูหยินมู่รีบปลอบโยนพี่ชายตัวเอง นางคอยเฝ้าดูแลให้เขาดื่มยาในชามจนหมด นายท่านเจียงจึงได้มีท่าทีสงบลง ก่อนจะผล็อยหลับไป พวกนางจึงได้ออกมาจากห้อง
“ข้าจะไปหาเฉิงเป่า” ฮูหยินมู่กล่าว
“พี่หลาน ข้าจะไปกับท่าน” ถังหลี่พูดก่อนจะเดินตามไปยังห้องของเจียงเฉิงเป่า
นางเคาะประตูห้องนอนอยู่เป็นนานก่อนที่จะเปิดออก ภายในห้องนั้นมืดสนิท เจียงเฉิงเป่ายืนอยู่ที่ตรงมุมห้อง เด็กหนุ่มมีรูปร่างอ้วน ท่าทีเขาดูหดหู่ มืดมน ไม่ยอมเอ่ยแม้แต่คำทักทาย
“เฉิงเป่า…” ฮูหยินมู่เกริ่นนำ ก่อนจะเอ่ยคำพูดยืดยาวออกมาเป็นทำนอง ให้หลานชายเชื่อฟังบิดา และไปขอโทษเพื่อนร่วมชั้นจะได้กลับไปเรียนหนังสือได้ แต่เจียงเฉิงเป่าปล่อยให้นางพูดอยู่ฝ่ายเดียวเป็นเวลานานโดยไม่ตอบโต้อะไรเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นฮูหยินมู่จึงรู้สึกอารมณ์เสียหงุดหงิดขึ้นมา
“เจียงเฉิงเป่า เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่? หรือเจ้าหูหนวกเป็นใบ้ไปแล้ว?”
ฮูหยินมู่ตะคอกเสียงดังจนเจียงเฉิงเป่าไปนั่งซุกตัวที่มุมห้องด้วยความตกใจ
“พี่หลาน ท่านออกไปก่อนดีกว่า” ถังหลี่พูดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเรียกฮูหยินมู่ออกไป
ความจริงแล้วถังหลี่แอบสังเกตท่าทีของเจียงเฉิงเป่าอย่างเงียบ ๆ นางพบว่าเด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้นี้เป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง เขาขี้ขลาด มีแนวโน้มจะเป็นโรคซึมเศร้า จากสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ การที่ฮูหยินมู่ตะคอกดุยิ่งทำให้เขาไม่รับฟังทำให้เขายิ่งกลัวจนปฏิเสธทุกอย่างสุดท้ายก็จะทำให้เรื่องแย่ลง
ถังหลี่พูดสิ่งที่นางคิดออกไป ทันทีที่ได้ฟังฮูหยินมู่ตกตะลึงมาก
“เสี่ยวถัง เจ้าจะบอกว่าที่เขาเป็นเช่นนี้เพราะป่วยหรือ?”
“ใช่แล้ว มันคืออาการป่วยทางจิตใจของเขา” ถังหลี่กล่าว
ฮูหยินมู่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับโรคดังกล่าวเลย นางพูดอย่างประหม่าว่า
“ข้าควรพาเขาไปหาหมอไหม?”
“หมอธรรมดาไม่สามารถรักษาได้”
ในยุคนี้ยังไม่มีจิตแพทย์
“แล้วข้าควรทำอย่างไรดี?” ฮูหยินมู่ได้ฟังก็ตื่นตระหนก
หากหมอยังรักษาไม่ได้แสดงว่าเป็นโรคร้ายแรงมาก นางรู้ว่าพี่ชายของนางเข้มงวดกับบุตรชาย แต่ความจริงแล้วหลานชายคนนี้คือสมบัติที่มีค่าของเขา และหากเกิดอะไรขึ้น…
นางไม่กล้าที่จะจินตนาการได้เลย
“ข้าขอลองดูก่อน..” ถังหลี่อาสา