เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 522 โต้วาที
บทที่ 522 โต้วาที
เว่ยฉิงสวมชุดลำลอง ถังหลี่แต่งตัวง่ายๆ ทั้งสองเดินจับมือกันไปที่หอฉิงเฟิงเหมือนคู่รักทั่วไป แต่ทั้งคู่เป็นหนุ่มหล่อและสาวงามจึงได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา เมื่อทั้งสองมาถึงหอฉิงเฟิง ก็พบว่ามีผู้คนแออัดอยู่มากมาย ส่วนใหญ่เป็นเหล่าบัณฑิต ทั้งยังมีประชาชนทั่วไปที่มาชมดูด้วยความตื่นเต้นอีกด้วย
ทางฝ่ายบัณฑิตแบ่งออกเป็นสองฝ่าย เว่ยฉิงขมวดคิ้ว รู้สึกว่าคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าที่พวกเขาคิด
การโต้วาทีในครั้งนี้คนแน่นมากจนมแทบไม่เห็นเวที
“สามีมากับข้า” ถังหลี่จับมือของเว่ยฉิงเดินอ้อมหอฉิงเฟิงไปที่ด้านหลัง หญิงสาวเคาะประตูไม่นานหลังจากนั้นก็มีคนมาเปิด
“คุณหนู”
ชายชราผู้หนึ่งเดินมาเปิดประตู เขาทำความเคารพถังหลี่พร้อมกับต้อนรับทั้งสองคนเป็นอย่างดี ถังหลี่และเว่ยฉิงเดินตามชายชราขึ้นไปที่บันไดด้านหลัง นี่เป็นทางเดินภายในหอฉิงเฟิง ทั้งสองถูกพาไปยังห้องหนึ่ง
“คุณหนูนั่งลงก่อนขอรับ” เขาพูดอย่างนอบน้อม ถังหลี่และเว่ยฉิงนั่งลงที่ห้องนี้มีม่านแขวนอยู่ตรงหน้าต่าง ทำให้พวกเขาได้เห็นทิวทัศน์ด้านนอก และมองเห็นโถงทางด้านล่างได้อีกด้วย จัดว่าเป็นที่นั่งที่ดีมาก
“เจ้าของหอฉิงเฟิงแห่งนี้คือพี่ใหญ่ไป๋” ถังหลี่พูดขึ้น
ทรัพย์สินของตระกูลไป๋กระจายอยู่ทั่วเมืองหลวง บางครั้งร้านที่เดินเข้าไปอาจจะเป็นของไป๋มู่หยางก็เป็นได้
“ห้องนี้เป็นห้องที่พี่ใหญ่เตรียมไว้ให้ข้าโดยเฉพาะ เป็นห้องพิเศษ” เว่ยฉิงพยักหน้า
“ฮูหยินของข้าเก่งกาจอีกแล้ว”
ชายชราเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับน้ำชาและของว่างสำหรับคนทั้งสอง
“คุณหนูเรียกข้าได้ตลอดนะขอรับ” ถังหลี่พยักหน้า
“อืม…ท่าน ไปทำธุระเถอะ” เขาถอยออกไป
ถังหลี่มองไปยังฝั่งตรงข้าม ที่นั่นมีคนสองคนนั่งอยู่ เป็นชายหญิงคู่หนึ่ง สักพักมีเสียงดังขึ้นมาจากด้านล่าง ถังหลี่มองลงไปก็เห็นว่ามีเด็กหนุ่มกำลังเดินเบียดฝ่าผู้คนเข้ามา เป็นจ้าวจิ่งซวนนั่นเอง
ที่ข้างหลังของเขามีเด็กหนุ่มสองคนในชุดเสื้อคลุมสีขาวอย่างสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเดินตามมา ทั้งสองคนนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง
“ยังมีเวลาอีกเค่อหนึ่งก่อนการโต้วาทีจะเริ่ม” เว่ยฉิงมองดูเวลาแล้วบอก เว่ยจื่ออั๋งมาก่อนล่วงหน้า เพื่อให้เกียรติคู่โต้วาทีของตัวเอง
เมื่อฉินจ้าวมาถึง เว่ยจื่ออั๋งคำนับเขา
“พี่ฉิน ข้า…”
“เจ้ามีนามว่าเว่ยจื่ออั๋ง ข้ารู้จักเจ้า วันนั้นเจ้ามารอข้าที่หน้าประตูอยู่นานเจ้าบอกว่าต้องการคำแนะนำจากข้า” ฉินจ้าวพูดอย่างใจเย็นแต่ประโยคที่เขาพูดทำให้ศิษย์ต่างสำนักพากันภูมิอกภูมิใจไม่น้อย
ศิษย์อันดับหนึ่งของกั๋วจื่อเจี้ยนมาขอคำแนะนำจากฉินจ้าว
ศิษย์จากกั๋วจื่อเจี้ยนมองฉินจ้าวด้วยความไม่พอใจ ขอคำแนะนำอะไรกัน? ขอคำแนะนำหรือ? ในหมู่บัณฑิตด้วยกันการขอคำแนะนำย่อมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว อีกอย่างจื่ออั๋งไม่เคยอายที่จะต้องเรียนรู้!
ไอ้พวกนี้!
การแสดงออกของเว่ยจื่ออั๋งยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขายิ้มบางๆ
“ใช่แล้ว ข้ามีนามว่าเว่ยจื่ออั๋ง”
“ข้าฉินจ้าวมาจากเหลียงโจว” ฉินจ้าวทักทายกลับ ทั้งสองทำความเคารพกัน
ตามกฎกติกาแล้วหัวข้อการโต้วาทีจะถูกสุ่มออกมา
“ไม่ต้องสุ่มเลือกหรอก ข้าได้ยินมาว่าบิดาของเขาเป็นคนเสนอให้สร้างคลองในเหลียงโจว ข้าเกิดที่นั่นทำให้รู้เรื่องพวกนี้ค่อนข้างมาก เหตุใดเราไม่มาโต้วาทีกันหน่อยเล่า? ว่าการสร้างคลองมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง?” ฉินจ้าวกล่าว
“น้องเว่ยคิดอย่างไรกับข้อเสนอของข้า”
สวี่เจวี๋ยขมวดคิ้ว เหล่าบัณฑิตมีความสนใจกับเหตุการณ์ปัจจุบันอยู่แล้วพวกเขาจึงทราบเรื่องนี้กันดี เพราะมีการพูดคุยกันมากมาย แต่ฉินจ้าวเป็นคนที่มาจากเมืองเหลียงโจว เขาจึงมีความเข้าใจและมีความได้เปรียบกว่ามาก
“ตกลง” เว่ยจื่ออั๋งกล่าวด้วยท่าทีอ่อนโยน
ฉินจ้าวมีท่าทีที่เย่อหยิ่งตั้งแต่แรกเริ่ม เขาถามเว่ยจื่ออั๋งสิบคำถามและพูดเร็วมากทำให้รู้สึกว่าเขาดูก้าวร้าว คนธรรมดาอาจจะสับสนเล็กน้อยเมื่อถูกถามคำถามแบบนี้
ตอนนี้มีศิษย์หลายคนที่พูดไม่ออกกับคำถามของฉินจ้าวในตอนแรก เขาโดนศิษย์ต่างสำนักหัวเราะเยาะ
เมื่อเผชิญกับคำถามเหล่านี้เว่ยจื่ออั๋งยังคงไว้ซึ่งสีหน้าอ่อนโยน เขาใช้เวลาไตร่ตรองสักครู่ก่อนจะตอบคำถาม ท่วงทำนองของเขาไม่เร็วไม่ช้าทว่าฉะฉาน ทุกคนสามารถได้ยินเสียงที่ทรงพลังของเขาได้อย่างชัดเจน ต่างจากการฟังฉินจ้าวที่ทำให้รู้สึกกดดัน การฟังเว่ยจื่ออั๋งพูดมีสบายใจกว่า
ไม่ว่าฉินจ้าวจะกดดันจื่ออั๋งเพียงใด อีกฝ่ายก็ตอบสนองเขาด้วยความใจเย็น และคำถามที่เว่ยจื่ออั๋งถามก็ชัดเจนทำให้จิตใจของฉินจ้าวแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขาผลัดกันตอบและโต้เถียงกันไปมา ในตอนแรกเหล่าบัณฑิตที่อยากทราบเพียงแค่ผลแพ้ชนะ ตอนนี้ต่างก็รู้สึกทึ่งกับการโต้วาทีของพวกเขา ฉินจ้าวแสดงท่าทีประหลาดใจ
เว่ยจื่ออั๋งดูเหนือกว่าจินตนาการของเขาไปเล็กน้อย ที่ผ่านมาการโต้วาทีหนึ่งครั้งมักจะไม่เกินหนึ่งถ้วยชา ตอนนี้เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามและอีกหนึ่งเค่อแล้ว แต่เว่ยจื่ออั๋งยังไม่มีท่าทีอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าเขาจะต้องจริงจังมากขึ้น
คนทั้งสองโต้เถียงปะคารมกันอย่างไม่มีใครยอมใครจนกระทั่งเสียงฆ้องดังขึ้นทำให้ทุกคนตื่นจากภวังค์ กฎในหอฉิงเฟิงมีการจำกัดเวลา หากโต้วาทีกันเกินหนึ่งชั่วยามแล้วไม่มีผู้ใดแพ้ชนะ จะถือว่าเสมอกัน
นี่…หนึ่งชั่วยามผ่านไปแล้วหรือ?
เป็นไปได้อย่างไร?
ทั้งใบหน้าและหูของฉินจ้าวแดงก่ำ บิดเบี้ยว
เว่ยจื่ออั๋งฝีปากกล้านัก!
แม้ว่าผลการแข่งขันโต้วาทีในครั้งนี้จะเสมอกัน หากมันคือความล้มเหลวของเขา!
เว่ยจื่ออั๋งยังคงสงวนท่าที เขาคำนับฉินจ้าวเดินออกไปกับสวี่เจวี๋ย แม้ว่าจะเป็นการเสมอแต่ศิษย์ของกั๋วจื่อเจี้ยนตื่นเต้นมาก
ฉินจ้าวหยิ่งทะนงเกินไป ได้เห็นเขาทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ หน้าแดงราวกับถูกคนตบ พวกเขาจึงพากันสะใจ!
เป็นไปตามที่เว่ยจื่ออั๋งคาดเอาไว้!
เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเดินออกจากหอฉิงเฟิงไปด้วยกัน สายตาของเว่ยจื่ออั๋งเป็นประกายเมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยทั้งสองคน
“ท่านพ่อท่านแม่!”
เว่ยฉิงและถังหลี่ลงมาจากชั้นสองของร้าน เด็กหนุ่มรีบเดินไปที่ด้านหน้าของทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านเห็นการแข่งขันเมื่อครู่หรือไม่?” เว่ยจื่ออั๋งถาม
“พวกเราดูเจ้าอยู่ที่ด้านบนของร้าน” ถังหลี่พยักหน้า
เว่ยฉิงกอดคอลูกชายชมเชยเขา
“สมกับเป็นบุตรชายของข้า!”
เว่ยจื่ออั๋งได้รับคำชม ใบหน้าของเขาแดงขึ้น ท่าทางภูมิอกภูมิใจ เขามีความสุขที่ได้รับคำชมจากบิดาและมารดา
“หยุดคุยเถอะจะเจ็บคอกัน แม่จะทำน้ำแกงบำรุงให้ตอนกลับบ้าน” ถังหลี่พูด เด็กหนุ่มพยักหน้าด้วยความเชื่อฟัง
“น่าเสียดายที่เสมอกัน” เว่ยจื่ออั๋งอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
ครั้งนี้เขาไม่ชนะ และไม่รู้ว่าในครั้งต่อไปเขาจะชนะหรือไม่?
“ฉินจ้าวมีความรู้เกี่ยวกับคลองมาก เขาได้เปรียบจากหัวข้อที่เขากำหนด” สวี่เจวี๋ยกล่าว
“ใช่แล้ว การแข่งขันครั้งนี้ไม่สามารถตัดสินอะไรได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสอบชุนเหวยต่างหาก พวกเจ้าต้องคว้าที่หนึ่งและที่สองของการสอบมาให้ได้ ผลักเขาตกเหวไปเลย!” เว่ยฉิงกล่าว
ถังหลี่ตีแขนเว่ยฉิง นางไม่ต้องการกดดันบุตรชายทั้งสองมากเกินไป
“หึหึ” ชายหนุ่มหัวเราะสองครั้งก่อนจะเงียบเสียงลง