เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 28 ไม่มีใครหลอกนางได้
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 28 ไม่มีใครหลอกนางได้
บทที่ 28 ไม่มีใครหลอกนางได้
เว่ยฉิงมองดูบ้านที่ถูกปล่อยร้างมานานเกินไป ตรงประตูมีวัชพืชขึ้นแต่โดยรวมแล้วมันก็ยังดีอยู่มากจริง ๆ ภายในบ้านมีห้าห้องและมีลานบ้านที่กว้างขวาง หากซ่อมแซมเสียหน่อยคงจะดี หลังจากที่เว่ยฉิงกลับบ้านไป ชายหนุ่มบอกเรื่องนี้แก่ถังหลี่ ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายวาววับ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะให้เว่ยฉิงพาไปดูบ้าน
“ไปดูบ้านกันเถิด!”
ถังหลี่ไปดูบ้านและพอใจกับมันมาก ในบ้านมีห้าห้อง ห้องหนึ่งสำหรับวัสดุยาสมุนไพร ห้องหนึ่งสำหรับเก็บผ้า และอีกห้องหนึ่งสำหรับเย็บปัก สุดท้ายคือห้องสำหรับชั่งตวงยา…เนื่องจากมีการกำหนดปริมาณของยาไว้ จึงจำเป็นต้องมีห้องแยกต่างหากเพื่อเตรียมวัสดุยาโดยบุคคลที่ไว้ใจได้ รวมห้าห้องครบถูกต้องพอดี
ทั้งคู่ต่างนึกภาพคร่าว ๆ ในหัวและขั้นตอนต่อไปคือการเจรจาต่อรอง
….
วันรุ่งขึ้นทั้งสองครอบครัวนัดกันพบที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ภรรยาของหลี่ฟู่กุ้ยพาน้องสาวของนางตู้เสี่ยวเหอ และน้องเขย หลี่เที่ยมู่ มาที่บ้านในตอนเช้า
หลังจากที่รู้ว่ามีคนสนใจจะซื้อบ้าน พวกเขาตื่นเต้นกันเกือบทั้งคืน บ้านหลังนี้พวกเขาซื้อต่อมาจากคนอื่นอีกที ในตอนที่บ้านหลังนี้ปล่อยขาย ตู้เสี่ยวเหอถูกใจมันมาก แต่นางและสามีไม่สามารถจ่ายเงินซื้อบ้านได้เนื่องจากราคาบ้านที่สูงมาก แต่พวกเขาต้องการบ้านหลังนี้ ดังนั้นจึงวางแผนการชั่วร้าย ทั้งปามูลวัว หรือสาดปัสสาวะก่อกวน ข่มขู่ผู้ที่สนใจซื้อบ้านรายอื่น และในที่สุดก็ได้บ้านหลังนี้มาในราคาที่ต่ำกว่าปกติ
ทั้งคู่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านอย่างมีความสุข แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มโชคร้าย
หลังจากที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้เป็นเวลาสองวัน ครั้งแรกหลี่เที่ยมู่ขุดเจอเท้าคนในดิน จากนั้นตู้เสี่ยวเหอก็เกือบสำลักอาหารตาย เหตุการณ์โชคร้ายผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ เหมือนดอกเห็ด จนในที่สุดทั้งคู่ก็ทนไม่ไหวต้องย้ายออกจากบ้านหลังนี้ และทันทีที่ย้ายออกไปความโชคร้ายต่าง ๆ ก็หายไปด้วย
ในเมื่อทั้งคู่ไม่กล้าที่จะอาศัยอยู่ที่นั่น ทุกคนในหมู่บ้านที่ได้ยินเรื่องความอัปโชคของบ้านหลังนี้ จึงไม่มีใครสนใจมาซื้อต่อ แม้ว่าพวกเขาอยากจะขายมัน แต่ก็ไม่มีใครคิดจะซื้อ ส่วนเจ้าของบ้านคนเดิมก็ย้ายออกไปนอกหมู่บ้านแล้ว จึงไม่มีทางเลือกต้องปล่อยให้มันร้างไป
หลังจากที่ไม่สามารถขายบ้านได้ ตู้เสี่ยวเหอเริ่มเป็นคนตระหนี่มากขึ้น นางรู้สึกเจ็บปวดกับเงินที่สูญเปล่า แต่จะทำอย่างไรได้นอกจากต้องปล่อยไป และตอนนี้เมื่อได้ยินว่ามีคนจะซื้อมัน เป็นธรรมดาที่ทั้งสองจะตื่นเต้นมาก
“เรื่องเกิดเมื่อเจ็ดแปดปีที่แล้ว เว่ยฉิงกับภรรยาของเขาคงไม่เคยได้ยินเรื่องบ้านหลังนี้มาก่อนใช่หรือไม่?” หลี่เที่ยมู่กล่าวอย่างกังวล
“ไม่มีอะไรสักหน่อย! บ้านเราไม่ได้มีปัญหา พวกชาวบ้านปากยื่นปากยาวพวกนั้นเที่ยวสร้างข่าวลือไปทั่ว” ตู้เสี่ยวเหอถ่มน้ำลาย สามีของนางรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เมียข้า ที่ข้าจะพูดคือ…”
“พวกเราซื้อบ้านหลังนั้นเมื่อแปดปีที่แล้ว ตอนนั้นราคาสามสิบตำลึง ตอนนี้อย่างน้อยราคาก็น่าจะขึ้นถึงร้อยตำลึงแล้วใช่ไหม?” ความคิดที่จะทำกำไรจนถึงหนึ่งร้อยตำลึงของตู้เสี่ยวเหอชวนให้ตกตะลึงมาก
“เสี่ยวเหอ เจ้าคิดว่าสกุลเว่ยมีเงินมากขนาดนั้นหรือ?” หลี่เที่ยมู่อดไม่ได้ที่จะถาม หากจะได้เงินจำนวนเยอะต้องล่าสัตว์ไปขายจำนวนมาก แต่ตอนนี้เว่ยฉิงไม่สามารถทำงานได้ มันไม่มีทางเป็นไปได้
“พวกเจ้าไม่รู้อะไร ข้าได้ยินมาจากพวกผู้หญิงไม่กี่วันก่อน มีรถม้ามาจากในเมืองเพื่อรับภรรยาของเว่ยฉิงไป”
หลังจากนั้นไม่นานเว่ยฉิงและถังหลี่ก็เข้ามาในบ้าน ดวงตาของตู้เสี่ยวเหอกวาดมองไปที่คนทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นชายง่อยขาพิการ อีกคนก็บอบบางนุ่มนิ่มเหมือนดั่งสวรรค์กลั่นแกล้ง
“พวกเจ้านี่ตาถึงจริง ๆ บ้านของเราน่าอยู่มากหลังก็ใหญ่ หันหน้าเข้าทิศที่ดี แถมยังอยู่ติดกับถนนอีกด้วย”
“แล้วฮูหยินต้องการจะขายเท่าไหร่หรือ?” ถังหลี่ถาม
“สองร้อยตำลึง” ตู้เสี่ยวเหอทำตาวาว
แต่หลี่เที่ยมู่รู้สึกว่ามันมากเกินไป ถ้าอีกฝ่ายไม่สู้ราคาแล้วเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ?
ในขณะที่พูดตู้เสี่ยวเหอก้าวเข้าไปหาพวกเขา ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านก็รีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ใช่ ๆ น้องเขยของข้าซื้อบ้านไปด้วยเงินสองร้อยตำลึง มันไม่มากไม่มายอะไรนักสำหรับครอบครัวของเสี่ยวเหอ” นางพูดข้อเท็จจริง แต่สิ่งหนึ่งที่นางไม่ได้บอกคือ บ้านที่พูดถึงนั้นเป็นบ้านที่อยู่ใจกลางเมือง
ตู้เสี่ยวเหอจงใจบอกราคาสองร้อยตำลึงเพื่อให้ถังหลี่สามารถต่อราคาได้ และราคาต่ำสุดที่นางจะยอมคือหนึ่งร้อยตำลึง แน่นอนว่าหากถังหลี่เป็นสตรีโง่เง่า นางจะคิดว่ามันคือการลดราคาครั้งใหญ่! และนั่นคือกำไรมหาศาลของเสี่ยวเหอ ..นางคิดในใจอย่างมีความสุข
“ฮูหยิน สองร้อยตำลึงราคาสูงไปหรือเปล่า?”
“เจ้ารับได้ที่ราคาเท่าไหร่ล่ะ?”
“ยี่สิบตำลึง” ถังหลี่กล่าว และทันทีที่นางพูดจบ ตู้เสี่ยวเหอก็สงสัยว่านางได้ยินผิดไป ใบหน้าของตู้เสี่ยวเหอเริ่มบิดเบี้ยว
“ภรรยาเว่ยฉิง เจ้าล้อเล่นหรือ? หากไม่สามารถซื้อได้ก็ลืมมันไปเสีย เงินแค่ยี่สิบตำลึงจะซื้ออะไรได้ ซื้อข้าวสารสองสามถุงยังไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ข้าไม่ขายแล้ว!!” ตู้เสี่ยวเหอผุดลุกขึ้นและดึงหลี่เที่ยมู่ออกไป ใบหน้าของภรรยาหลี่ฟู่กุ้ยเย็นชาขึ้นเช่นกัน
“บ้านสกุลเว่ย ข้าพยายามหาบ้านให้พวกเจ้าอย่างเต็มที่แล้ว ได้โปรดอย่าทำแบบนี้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครกล้ายื่นมือเป็นธุระให้พวกเจ้าอีกแล้ว ” ถังหลี่มองไปที่ภรรยาฟู่กุ้ย
“ท่านคิดว่าบ้านของน้องสาวท่านมีมูลค่าถึงสองร้อยตำลึงหรือ?” ดวงตาของถังหลี่ราวกับมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และภายใต้การจับจ้องของหญิงสาว นางไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เลย ตู้เสี่ยวเหอที่กำลังลากสามีออกไปหยุดชะงัก ถังหลี่มองไปที่พวกเขาแล้วพูดเสริมว่า
“หากฮูหยินคิดว่ายี่สิบตำลึงที่ข้าเสนอให้ต่ำเกินไปล่ะก็ พวกท่านก็ลืมมันไปเถิด”
ตู้เสี่ยวเหอที่ยืนเกาะหลี่เที่ยมู่อยู่ เมื่อเห็นว่าถังหลี่ไม่ใช่คนที่นางจะสามารถเอาเปรียบได้ นางจึงทำได้แค่กระทืบเท้าและเดินกลับมานั่งลงอีกครั้ง
“แม่นาง พวกเรามาคุยกันดี ๆ เถิด ข้าจะเสนอราคาที่เป็นธรรม ร้อยห้าสิบตำลึงดีหรือไม่?”
“สิบห้าตำลึง” ถังหลี่กล่าว
“แม่นาง เพื่อประโยชน์ของหมู่บ้านนี้หนึ่งร้อยตำลึง! ไม่สามารถต่ำกว่านี้ได้อีกแล้ว!”
“สิบสอง”
“แบบนี้ข้าให้เจ้าเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ?” ความโกรธของตู้เสี่ยวเหอผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอบคุณฮูหยิน” ถังหลี่ยิ้มเล็กน้อย
ตู้เสี่ยวเหอกำลังจะสำลักความโกรธตาย สตรีตัวเล็ก ๆ ที่ดูอ่อนโยนและข่มเหงง่ายผู้นี้ กลับเหมือนก้อนหิน!เคี้ยวยาก!
“ฮูหยิน เข้าเรื่องเถิด แค่ยี่สิบตำลึง หากไม่ขายให้พวกข้าวันนี้ก็คงไม่มีใครกล้ามาซื้อบ้านพวกท่านหรอก ยอมขายมันให้ข้าดีกว่าปล่อยร้าง หรือขายทอดตลาดในราคาแค่ห้าตำลึงเท่านั้น” ถังหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตู้เสี่ยวเหอตกตะลึง ถังหลี่รู้เรื่องบ้านนี้จริง ๆ!
แม่นางน้อยตรงหน้าฉีกยิ้มราวกับจิ้งจอกน้อย นางฉลาดมาก เสี่ยวเหอพลาดแล้ว!
อย่างไรก็ตามที่พูดมาก็ถูก บ้านหลังนี้ถูกปล่อยร้างมาถึง 7-8 ปี และไม่มีใครกล้ามาซื้อ เงินยี่สิบตำลึงก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไร!
ตู้เสี่ยวเหอหายใจเข้าอย่างไม่สามารถอ้างอย่างอื่นต่อไป
“ภรรยาเว่ยฉิง ข้าให้ยี่สิบสองตำลึง! ถ้าไม่ได้ก็ช่างมันเถิด!”
ถังหลี่จับมือเว่ยฉิงลุกขึ้น ทั้งสองกำลังจะเดินออกจากบ้านไป ทันใดนั้นตู้เสี่ยวเหอกัดฟันแน่นก่อนตอบว่า
“ยี่สิบตำลึงก็ยี่สิบตำลึง! ตกลงตามนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเจ้าห้ามเปลี่ยนใจ!”
“ข้าไม่เปลี่ยนใจ” ถังหลี่พยักหน้า
หลังจากที่ตกลงราคากันได้แล้ว ทั้งสองครอบครัวนำโฉนดที่ดินมาเปลี่ยนชื่อให้กลายเป็นของถังหลี่ และมอบเงินให้ตู้เสี่ยวเหอ ยี่สิบตำลึง ตู้เสี่ยวเหอถือเงินยี่สิบตำลึงไว้ นางรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมากเพราะมันไม่เหมือนกับที่คิดไว้เลย ตอนแรกนางซื้อมันมาในราคาสามสิบตำลึง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้แม้แต่ราคาที่ซื้อมาด้วยซ้ำ!
“เมียข้า ปล่อยวางเถิด ยี่สิบตำลึงก็เป็นเงินเหมือนกัน” หลี่เที่ยมู่ปลอบโยน ตู้เสี่ยวเหอยังคงรู้สึกว่าตัวเองขาดทุนเป็นจำนวนมาก นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้าย
“ข้าจะบอกแม่ของข้า เป็นโชคร้ายที่พวกมันมาทำแบบนี้ พวกมันเสร็จแน่!” ทันทีที่ตู้เสี่ยวเหอพูดจบ จู่ ๆ ก็มีบางอย่างตกลงมาบนศีรษะของนาง เมื่อตู้เสี่ยวเหอสัมผัสมันก็รู้สึกถึงความเหนียวและกลิ่นเหม็นโชย
อุ๊บ แหวะ!
นี่มันขี้นก!!
——————