เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 468 นายท่านจินกับการขาดทุน
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 468 นายท่านจินกับการขาดทุน
บทที่ 468 นายท่านจินกับการขาดทุน
ครึ่งเดือนต่อมา
คฤหาสน์สกุลจิน
ในช่วงเวลาสิบห้าวันที่ผ่านมาจินอั่นนอนไม่หลับ เขากระสับกระส่ายมากทุกๆ วัน
“เหล่าจิน ท่านคิดว่าเราควรทำอย่างไรดี ท่านขอให้เรากว้านซื้อข้าวสารมากักตุนเอาไว้ ตอนนี้ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วยังขายไม่ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ แม้แต่ขีดเดียวยังขายไม่ได้เลย”
“ใช่แล้ว พี่จินข้าทุ่มทุนทั้งหมดของข้าลงไปแล้วจะทำอย่างไรหากมันขายไม่ออกเช่นนี้”
“พี่จิน พี่เป็นคนแนะนำวิธีนี้ พี่ต้องหาทางออกอย่าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเลย”
“ถ้าข้ารู้ตัวเร็วกว่านี้คงไม่ปล่อยให้ท่านชักจูงหรอก ตระกูลเฉินของข้าคงต้องถึงกับหมดสิ้นเนื้อประดาตัวในคราวนี้!”
หนึ่งเดือนที่ผ่านมานายท่านจินยังเนื้อหอมอยู่ท่ามกลางกลุ่มพ่อค้าเหล่านี้ เขาถูกยกยอปอปั้นมาตลอด แต่ตอนนี้กลับถูกทิ่มแทงเข้าที่ด้านหลังเสียแล้ว
“น้องเฉิน เจ้าเป็นคนแรกที่เห็นด้วยกับข้า เหตุใดตอนนี้จึงบอกว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรมไปเสียแล้ว?” เขาพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าเย็นชา
“เราทำการค้าเพื่อหาเงินไม่มีสิ่งใดที่ผิด ถ้าเจ้าขาดทุนแล้วข้าไม่ขาดทุนหรือ? ข้าเองก็ขาดทุนยิ่งกว่าอีก”
“พอเถอะ หยุดเถียงกันได้แล้ว ตอนนี้พวกเราเหมือนตั๊กแตนที่ไต่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกันไม่ต้องมาหาว่าใครถูกใครผิดหรอก เพียงแต่ต้องหารือว่าต่อไปจะทำอย่างไรดีเท่านั้น”
“ใช่แล้ว เถ้าแก่เฉินพูดถูก เราต้องคิดวางแผนว่าต่อไปจะทำอย่างไร?”
“ราคาข้าวสารของเถ้าแก่โจวนั้นต่ำกว่าของเรามาก เช่นนั้นเราจะต้องลดราคาลงไหม?”
“คนแซ่โจวขายข้าวสารอยู่ที่เก้าสิบอีแปะถึงหนึ่งร้อยอีแปะ ถ้าจะขายราคาเดียวกับเขา เราจะยอมขาดทุนหรือ?
ราคาที่พวกเขากว้านซื้อมาข้าวสารมานั้นสูงกว่าหนึ่งร้อยอีแปะทั้งนั้น บางรายการสูงถึงสองร้อยอีแปะก็มี
“ใช่แล้ว เราไม่สามารถลดราคาได้ ไม่เช่นนั้นเราจะขาดทุน”
“ถ้าไม่ลดราคาก็ขายไม่ออก ข้าวจะเน่าเสียอยู่ในยุ้งฉางน่ะสิ”
“ถ้าไม่ลดก็ขายไม่ได้ น่าโมโหจริง”
“เถ้าแก่ตู้สกุลของท่านมีกิจการใหญ่โตคงไม่ใส่ใจกับเม็ดเงินเล็กน้อยเช่นนี้ แต่ตระกูลข้ามีหนี้สินท่วมหัว หากปล่อยให้ข้าวเน่าก็มีแต่เจ๊งเท่านั้น!”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาต้องลดราคา” เถ้าแก่จินเอ่ยขึ้น
“พี่จินพี่คิดจะทำอย่างไร?”
“คนแซ่โจวเป็นพ่อค้าข้าวจากเหลียงโจวแต่เขามาที่อี้โจวเพื่อทำการค้าถือว่าเป็นการทำลายตลาดการค้าในอี้โจว นี่มันหยามกันมากเกินไปแล้ว พวกเราต้องรวมตัวกันไปฟ้องร้องหลู่จวิ้นโฉ่ว!” เถ้าแก่จินพูด
“ใช่แล้ว ไปหาเจ้าคณะมณฑลหลู่ แล้วให้เขาตัดสินเถอะ”
“เถ้าแก่ตู้ไปกันเถอะ”
“ตกลง!”
….
ศาลาว่าการเมืองอี้โจว
เจ้าคณะมณฑลหลู่อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เขาเฝ้ารอให้ทูตของราชสำนักบริหารจัดการน้ำผิดพลาด เพื่อที่จะได้ล้างแค้นให้กับหลานชายของเขา แต่ใครจะคิดว่า คนผู้นั้นนอกจากไม่มีเรื่องผิดพลาดแล้ว ทุกอย่างกลับดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
จนถึงตอนนี้สถานการณ์น้ำท่วมในอี้โจวถูกควบคุมได้แล้ว!
“ใต้เท้าหลู่ เถ้าแก่จินจากมณฑลเหอกู่และเถ้าแก่ตู้มาขอพบท่านขอรับ” พ่อบ้านเข้ามารายงาน
“เถ้าแก่จิน? เถ้าแก่ตู้? ข้าไม่รู้จัก ไม่รับแขก!” หลู่จวิ้นโฉ่วพูดอย่างหงุดหงิด
“ใต้เท้าขอรับ หมูทองคำตัวนี้เป็นของกำนัลจากเถ้าแก่จินขอรับ” พ่อบ้านพูดอีกครั้ง
“โอ้…ดูเหมือนข้าจะพอจำเขาได้แล้ว มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?”
“ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับทูตจากราชสำนักขอรับ” เจ้าคณะมณฑลหลู่เริ่มสนใจขึ้นทันที
“ให้พวกเขาเข้ามา”
ไม่ช้าเถ้าแก่จินและเถ้าแก่ตู้ก็เข้ามาในห้องหนังสือของหลู่จวิ้นโฉ่ว ทั้งสองรีบคุกเข่าและร้องขอความเป็นธรรมทันที
“ใต้เท้า ได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่พวกข้าด้วยขอรับ” เถ้าแก่จินและเถ้าแก่ตู้พูดขึ้นพร้อมกัน
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ลู่จวิ้นโฉ่วถาม
“ข้าน้อยเป็นพ่อค้าขายข้าวในมณฑลเหอกู่ทำการค้าอย่างซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด เมื่อไม่นานมานี้มีพ่อค้าจากเมืองเหลียงโจวได้นำข้าวขึ้นราคุณภาพต่ำมาขายในราคาถูกกว่าตลาดมาก สร้างความวุ่นวายแก่ข้าและพ่อค้าข้าวในเมืองอี้โจว จนขายข้าวสารไม่ได้เลย ทว่าเรื่องนั้นยังไม่เป็นไร แต่พวกข้าสงสารผู้คนในเมืองอี้โจวที่ได้กินข้าวขึ้นราคุณภาพต่ำเช่นนั้นต่างหาก!” เถ้าแก่จินปั้นเรื่องโกหก
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?” หลู่จวิ้นโฉ่วอย่างประหลาดใจ
“ใช่แล้วขอรับ พ่อค้าคนนั้นสมคบคิดกับคนสกุลฟ่านที่อยู่ในเมืองเหอกู่ และหญิงสาวผู้หนึ่งที่ชื่อถังหลี่พวกเขาเอาข้าวขึ้นราให้ผู้ประสบภัยพิบัติกินขอรับ”
เถ้าแก่จินเสี่ยงพูดอย่างจนตรอก เขารู้ดีว่าถังหลี่เป็นภรรยาของทูตจากราชสำนัก ก่อนหน้าที่เขากักตุนข้าว ตอนที่ฟ่านเยว่ซีและถังหลี่มาหาเขาไม่รู้ว่าถังหลี่มีสถานะเช่นไร เขาไม่รู้จักกับตัวตนของนางทำให้เขาประมาทจนทำเรื่องผิดพลาดไป
เขามารู้ทีหลังว่า ทูตจากราชสำนักผู้นั้นได้สังหารเจ้าเมืองเหอกู่ซึ่งเป็นหลานชายของเจ้าคณะมณฑลหลู่ เขาจึงคาดว่าคนทั้งสองน่าจะผิดใจบาดหมางกัน เขาจึงได้ใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้
จินอั่นพนันได้เลยว่าต่อให้เป็นมังกรที่แข็งแกร่งก็ย่อมยากที่จะเอาชนะงูท้องถิ่นได้
“ถังหลี่ ภรรยาของใต้เท้าอู่? นางสมรู้ร่วมคิดกับพ่อค้าข้าวคนนั้นนำข้าวขึ้นรามาให้ผู้ประสบภัยกินจริงหรือ?” เจ้าคณะมณฑลหลู่ถาม
“เป็นความจริงขอรับ ราษฎรของเมืองเหอกู่เป็นพยานได้ว่าว่าฮูหยินของผู้ตรวจการทำเช่นนั้น ขอท่านได้โปรดลงโทษพ่อค้าคนนั้นให้หนัก อย่าให้เขาได้มาทำร้ายชาวบ้านอีกเลยขอรับ” เถ้าแก่จินกล่าว
“ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้และคืนความยุติธรรมให้ผู้ตกเป็นเหยื่อเอง” หลู่จวิ้นโฉ่วประกาศ
เถ้าแก่จินถอนหายใจด้วยความโล่งอก นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด จับกุมชายแซ่โจวเสีย เพื่อการค้าข้าวในเมืองอี้โจวจะได้กลับมาอยู่ในมือของพวกเขาอีกครั้ง
…..
ในเวลาเดียวกัน
ที่หมู่บ้านฉวนเจีย เมืองเหอกู่
เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนทำให้น้ำขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นตามกลยุทธ์การแก้ปัญหาน้ำท่วมแล้ว พวกเขาจะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันก่อน
แผนการของฉางหยูคือเสนอการขุดคลองและสร้างเขื่อนตามสิ่งที่ใต้เท้าซ่งได้ทำไว้ห้าปีก่อนเพื่อเปลี่ยนทิศทางของน้ำและช่วยประหยัดแรงได้มาก เมื่อเทียบกับการขุดคลองใหม่และสร้างเขื่อนกั้นน้ำอีกที
ในช่วงเวลายี่สิบวันที่ผ่านมา จากความพยายามของช่างก่อสร้างนับหนึ่งหมื่นคน พวกเขาได้เชื่อมต่อคลองสองสามสายและผันน้ำไปยังที่ดินรกร้างทำให้สามารถบรรเทาภัยพิบัติในเมืองอี้โจวลงได้ชั่วคราว ทำให้ผู้ประสบภัยมีจำนวนลดน้อยลง
ต่อไปคือการสร้างเขื่อนขึ้นทั้งสองข้างของคลองเพื่อที่ภัยพิบัติในปีนี้จะหมดไป
ในตอนเที่ยงขณะที่เว่ยฉิงนั่งพิงต้นไม้และงีบหลับอยู่นั้น ช่วงเวลาสิบห้าวันที่ผ่านมาเขากินนอนอยู่กับคนงานก่อสร้างมาตลอด
ใบหน้าของชายหนุ่มเหนื่อยล้าหนวดเครารกรุงรัง ร่างกายสกปรกมอมแมม
ฉางหยูเดินมาหาเขาต้องการปรึกษางานบางอย่าง
แต่เมื่อเห็นเว่ยฉิงกำลังหลับอยู่ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรยืนรออยู่เงียบๆ จนกระทั่งเว่ยฉิงลืมตาขึ้น เห็นฉางหยูยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“มีอะไรหรือ? คุณชายฉาง เหตุใดจึงไม่ปลุกข้า?”
“ใต้เท้าทำงานหนักก็พักผ่อนเถิดขอรับ ข้าไม่อยากรบกวนท่าน” ฉางหยูกล่าว
เว่ยฉิงเอามือลูบหน้า เขานั่งพิงต้นไม้ ตบพื้นที่ว่างข้างๆ
“มานั่งก่อนเถอะ”
ฉางหยูอยู่กับใต้เท้าอู่มาหลายสิบวันแล้ว เขารู้นิสัยของอีกฝ่ายดีว่าใต้เท้าหนุ่มผู้นี้เป็นคนแน่วแน่ และเด็ดขาด เขาอาจจะดูน่ายำเกรง แต่เขากลับให้รางวัลและลงโทษผู้คนได้อย่างชัดเจน
ตราบใดที่ตั้งใจทำดีแล้ว เรื่องต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
ใต้เท้าอู่ไม่ใช่คนถือตัว เขาแบ่งปันทุกข์ยากกับผู้คน มีความเห็นอกเห็นใจช่างฝีมือและคนงานตัวเล็กๆ เหล่านั้น เขาเป็นขุนนางที่ดี ฉางหยูนั่งลงใกล้เขาอย่างสงวนท่าที
“ใต้เท้าขอรับ ข้าอยากหารือกับท่านเกี่ยวกับการควบคุมน้ำขอรับ”