เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 565 พบกัน
บทที่ 565 พบกัน
สวี่เจียวหายใจเข้าลึกๆ สองครั้ง เป็นไปไม่ได้! สามีของนางไม่ใช่คนแบบนั้น! นางรู้จักกับสามีมาสิบสามปีแล้ว แต่งงานกันมาอีกสิบปี นางรู้จักนิสัยของสามีนางดี เขาไม่มีทางทอดทิ้งภรรยาเพื่ออำนาจแน่นอน สวี่เจียวตกตะลึงมาก ใช้เวลานานกว่าที่นางจะหาเสียงของตัวเองเจอ
“ฮูหยิน ชายคนนั้นคือเสิ่นชิงหลิวสามีของข้า..” เสียงของสวี่เจียวสั่น
“ผู้หญิงที่อยู่กับสามีของข้าคือใครหรือ?”
ถังหลี่มองสวี่เจียวทั้งตกใจและสงสาร คุณชายลิ่วเยว่คือเสิ่นชิงหลิว…เหตุผลที่เขาไม่ได้กลับบ้านเพราะกลายเป็นชายบำเรอคนโปรดขององค์หญิงใหญ่
“สตรีผู้นั้นคือองค์หญิงใหญ่…พระเชษฐภคินีของฮ่องเต้” ถังหลี่กล่าว
“เป็นไปได้อย่างไร…เป็นไปได้อย่างไร..” สวี่เจียวยอมรับไม่ได้
“ไม่ได้…ข้าต้องไปถามสามีข้าให้ชัดเจน”
นางกำลังจะวิ่งลงไปชั้นล่างแต่ก็ถูกบ่าวรับใช้กันไว้
“ฮูหยินเสิ่น หากเจ้าไปปรากฏตัวต่อหน้าเสิ่นชิงหลิวแบบหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะทำร้ายตัวเจ้าเองแต่ยังเป็นการทำร้ายเสิ่นชิงหลิวด้วย” ถังหลี่พูด
ตอนนี้เสิ่นชิงหลิวคือชายบำเรอคนโปรดขององค์หญิงใหญ่ หากภรรยาของเขาปรากฏตัวตรงหน้า องค์หญิงใหญ่จะปฏิบัติกับนางอย่างไร? หากเสิ่นชิงหลิวยังมีใจให้นางจะเกิดอะไรขึ้นกับสวี่เจียวและเสิ่นชิงหลิว การทำให้องค์หญิงใหญ่ขุ่นเคืองแบบนั้น…
สวี่เจียวหยุดฝีเท้าลง นางพิงกำแพงและค่อยๆ ทรุดตัวลงช้าๆ ฝังศีรษะไว้ที่เข่าของตัวเองและขดตัวกลม หลังจากนั้นไม่นานนางก็เงยหน้าขึ้น ทั้งสีหน้าและแววตาสงบลง
“ฮูหยิน…ท่านช่วยบอกข้าได้ไหมว่าความสัมพันธ์ของสามีข้าและองค์หญิงใหญ่เป็นอย่างไร?” น้ำเสียงของนางมีความเศร้า ถังหลี่เดินไปด้านหน้าและยื่นมือไป
“เจ้ากลับไปกับข้าก่อน”
สวี่เจียววางมือของนางลงบนมือของถังหลี่ พวกนางกลับไปยังจวนอู่โหว ถังหลี่บอกว่าตอนนี้เสิ่นชิงหลิวเป็นชายบำเรอคนโปรดขององค์หญิงใหญ่ สวี่เจียวตกตะลึงเป็นอย่างมาก หัวใจของนางสั่นไหวด้วยความเจ็บปวด
เป็นไปได้อย่างไรกัน…
“สามีของข้าไม่ใช่คนแบบนั้น เขาเป็นคนมีความทะเยอทะยานสูง อยากเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ยอมที่จะเป็นบุรุษในห้องหับใครแน่นอน..ชาย..” มันยากที่นางจะพูดคำถัดไป
“สามีของข้าต้องถูกข่มเหงแน่นอน นางต้องบังคับเขา!” เบ้าตาของสวี่เจียวเป็นสีแดง สามีของนางเป็นคนเย่อหยิ่งมาก แต่ตอนนี้เขาต้องกลายมาเป็นนกน้อยในกรงทองไปแล้ว นางไม่รู้ว่าเขาใช้ชีวิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้อย่างไร หัวใจของสวี่เจียวเจ็บปวดมาก
“ฮูหยิน ข้าอยากพบสามีของข้า” สวี่เจียวกล่าว “ท่านช่วยข้าได้ไหมเจ้าคะ”
โอกาสที่นางจะได้พูดคุยกับสามีช่างหาได้ยากนัก นางและฮูหยินอู่พบเจอกันโดยบังเอิญ อีกฝ่ายช่วยนางซ้ำยังให้ความช่วยเหลือที่ยากจะตอบแทนได้
“ฮูหยินเสิ่น หากเจ้าได้เจอกับเสิ่นชิงหลิวแล้วจะเกิดหายนะขึ้นกับเจ้า เจ้ายังอยากจะเจอเขาหรือไม่” ถังหลี่ถามอย่างจริงจัง
“ข้าอยากเจอเขา” สวี่เจียวพยักหน้า ในสามปีที่ผ่านมา นางใช้ชีวิตอย่างมึนงง แม้กระทั่งในความฝันนางก็ยังอยากพบเขา ด้วยเหตุนี้นางจึงมาที่เมืองหลวง
ตราบใดที่นางได้เจอสามี แม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม นางไม่กลัว! ถังหลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงพยักหน้า
“ตกลง ข้าจะจัดการให้เจ้าเองแต่เจ้าต้องระวัง…เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ห้ามตายอย่างเด็ดขาด”
ดวงตาของสวี่เจียวแดงก่ำ นางพึมพำคุกเข่าให้ถังหลี่
“ความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ของท่าน สวี่เจียวผู้นี้จะไม่มีวันลืมชั่วชีวิต!” สวี่เจียวโขกศีรษะให้แก่ถังหลี่ก่อนจะลุกขึ้น
“ข้าต้องหาวิธีที่ปลอดภัยที่จะทำให้เจ้าได้พบกับเขา คงใช้เวลาสักพักเจ้าอย่าได้กังวล” ถังหลี่กล่าว
สวี่เจียวรีบพยักหน้ารับ
อีกไม่กี่วันต่อมาถังหลี่เรียกคนมาสอบถามเรื่องเกี่ยวกับคุณชายลิ่วเยว่ บุรุษผู้นี้จะไปที่เสี่ยวหงโหลวเป็นครั้งคราวเพื่ออ่านหนังสือและวาดภาพ บ่าวรับใช้ที่นั่นล้วนเป็นคนขององค์หญิงใหญ่ คนเดียวที่คุณชายลิ่วเยว่ติดต่อนอกจากคนของพระนางจะเป็นคนที่ส่งหนังสือให้เขาจากร้านหนังสือ
ในวันนี้คุณชายลิ่วเยว่มาที่เสี่ยวหงโหลวด้วยรถม้า
เขาขึ้นไปชั้นบน ไล่บ่าวรับใช้ทั้งหมดออกไปเพื่ออยู่คนเดียวในห้อง เขายืนอยู่ที่หน้าต่างอย่างเศร้าหมอง ท่าทีของเขาดูโดดเดี่ยว เขายืนอยู่เช่นนั้นสักพักหนึ่งจากนั้นจึงหมุนกายไปนั่งที่โต๊ะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตัวอักษรบนกระดาษ
“เซียวฉวนจวงกำลังแต่งตัว พวกเขามองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรมีเพียงหยาดน้ำตานับพันที่พรั่งพรูลงมาเท่านั้น…”
ลายมือของเขาทั้งสวยงามและประณีต ความหมายที่เขียนเป็นไปอย่างลึกซึ้งกินใจ
“เจียวเจียว…เมื่อคืนข้าฝันถึงเจ้าอีกแล้ว” เขาพึมพำเสียงเบา
“ข้าฝันว่าเราได้พบกัน พวกเราพูดไม่ออกเอาแต่ร้องไห้ออกมา..”
ในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมาเขาคิดถึงนางทุกวัน
เขาคิดถึงเจียวเจียวของเขา…
ข้าไม่รู้ว่านางจะกินอิ่มนอนหลับไหม? ไม่รู้ว่านางสบายดีหรือไม่? นางผิดหวังในตัวเขาหรือลืมเขาไปแล้ว ประหนึ่งว่าเขาได้ตายจากนางไปแล้วเช่นนั้น คุณชายลิ่วเยว่ก้มหน้าลง น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงบนกระดาษทำให้คำที่เขียนพร่ามัว เขาวางพู่กันลง จ้องมองอย่างว่างเปล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ในตอนนั้นเองมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คุณชายขอรับ มีคนจากร้านหนังสือฉางเฟิงมาส่งหนังสือขอรับ” บ่าวรับใช้พูดขึ้นที่หน้าประตู
“ให้เงินพวกเขาไป” คุณชายลิ่วเยว่กล่าวอย่างเย็นชา
“คนที่ร้านหนังสือบอกว่ามีปัญหาเกี่ยวกับหนังสือ จึงอยากคุยกับคุณชายเป็นการส่วนตัวขอรับ” บ่าวรับใช้กล่าว
คุณชายลิ่วเยว่ลุกขึ้นเขาจุดไฟเผากระดาษกระดาษที่เขาเขียนเมื่อครู่จนกลายเป็นขี้เถ้าแล้วเดินออกจากห้องไป เขาออกมาพบกับคนจากร้านหนังสือฉางเฟิงในอีกห้องหนึ่ง
“หนังสือเล่มไหนมีปัญหา” คุณชายลิ่วเยว่มองไปที่กองหนังสือข้างหน้าเขาแล้วถาม คนส่งหนังสือคนนี้ไม่ใช่คนเดิม เขาดูเตี้ยกว่าเล็กน้อย คนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ไม่พูดอะไร หลังจากที่คุณชายลิ่วเยว่ถาม เขาก็เงยหน้าขึ้น เมื่อคุณชายลิ่วเยว่มองเขา รูม่านตาของเขาหดลงอย่างกะทันหัน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
เขาอดทนระงับความต้องการที่จะพุ่งไปกอดคนผู้นั้นไว้ในอ้อมแขน ร่างกายของเขาสั่นเกร็งอย่างรุนแรง
คุณชายลิ่วเยว่หายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปที่ชายคนนั้นอีกครั้ง
“มีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับหนังสือที่ร้านเจ้าส่งมาให้ข้าเมื่อสองสามวันก่อน ตามข้ามา” คุณชายลิ่วเยว่กล่าว เขาลุกออกจากห้องไป ตามด้วยคนส่งหนังสือ ทั้งสองเข้าไปในห้องที่คุณชายลิ่วเยว่อยู่ เขาไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาในห้อง
หลังจากที่คนส่งหนังสือเข้ามาเขาก็ปิดลงประตูทันที
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นลิ่วเยว่เห็นว่าเขาคือสวี่เจียวที่ปลอมตัวมา พวกเขาทั้งสองคนมองหน้ากัน น้ำตาไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ สวี่เจียวร้องไห้เงียบๆ น้ำตาของนางไหลเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด นางมองเขาและร้องไห้ออกมาราวกับอยากระบายความคับข้องใจ เป็นความกังวลในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของนาง
คุณชายลิ่วเยว่เดินไปหานางเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ เช็ดน้ำตาจากดวงตาของนางด้วยแขนเสื้อของเขา ใบหน้าที่เคยเฉยเมยและเย็นชาเป็นนิจกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“เจียวเจียว อย่าร้องไห้สิ”