เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 452 ดาบอาญาสิทธิ์
บทที่ 452 ดาบอาญาสิทธิ์
หลู่จวิ้นโฉ่วชะงักค้างนิ่งไปทันที เขาจะบอกได้อย่างไรว่าเขาไม่อยากไปสถานที่สกปรกและอันตรายอย่างนั้น
“แค่ก แค่ก แค่ก….” เจ้าคณะมณฑลหลู่ทำเป็นไอเสียงดังราวกับกำลังหายใจไม่ออก
“อาการป่วยของท่านช่างรุนแรงเสียจริง” เว่ยฉิงอดไม่ได้
ใต้เท้าหลู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่เว่ยฉิงล้มเลิกจะพาเขาไปหมู่บ้านเหอกู่ด้วย
“ข้าคงต้องหาเปลหามนุ่มๆ ให้ท่านเจ้าคณะหลู่เสียแล้ว” เมื่อเว่ยฉิงเอ่ยปาก ใต้เท้าหลู่ตัวแข็งทื่อไปอีกครั้ง
“พรุ่งนี้เราต้องเดินทางทั้งวัน ใต้เท้าหลู่รีบพักผ่อนเถอะ อ้อ…ท่านอย่าลืมพาคนที่รับผิดชอบด้านอุทกภัยครั้งนี้มาด้วย ข้าต้องการสอบถามสถานการณ์กับเขา” เว่ยฉิงกำชับอีกครั้ง ใต้เท้าหลู่ถูกพยุงตัวออกไป
ถังหลี่หัวเราะออกมาเสียงดัง สามีของนางช่างกลั่นแกล้งให้ผู้คนกลัวนัก
หลู่จวิ้นโฉ่วคงตั้งใจสร้างภาพว่าเป็นขุนนางที่รักราษฎรราวกับลูกหลาน ผู้อพยพพวกนั้นสมควรก่นด่าเขาจริงๆ นั่นแหละ!
หลังจากเสียงหัวเราะเงียบลง ถังหลี่รู้สึกเกลียดเจ้าคณะมณฑลผู้นี้มาก เขาไม่ได้สนใจความทุกข์ยากของชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย
ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเรื่องอุทกภัยก็เข้ามาหา ท่าทางเขาไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก เมื่อไถ่ถามไปสองสามคำ ใบหน้าของเว่ยฉิงพลันเครียดตึงเขม็งขึ้น
หลู่จวิ้นโฉว่ไม่ใช่พวกกินมังสวิรัติ แต่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเขาก็ยังไม่ทำงานอีก
เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงเย็นชาของเว่ยฉิง เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกลัวจนตัวสั่นก่อนจะหนีไปในที่สุด หลังจากนั้นเว่ยฉิงและถังหลี่ก็หลับพักผ่อน
เช้าวันต่อมาเมื่อพวกเขาเตรียมตัวเสร็จ กำลังจะออกเดินทาง เว่ยฉิงหันไปมองรอบๆ
“ใต้เท้าหลู่อยู่ที่ไหน?”
“ใต้เท้าหลู่มีไข้ทั้งคืนตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยขอรับ” พ่อบ้านกล่าว
“งั้นพวกเราไปกันเถอะ” เว่ยฉิงยิ้มเยาะ
ที่ห้องนอนของท่านเจ้าคณะมณฑลอี้โจว ทันทีที่พ่อบ้านเข้าไปหา หลู่จวิ้นโฉ่วรีบถามเขาทันที
“เขาไปแล้วหรือ?”
“ขอรับนายท่าน เขาไปกันแล้ว”
ใต้เท้าหลู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขากลัวจริงๆ ว่าทูตจากราชสำนักจะลากตัวเขาไปที่เมืองเหอกู่ด้วย
“ทูตของราชสำนักผู้นี้รับมือได้ยาก เจ้าไปที่เมืองเหอกู่บอกหลานชายของข้า”
“ขอรับนายท่าน ข้าจะจัดคนไป” พ่อบ้านรับคำ
…..
ถังหลี่กับเว่ยฉิงรวมถึงช่างที่มาจากเมืองหลวงและบ่าวรับใช้สองคนที่คือองค์รักษ์เงา กำลังเดินทางไปยังเมืองเหอกู่ ระหว่างทางมีฝนตกลงมา ถนนเละเป็นโคลนทำให้รถม้าเดินทางไปอย่างยากลำบาก พวกเขาจึงเลือกที่จะขี่ม้าไปแทน เว่ยฉิงและถังหลี่ขี่ม้าด้วยกัน เขากอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนป้องกันลมและฝนให้นาง
เมื่อถึงถนนเส้นหลักการเดินทางจึงได้สะดวกขึ้น แต่ถ้าหากเป็นบนภูเขาแล้ว ถนนจะเละเป็นโคลนทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยยากลำบากมากยิ่งขึ้น ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ พวกเขาจึงหาเมืองเล็กๆ เพื่อพักค้างคืน
ในเมืองแห่งนี้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมาก พบเจอได้ทุกหนทุกแห่ง พวกเขาอยู่ในชุดที่สกปรกมอมแมม ใบหน้าซีดเซียวเดินอยู่ในถนนราวกับวิญญาณที่ร่อนเร่ไร้ที่พึ่ง ร้านรวงพากันปิดหลายร้านทำให้ดูเหมือนเมืองร้าง
“พวกท่านมาจากมณฑลหรือขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ถาม
“ใช่”
“พวกท่านโปรดระวัง อย่าออกไปข้างนอกตอนกลางคืนหากไม่อยากถูกพวกลี้ภัยปล้นนะขอรับ”
“ขอบคุณน้องชายมาก”
ถังหลี่รับคำ “ช่วงนี้มีผู้ลี้ภัยมาเยอะขึ้นหรือ?”
“ใช่ขอรับแต่วันนี้ไม่ค่อยมี เพราะสองสามวันที่ผ่านมาผู้ลี้ภัยทั้งหลายแห่กลับไปยังเมืองเหอกู่”
“กลับไปหรือ? เหตุใดจึงกลับไปล่ะ?” ถังหลี่ถามต่อ
“มีคนใจบุญในเมืองเหอกู่แจกโจ๊กและอาหารทำให้ทุกคนแห่ไปกันขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ตอบกลับมา
ถังหลี่และเว่ยฉิงตัดสินใจพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้และเดินทางต่อในตอนเช้า จนตกเย็นพวกเขาจึงมาถึงเมืองเหอกู่ ในเมืองเหอกู่มีฝนตกหนัก ท้องฟ้ามืดมิด บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึมครึม
หลังจากที่เข้าไปในเมืองได้ไม่นาน พวกเขาก็เห็นผู้ลี้ภัยรวมตัวกันอยู่ในที่แห่งหนึ่ง แม้จะมองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าในนั้นมีผู้คนอัดแน่นอยู่นับพัน
“สามี ข้าจะไปดู” ถังหลี่พูดขึ้น เว่ยฉิงพยักหน้า เขาช่วยอุ้มภรรยาลงมาจากหลังม้า ทั้งสองเดินเข้าไปเห็นว่ามีชายหญิงกำลังแจกข้าวต้มอยู่
“นายท่านฟ่าน แม่นางฟ่าน ช่างเป็นคนดีจริงๆ หากไม่ได้เขาช่วยเหลือ พวกเราคงอดตายไปแล้ว”
“ใช่แล้ว คนดีเช่นพวกเขาต้องได้รับผลตอบแทนที่ดี”
ผู้ลี้ภัยหลายคนพูดคุยกัน
“เจ้าเมืองเหอกู่ไปไหนหรือ?” ถังหลี่ถาม
เมื่อพูดถึงเจ้าเมืองพวกเขาก็เริ่มก่นด่ากัน
“ทางการน่ะหรือ? พวกเขาจะเห็นพวกเราก็ตอนจ่ายภาษีเท่านั้นแหละ!”
“ตอนที่เราไปศาลาว่าการ พวกเขาก็ไล่เราออกมามีคนสองสามคนโดนทุบตีอีกด้วย”
ถังหลี่ได้ฟังนางขมวดคิ้ว
ก่อนหน้าที่จะมา ก็พอได้รู้ว่าเจ้าเมืองเหอกู่นั้นเป็นพวกไร้ความสามารถ ไม่ทำอะไรเลย แต่นางไม่คิดว่าเขาจะไร้เหตุผลเช่นนี้
ในขณะนั้นเองก็มีลมกระโชกมาอย่างแรงทำให้หมวกไม้ไผ่ของหญิงสาวที่กำลังตักโจ๊กปลิวมาที่ ถังหลี่ นางช่วยจับเอาไว้แล้วส่งให้กับหญิงสาวผู้นั้น
“ขอบคุณแม่นาง” หญิงสาวรีบขอบคุณทันที
“ข้าชื่อถังหลี่ ท่านมีนามว่าอะไรหรือ?” ถังหลี่ถาม
“ข้าชื่อฟ่านเยว่ซี” นางกล่าวก่อนจะขอตัว
“ข้าต้องไปทำงานต่อแล้ว”
ถังหลี่และเว่ยฉิงมุ่งหน้าไปยังศาลาว่าการ
……
ในศาลาว่าการเมืองเหอกู่
“ดื่ม ดื่ม คนสวย ดื่มเร็วๆ!”
ภายในห้องมีผู้ชายที่อยู่ในชุดภูมิฐานกำลังกอดหญิงสาวสองคนอย่างเมามาย ที่ด้านนอกมีชายวัยกลางคนไว้เครากำลังเดินไปมาอย่างกระวนกระวาย
“สถานการณ์น้ำท่วมเลวร้ายลงเรื่อยๆ หากนายท่านยังไม่ส่งคนไปช่วยจะเดือดร้อนมากขึ้นกว่านี้นะขอรับ” เขากัดฟันก่อนจะวิ่งเข้าไป
“นายอำเภอสวี่! ได้โปรดอย่าเข้ามาวุ่นวาย ท่านเจ้าเมืองกำลังยุ่ง”
นายอำเภอสวี่ไม่ฟังเสียงห้าม เขาผลักประตูเข้าไปด้านในเห็นภาพที่ไม่น่าดูนัก เขาก้มหน้าลง
“ใต้เท้า…หมู่บ้านเหอกู่และหมู่บ้านใกล้เคียงกำลังจมอยู่ใต้น้ำ ได้โปรดส่งคนไปช่วยเหลือพวกเขาด้วยเถอะ”
เจ้าเมืองเหอกู่ปาจอกสุราใส่ศีรษะของนายอำเภอสวี่จนเลือดไหล
“นายอำเภอสวี่ ใครใช้ให้เจ้าบุกเข้ามา ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังยุ่ง! ” ท่านเจ้าเมืองเหอกู่พูดด้วยความโกรธ แต่นายอำเภอสวี่ไม่สนใจเลือดที่ไหลออกจากศีรษะตัวเอง
“ใต้เท้า ท่านต้องรีบส่งกำลังช่วยเหลือไปที่นั่นโดยเร็ว”
“ใต้เท้า…”
ใบหน้าของท่านเจ้าเมืองเหอกู่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“น่ารำคาญ! ลากมันออกไปแล้วโบยยี่สิบไม้!” นายอำเภอสวี่ถูกลากออกไปทันที
“ใต้เท้า ท่านไม่สามารถเพิกเฉยต่อชีวิตกับความตายของชาวบ้านได้นะ”
“ใต้เท้า!”
ในขณะที่ถูกลากออกไปนายอำเภอสวี่ยังคงตะโกนเสียงดัง แต่ท่านเจ้าเมืองเหอกู่กลับไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย เขายังปิดประตูและดื่มกินต่อไป ในขณะที่นายอำเภอสวี่กำลังถูกลากออกไปโบย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“หยุด!”
บ่าวรับใช้หันไปมองผู้มาเยือน เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในศาลาว่าการ
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
เว่ยฉิงยกดาบในมือขึ้น
“ข้าคือทูตจากราชสำนัก นี่คือดาบช่างฟ่างเป็นดาบอาญาสิทธิ์ที่ฝ่าบาทพระราชทานให้”
ฝ่าบาท…ฮ่องเต้…
คนเหล่านั้นเข่าอ่อนจนต้องรีบทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าทันที