เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 276 ข้าคิดถึงท่านมาก
บทที่ 276 ข้าคิดถึงท่านมาก
เมื่อถังหลี่หันหลังกลับมานางเห็นดวงตาของพ่อครัวหม่าเป็นประกายวาวจ้องมาที่นาง
ถังหลี่ “….”
“เจ้าคงไม่ได้คิดจะคุกเข่าขอบคุณข้าใช่ไหม?” ถังหลี่อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาเมื่อเห็นแววตาของเขา
“ถ้าท่านอนุญาต” หม่าเฉิงกล่าว
แม้จะมีคำกล่าวที่ว่าบุรุษนั้นมีทองคำอยู่ใต้เข่า[1] แต่ว่าหม่าเฉิงไม่รู้จะแสดงความขอบคุณถังหลี่อย่างไรดี นายหญิงไม่เพียงแต่ให้โอกาสเขาได้ทำอาหารของตระกูลติงเท่านั้น แต่ตอนนี้นางยังล้างมลทินให้กับเขา ทำให้หม่าเฉิงเป็นทายาทที่สืบทอดสูตรอาหารของตระกูลติงได้อย่างชอบธรรม
ต่อไปนี้เขาสามารถปรุงอาหารของตระกูลติงได้โดยไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป นี่คือความปรารถนาขั้นสูงสุดของเขาซึ่งบัดนี้เป็นจริงแล้ว เขายินดีที่จะคุกเข่าให้ถังหลี่
หญิงสาวกลั้นยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของเขา
“ไม่จำเป็น”
หม่าเฉิงงอเข่าลงไปแล้วเมื่อได้ยินถังหลี่พูดเขาถึงกับเซถอยหลังไป
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า แค่ช่วยข้าทำร้านอาหารแห่งนี้ก็พอ”
ถังหลี่กล่าว
หม่าเฉิงพยักหน้าแรง ๆ เขาจะทำให้ดีที่สุด!
“เอาล่ะ วันนี้เป็นวันที่เราเปิดร้านวันแรก มีเรื่องมากมายที่ต้องทำ เรามาทำความสะอาดร้านแล้วกลับไปพักผ่อนเถอะ” ถังหลี่เอ่ยกับพนักงานทุกคน
………………….
ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากร้านอาหารหนิงเฟิงมากนัก
เด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าหรือสิบหกปีคนหนึ่งถือจานอาหารขึ้นบันไดไปอย่างระมัดระวัง เขาเดินไปเคาะประตูบานหนึ่ง ผู้ที่เปิดประตูออกมาแต่งกายด้วยชุดอาภรณ์สีดำ สวมกวานรัดผม รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคาย สายตาฉายแววเย็นชา ทำให้คนมองรู้สึกหวาดกลัว
หานอี้มาจากค่ายองครักษ์เงา เขาได้รับหน้าที่ให้มาดูแลปกป้องเจ้านาย อารมณ์ของเจ้านายเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก ไม่รู้ว่ายามไหนดีหรือร้าย
แต่หานอี้เป็นองครักษ์เงา ชีวิตของเขาล้วนเป็นของเจ้านาย เขาเป็นทั้งคมดาบและโล่มนุษย์ ไม่ว่านายท่านของเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ก็ตาม ภารกิจของเขาคือต้องปกป้องคอยดูแลเจ้านาย
หานอี้อยู่กับนายท่านมาหนึ่งเดือนแล้ว ความประทับใจที่หานอี้ที่ต่อนายท่านก็คือ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด ท่าทีเงียบขรึมไม่ว่ายามศึกษาตำราพิชัยยุทธ์หรือแม้แต่ยามที่เขาฝึกศิลปะการต่อสู้ก็ตาม ทำให้หานอี้มีความเคารพและยำเกรงต่อเขาไม่น้อย
“นายท่านขอรับ วันนี้ร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่มีลูกค้าจำนวนมากเลยไม่ให้ซื้อกลับบ้าน ข้าต้องเพียรพยายามอยู่สักพัก ทำให้นายท่านต้องรอนานแล้ว” หานอี้กล่าว
ชายคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเปิดทางให้อีกฝ่าย เด็กหนุ่มเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวางจานอาหารที่ถือมา รวมถึงชามข้าวพร้อมตะเกียบ เขาเบี่ยงตัวหลบแล้วยืนก้มหน้า ชายคนนั้นทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้
ในตอนที่หานอี้ก้มหัวยืนรออย่างสุภาพ ทำให้เขาไม่เห็นสีหน้าของเจ้านายตนเองที่อดใจรอแทบไม่ไหว แต่ทว่าเมื่อได้กินไปแค่คำเดียว ความกระตือรือร้นของเขาก็ลดลง อาหารจานนี้รสชาติดีแต่ไม่ใช่ฝีมือของภรรยาเขา อาจจะเป็นพ่อครัวในร้าน เว่ยฉิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่คิดไปคิดมาก็ย่อมดีกว่าที่จะให้ภรรยาของเขาเข้าครัวปรุงเองจนเหน็ดเหนื่อย หากเป็นเช่นนั้นเขาคงทุกข์ใจ
หานอี้เห็นตะเกียบในมือของเจ้านายชะงักลง ก็อดที่จะถามไม่ได้
“นายท่านไม่ถูกปากหรือ? จะเปลี่ยนร้านไหมขอรับ”
ทันใดนั้นจู่ ๆ หานอี้รู้สึกได้ถึงสายตาที่เย็นเยียบของนายท่านที่ได้กวาดตามองเขา ทำให้ถังอี้ต้องคุกเข่าลงอย่างยำเกรง
“ร้านอาหารหนิงเฟิง..” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ยามที่เขาพูดคำเจือไปความอ่อนโยนในน้ำเสียง
“ดีมาก”
“ขอรับ”
“ออกไป”
ร่างของหานอี้หายไปทันที เขาไม่ได้หายไปไหนเพียงแต่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเท่านั้น
องค์รักษ์เงาทั้งหลายได้ตั้งสัตย์สาบานตนที่จะปกป้องเจ้านายจนตัวตาย จะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้านายไปไหน หลังจากที่เว่ยฉิงกินอาหารเสร็จ หานอี้ก็ออกมาเก็บจานชามก่อนจะหลบไปแฝงตัวในเงามืดต่อ เขาเห็นเจ้านายตัวเองเปิดหน้าต่างมองไปยังร้านอาหารหนิงเฟิง
ตอนนี้เริ่มมืดจนมองไม่เห็นร้านอาหารแล้ว ภายใต้แสงไฟริบหรี่ยามค่ำคืน ดวงตาของเขาทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะเพ่งมองไปในความมืดมิด ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เหลือบไปปะทะร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งใส่ชุดสีฟ้าอ่อนเดินออกมาจากร้านอาหาร เขาจ้องที่ร่างนั้นแทบไม่กะพริบตา
ร่างกายเขาตึงเครียด อารมณ์ซับซ้อนปั่นป่วนอย่างรุนแรงฉายชัดออกมาจากดวงตา หญิงสาวในชุดสีฟ้าอ่อนเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน
ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว… ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน สูงขึ้นเล็กน้อยแต่ผอมลง
แม้ว่าเขาจะเคยฝันแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อได้เห็นนางเข้าจริงๆ ความปรารถนาที่สั่งสมมานับแรมปีก็ประทุขึ้นมา ลูกกระเดือกของเขาขยับ ทันใดนั้นหญิงสาวที่กำลังเดินผ่านโรงเตี๊ยมก็หยุดฝีเท้าของนางลง ถังหลี่มองไปยังหน้าต่างที่เปิดอยู่แต่ไม่เห็นใคร
ที่จริงถังหลี่รู้สึกว่ามีสายตาที่แอบจ้องมองนางมาตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหารแล้ว ยิ่งเดินเข้ามาใกล้บริเวณนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น หัวใจของนางเต้นระรัว ในตอนนั้นเองความรู้สึกที่คุ้นเคยและญาณสัมผัสพิเศษของนางทำให้รับรู้ได้ว่าใครเจ้าของสายตาคู่นี้
ถังหลี่สูดลมหายใจเข้าลึกแหงนหน้าขึ้นไปยังบานหน้าต่างที่เปิดอยู่
นางรู้ว่าสามีของตนอยู่ข้างใน เขามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถออกมาพบเจอนางได้
นางคิดว่าตัวเองเข้าใจเว่ยฉิง แต่ลึก ๆ แล้วถังหลี่ก็คิดถึงอีกเขามากเช่นกัน
ถังหลี่คิดถึงเว่ยฉิงทุกครั้งยามที่นางว่างจากงาน คิดซ้ำไปมาว่าเขาเป็นอย่างไร สบายดีไหม กินอิ่มนอนหลับหรือเปล่า? ทุกข์ยากลำบากไหม ? หญิงสาวรู้สึกเสียใจ ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ถังหลี่เงยหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้น
ราวกับว่าพวกเขากำลังคุมเชิงกันอย่างเงียบ ๆ เวลาผ่านไปไม่นานแต่ในความรู้สึกของคนทั้งคู่ช่างยาวนานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทันใดนั้นเองเงาดำร่างหนึ่งก็กระโดดลงมาตรงหน้าถังหลี่
หญิงสาวจ้องมองอย่างไม่ลดละ เว่ยฉิงก็มองนางเช่นกัน ภายในดวงตาของคนทั้งคู่มีอารมณ์สั่นไหวรุนแรง ชั่วลมหายใจต่อมาถังหลี่วิ่งเข้าไปหาชายผู้นั้น เขารีบยื่นมือออกมารับนางเข้าไปในอ้อมกอด กระชับเอวคอดของนางไว้แน่น หญิงสาวโอบคล้องรอบคอของเขากดใบหน้าสูดกลิ่นลมหายใจที่แสนคุ้นเคย ถังหลี่สะอื้นน้ำตาของนางไหลออกมา
“สามี ข้าคิดถึงท่านมาก” นางร่ำไห้
หัวใจของเว่ยฉิงเจ็บปวด เมื่อได้ยินภรรยาพูดประโยคนั้น ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองออกมาจากที่ซ่อนตัวเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
ในตอนแรกท่านลุงอนุญาตให้เขาแค่มามองดูนางเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะหักขาของเขาเสีย
แต่ตอนนี้เขาเต็มใจที่จะได้กอดนาง ฟังเสียงของนาง ไม่ต้องพูดถึงการหักขา แม้แต่สละชีวิตเขาก็ยินดี
[1] บุรุษจะไม่คุกเข่าพร่ำเพรื่อ จะคุกเข่าให้แค่เพียงคนที่มีค่าสำหรับชีวิตของเขาเท่านั้น เช่น ฟ้าดิน บุพการี ครูบาอาจารย์