เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 356 กู้หวนเนี่ยนเริ่มการสืบสวน
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 356 กู้หวนเนี่ยนเริ่มการสืบสวน
บทที่ 356 กู้หวนเนี่ยนเริ่มการสืบสวน
“กู้อิ๋นเกิดจากบิดามารดาของเจ้าหรือ? นางไม่ใช่บุตรสาวบุญธรรมที่พวกเจ้าเก็บมาหรืออย่างไร?” กู้หวนเนี่ยนถามเสียงทุ้ม
“นายท่าน นางเป็นบุตรของตระกูลเรา นางกระโดดออกมาจากท้องมารดาข้า!”
กู้หวนเนี่ยนแทบไม่อยากเชื่อ อาอิ๋นน้องสาวของเขาจะกลายเป็นบุตรสาวของครอบครัวนี้ได้อย่างไร!
“นายท่าน สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง หากท่านไม่เชื่อก็ส่งคนไปสอบถามที่หมู่บ้านจูเจียได้ นางอาศัยอยู่ที่นั่นตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อนบ้านเห็นนางมาตั้งแต่เกิด”
“แต่นางมาหาสกุลกู้พร้อมกับจี้หยกแสดงตัวตนมาด้วย” กู้หวนเนี่ยนกล่าว
“จี้หยก? จี้หยกอะไร? บ้านเราไม่มีจี้หยกแม้แต่ชิ้นเดียว! นางคงได้มาจากที่อื่นเป็นแน่ ทุกอย่างที่นางพูดล้วนเป็นเรื่องโกหก!”
ดวงตาของจูเอ้อร์เกินฉายแววเกลียดชัง
“นายท่านนางเป็นปีศาจร้าย! นางฆ่าคนในบ้านทั้งห้าคนด้วยน้ำมือของนาง ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้า!”
กู้หวนเนี่ยนมีใบหน้าที่เย็นชา เขาไม่พูดอะไรเลย จากคำพูดของจูเอ้อร์เกินพอจะสรุปได้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของกู้อิ๋นคือจูชุนเจียวจากหมู่บ้านจูเจีย นางสวมรอยเป็นคุณหนูสกุลกู้ ฆ่าได้แม้กระทั่งบิดามารดาที่ให้กำเนิดนาง แต่นางเป็นน้องสาวที่เขารักมากที่สุด จึงเป็นเรื่องทำใจยากเหลือเกินที่จะเชื่อได้ว่าน้องสาวที่แสนดีและไร้เดียงสาเป็นบุคคลเดียวกันกับน้องสาวของจู้เอ้อร์เกินคนนั้น
กู้หวนเนี่ยนยังรู้สึกไม่เชื่อ
เขาหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ครอบครัวของเขาประจำอยู่ที่ชายแดน ตอนนั้นน้องสาวเขาถือกำเนิดขึ้นมา นางตัวกลมน่ารัก อ่อนโยน เขาอุ้มน้องสาวไว้ในวงแขนอย่างระมัดระวังเขาชอบเย้าแหย่นาง เมื่อนางลืมตาขึ้นก็จะจับมือเขาไว้ หัวเราะคิกคัก อย่างร่าเริง
เมื่อกู้อิ๋นอายุได้สามขวบ มีข้าศึกบุกมาที่ชายแดน เป็นการสู้รบที่น่าสลดใจมาก ตอนนั้นเขาอายุสิบขวบ กำลังพาน้องสาววัยสามขวบหนี ในขณะที่พวกเขากำลังหลบหนีกันอยู่ในตอนนั้น น้องสาวของเขาเกิดหายไป ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะตัวเขาเอง ทุกครั้งที่กู้หวนเนี่ยนเห็นมารดาซึมเศร้า เขารู้สึกผิดและโทษตัวเองอยู่ร่ำไป
โชคดีที่สุดท้ายแล้วน้องสาวของเขาได้กลับคืนมาสู่อ้อมอกของครอบครัว เด็กสาวตัวเล็กๆ ที่ยังไรัเดียงสาได้เติบโตขึ้นอาอิ๋น
เขาเป็นหนี้อาอิ๋นมากเกินไป ได้แต่หวังอยากจะชดใช้ให้นางสักร้อยสักพันครั้ง และมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้นาง
แต่แล้วกู้หวนเนี่ยนก็ได้สติ ตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปอะไรได้นอกจากรอหลักฐาน หากเมื่อใดมีหลักฐานความจริงปรากฏขึ้นมาจึงจะเชื่อถือได้ เขาเป็นผู้พิพากษาไม่อาจนำอารมณ์ส่วนตัวมาพิจารณาคดีได้ ต้องรักษาและผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมอย่างแท้จริง นี่เป็นหลักธรรมที่ครูบาอาจารย์ของเขาได้สั่งสอนและให้ยึดเป็นบรรทัดฐาน
กู้หวนเนี่ยนลุกขึ้นขอให้เจ้าหน้าที่พาตัวจูเอ้อร์เกินออกไป เขาขี่ม้าไปที่ทางทิศตะวันออกของเมืองไปถึงบ้านหลังหนึ่ง พอเข้าประตูเข้าไปก็ได้กลิ่นคาวเลือด เจ้าหน้าที่หลายคนจากศาลต้าหลี่เดินเข้าไป เมื่อเขาเห็นว่ากู้หวนเนี่ยนมาจึงรีบรายงานให้ทราบ
“ใต้เท้า พบศพทั้งหมดห้าศพขอรับ ชายสองคนและหญิงสามคน ผู้ชายและหญิงคู่หนึ่งมีอายุอยู่ระหว่างสี่สิบถึงห้าสิบปี อีกสามคนเป็นคนหนุ่มสาว เป็นหญิงสองคนและชายหนึ่งคนอายุประมาณยี่สิบปี”
“ข้อสรุปเบื้องต้นเป็นอย่างไร?” กู้หวนเนี่ยนพยักหน้า
“เงินและทรัพย์สินทั้งหมดถูกปล้น เมื่อสอบถามบ้านข้างๆ ก็พบว่าครอบครัวนี้เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความบาดหมางกัน พวกเขาใช้เงินมือเติบ ดูร่ำรวยมีฐานะ เป็นที่ดึงดูดผู้คนได้ง่าย อาจจะเป็นการปล้นเพราะหวังชิงทรัพย์”
“แถวละแวกนี้เป็นชานเมืองก็จริง แต่นี่เป็นเมืองหลวงมีกฎหมายกฎหมาย มีระเบียบที่เคร่งครัด โจรที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหลังสุดเมื่อห้าปีที่แล้วขอรับ” เขารายงานต่อ
“ดำเนินการสืบสวนต่อไป” กู้หวนเนี่ยนพยักหน้า
หลังจากที่เขาไปยังที่เกิดเหตุแล้ว เขาส่งเจ้าหน้าที่สองคนไปที่หมู่บ้านจูเจีย ในเมืองเหอตงเพื่อสืบสวนเรื่องนี้อย่างรอบคอบ จากเมืองหลวงไปยังเหอตงนั้นใช้เวลาประมาณมากกว่าสิบวัน รวมกับการสอบสวนคาดว่าอย่างน้อยคงกินระยะเวลาถึงหนึ่งเดือนกว่าจะได้ข่าว หลังจากหนึ่งเดือนไปแล้ว ความจริงก็จะปรากฏว่านางเป็นบุตรสาวของสกุลกู้หรือไม่
“คำพูดของจูเอ้อร์เกินพวกเจ้าอย่าได้แพร่งพรายไป” กู้หวนเนี่ยนกำชับคนใต้บังคับบัญชา อาอิ๋นจะเป็นบุตรสาวของสกุลกู้หรือไม่ ต้องตัดสินกันด้วยหลักฐานเท่านั้น และต้องเป็นความลับไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของอาอิ๋นได้
….
จวนตระกูลกู้
กู้อิ๋นนอนไม่หลับทั้งคืน ในบรรดาคนทั้งหกนางจัดการไปได้ห้าคน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่หนีรอดไปได้ นี่เป็นอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ ดังนั้นนางจึงให้คนออกค้นหาต่อไปไม่ว่าจะเป็นหรือตาย หากตายก็จำเป็นต้องเห็นศพ
กู้อิ๋นไม่รู้สึกเศร้าสลดหรือเสียใจกับการตายของบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ในชาติที่แล้วร่างของนางถูกโยนลงไปในสุสานไร้ญาติ แต่วิญญาณของนางไม่ได้ไปสู่สุคติในทันที นางเฝ้าดูร่างกายของตัวเองเน่าเปื่อยสลายไปเช่นนั้น ในชาติที่แล้ว กู้อิ๋นพาญาติพี่น้องของตัวเองมาที่เมืองหลวง จัดหาอาหารและเครื่องดื่มให้พวกเขา ให้เขาเพลิดเพลินไปกับความมั่งคั่ง แต่คนเหล่านั้นปฏิบัติกับนางอย่างไรน่ะหรือ! พวกเขารับเงินจากผู้หญิงที่ทุบตีนางจนตาย ทั้งยังขอบอกขอบใจอย่างสุดซึ้ง ไม่ได้คิดจะเก็บศพ ฝังศพให้นางเลยแม้แต่น้อย
กู้อิ๋นจึงตระหนักได้ว่าสิ่งที่เรียกว่าความรักหรือครอบครัวล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่มีอยู่แท้จริงคืออำนาจที่อยู่ในมือต่างหาก
ในชีวิตนี้ของนางจะไม่ถูกพันธการไว้ด้วยอารมณ์ที่หวั่นไหวอีกแล้ว
ไม่กี่วันถัดมา มีการค้นหาจูเอ้อร์เกินในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบแต่ก็หาพี่รองของนางไม่พบเลย อีกทั้งศาลต้าหลี่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เช่นกัน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาแอบไปตายในที่รกร้างปราศจากผู้คนที่พบเห็น
เมื่อคิดได้เช่นนี้กู้อิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก สวรรค์เคยปฏิบัติต่อนางอย่างเลวร้าย แต่ในครั้งนี้อย่างน้อยสวรรค์ก็ยังอยู่เคียงข้างนางอย่างแน่นอน
….
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวเท่านั้นก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว ในเมืองหลวงตอนนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากขึ้น เมื่อแม่ทัพกู้และคุณชายรองกู้กลับมาถึงเมืองหลวง
ส่วนใหญ่แม่ทัพกู้และคุณชายรองจะใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารเพื่อฝึกกองกำลังแม้จะไม่มีสงคราม ซึ่งค่ายทหารอยู่ออกห่างจากเมืองหลวงไปประมาณหนึ่งร้อยลี้ ช่วงนี้การแต่งงานของบุตรสาวสกุลกู้และองค์ชายสามใกล้เข้ามาแล้ว จึงเป็นจังหวะที่พวกเขาจะได้กลับมาเมืองหลวงสักที
ท่านแม่ทัพกู้มีความสง่างาม ส่วนคุณชายรองกู้ดูมีชีวิตชีวา ร่าเริง ทั้งบิดาและบุตรเป็นผู้ที่มีคนนิยมชมชอบ
ผู้คนโดยทั่วไปอยากเห็นพวกเขาทั้งสองคนมาก ทำให้บนถนนมีผู้คนเบียดเสียดชะเง้อรอดูกันอย่างวุ่นวาย
“มาแล้ว!” ใครบางคนร้องตะโกนขึ้น
ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเกือกม้าย่ำมาตามท้องถนน ม้าสองตัวเดินขนาบเคียงคู่กัน ทั้งคู่สวมชุดลำลอง ผู้ที่ดูมีอายุมีใบหน้าเคร่งขรึมไว้หนวดเครา ส่วนบุตรชายอายุประมาณยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้าปีสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ดวงตาลึกล้ำ ใบหน้าคมคาย ดุจหยกที่ล้ำค่า ชายสองคนนี้คือแม่ทัพกู้และคุณชายรองกู้
ทั้งสองคนขี่ม้าไปที่หน้าจวน มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนรออยู่ กู้อิ๋นประคองฮูหยินกู้ไว้ เมื่อเห็นทั้งสองลงจากหลังม้า นางรีบวิ่งเข้าไปหาท่านแม่ทัพทันที เขายื่นแขนออกมารับบุตรสาวตัวน้อยเข้าไปในอ้อมกอด ยิ้มอย่างดีใจ
“สาวน้อย คิดถึงพ่อไหม?”
“คิดถึงเจ้าค่ะ” กู้อิ๋นเงยหน้าขึ้นพูดอย่างดีใจ พลางหันไปมองกู้หวนอวี้ เรียกเขาเสียงอ่อนหวาน
“พี่รอง” รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู้หวนอี้
“อาอิ๋นพี่มีของขวัญมาฝากเจ้าด้วย พี่จะเอาไปให้เจ้าภายหลังนะ”
กู้อิ๋นหันกลับมาและจับมือกู้หวนอวี้เอาไว้
ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น ถังหลี่ยืนอยู่ในมุมลับตาคน นางมองฉากเหล่านั้นด้วยความอิจฉา…นั่นควรเป็นที่ของนาง