เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 586 เหมือนเคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่ง
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 586 เหมือนเคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่ง
บทที่ 586 เหมือนเคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่ง
ฮ่องเต้ทรงชะลอฝีพระบาทลงให้เบาที่สุด เขาเดินไปยังโถงสวดมนต์ หน้าต่างเปิดออกกว้าง ไทเฮายืนประทับนิ่งอยู่ที่หน้าต่างด้วยสายตาที่้เหม่อลอย มึนงงไม่รู้เรื่องราวใดๆ
ฮ่องเต้มองออกไปที่ด้านนอก แสงจันทร์ถูกบดบังด้วยเมฆดำ ข้างนอกหน้าต่างมืดสนิท จนมองไม่เห็นอะไรเลย
ลมพัดพระเกศาและชายภูษาของไทเฮา ฮ่องเต้จึงได้รีบเสด็จไปปิดบานหน้าต่าง
“ไทเฮา อากาศหนาว อย่าทรงประทับยืนรับลมเช่นนี้” ฮ่องเต้ตรัสเบาๆ ไทเฮาทรงจ้องไปที่หน้าต่างที่ถูกปิดอย่างงุนงง
“ไทเฮา ประทับนั่งลงก่อนเถิด” ฮ่องเต้ทรงประคองไทเฮาประทับนั่งอย่างว่าง่าย พระองค์ประทับนั่งข้างพระมารดาเช่นกัน
“เสด็จแม่ มะรืนนี้จะเป็นวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว เผลอไม่นานก็ผ่านไปอีกปีแล้ว”
“เสด็จแม่ ท่านยังจำวันส่งท้ายปีเก่า เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ หลังจากจบงานเลี้ยงในวังแล้ว พวกเราจึงได้นั่งเสวยอาหารค่ำร่วมกัน ฝีมือการทำอาหารของแม่นมฉู่ดีเหลือเกิน ข้าชอบขนมดอกเหมยของนางมาก”
“ทุกวันปีใหม่จะมีอาหารจานนี้ในช่วงมื้อค่ำเสมอ เสด็จแม่ทรงจำได้ว่าเป็นของโปรดของข้า ความเมตตากรุณาของเสด็จแม่ที่มีต่อข้า ข้าไม่เคยลืม” ฮ่องเต้ทรงรำพันถึงเรื่องในอดีต อาจเป็นเพราะเขามีพระชนมายุมากขึ้น จึงได้หวนระลึกถึงอดีตอยู่บ่อยครั้ง แต่จ้าวหยู่หลานเป็นอดีตที่เขาไม่อยากนึกถึง ความทรงจำที่ดีของเขาที่เหลืออยู่คือช่วงเวลาที่ได้อยู่กับไทเฮา
เมื่อพูดถึงเรื่องเก่าๆเหล่านี้ ทำให้เกิดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากของเขา
ไทเฮายังคงเหม่อลอยและทำท่าไม่รับรู้ตอบสนองกับวาจาของเขา ฮ่องเต้ทรงใคร่ครวญว่าพระอาการของพระนางดูเหมือนจะดูแย่ลง อารมณ์ของเขาซับซ้อน เขารู้ดีว่าสิ่งที่พระนางเป็นอยู่เช่นนี้ถือว่าดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังอดใจอ่อนไม่ได้ สิ่งที่เขาเอ่ยไป ไทเฮาไม่อาจจะรับรู้และไม่สามารถตอบสนองได้ ฮ่องเต้ทรงทอดถอนพระทัยออกมาเบาๆ
“เสด็จแม่ ข้าทูลลา ท่านเข้าบรรทมแต่หัวค่ำเถิด” ฮ่องเต้เสด็จออกไป แม่นมฉู่จึงเดินเข้ามาในห้อง
“ไทเฮา…” สีหน้าของแม่นมฉู่ยังมีรอยหวาดหวั่นหลงเหลืออยู่ นางกลัวแทบตาย
“อาเยว่น้อย อย่าได้กลัวไปเลย” ไทเฮาไม่ได้ทรงไร้พระสติเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไปแล้ว พระนางขยิบพระเนตรอย่างซุกซน
“อาฉิงหูดีมาก ข้าเองก็เล่นละครได้เก่งเช่นกัน ข้าจะไม่ปล่อยเขาให้พบอาฉิงได้หรอก” เว่ยฉิงได้ยินเสียงฝีเท้า เขากระโดดออกไปทางหน้าต่างอย่างรวดเร็วก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จเข้ามาได้ไม่นานนัก
ไทเฮาทรงตื่นเต้นมาก โชคดีที่ไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น นางเป็นคนโง่เขลามาหลายสิบปีแล้ว หากต้องเล่นบทนี้ต่อจึงไม่นับว่ายากอะไร
“งานเลี้ยงในวังคึกคักชีวิตชีวาออกเช่นนั้น ข้าราชบริพารต่างล้วนยกย่องเชิดชูเขา แต่เขายังมาหาข้าที่ตำหนัก ช่างน่ารำคาญใจนัก”
“เขามารบกวนข้า และอาฉิง เขาเอาแต่พร่ำรำพันถึงวันเก่าๆ ที่ผ่านมา ช่างไร้สาระ..ข้าไม่รู้ว่าจะได้พบหลานของข้าอีกเมื่อไหร่?” ไทเฮาทรงกลุ้มพระทัยไม่น้อย แม่นมฉู่ตกตะลึง
อาฉิง? ไทเฮาเพิ่งตรัสว่าคนผู้นั้นคืออาฉิงหรือ? ขุนนางยศสูงคือองค์ชายน้อย? เขายังมีชีวิตอยู่?
“เขา..” ไทเฮารู้ว่าแม่นมฉู่จะถามว่าอะไร? พระนางผงกพระเศียร
“อาเย่วน้อย ข้าได้พบหลานชายของข้าแล้ว” ไทเฮาแย้มสรวล สายพระเนตรเต็มไปด้วยความสุข แม้พระพักตร์จะเต็มไปด้วยริ้วรอย หากทว่าพระวรกายกลับดูกระฉับกระเฉง ดวงตาของแม่นมฉู่แดงก่ำ
“เป็นเรื่องดีเหลือเกินเพคะ” นางพูดออกมาซ้ำๆ อย่างดีใจ พระนัดดาที่ไทเฮาทรงคิดถึงมาตลอดยังมีชีวิตอยู่ หลังจากที่พระองค์ทรงทุกข์ทรมานมานานหลายปีแล้วในที่สุดทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น
ไทเฮาแย้มสรวลออกมาอีกครั้ง
“ใช่!ดีมาก” หลานชายของพระนางเติบโตขึ้น มีภรรยา และมีบุตรหลายคน พระนางอยากจะอธิษฐานให้มากกว่านี้ เพื่อขอให้ครอบครัวของเขาปลอดภัยและมีความสุข
………
เว่ยฉิงกลับไปที่งานเลี้ยง เขาไปนั่งที่เดิมของตนข้างภรรยา เขาสบตากับถังหลี่ สายตาบอกว่า ‘ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี’ ถังหลี่พยักหน้า ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อฮ่องเต้เสด็จออกจากโถงจัดเลี้ยง นางเป็นกังวลมาก โชคดีที่เขาปลอดภัยดี ที่ประทับของฮ่องเต้ว่างเปล่า และแล้วงานเลี้ยงก็สิ้นสุดลง ถังหลี่ยื่นจอกสุราให้สามี เขารับไปดื่ม หลังจากนั่งต่อไปสักพัก เมื่องานเลี้ยงเลิกผู้คนจึงได้ทยอยกลับกัน ถังหลี่จับมือเว่ยฉิงทั้งคู่เดินออกจากงานเลี้ยง พวกเขาพบปะกับจินเซ่อและจ้าวชูที่กำลังจะกลับเช่นกัน
สายตาของจ้าวชูตกลงที่มือของทั้งคู่ที่จับจูงกันอยู่ สีหน้าวิตกกังวลของเขาหายไป เขายิ้มให้เว่ยฉิง
“ใต้เท้าอู่”
“คารวะท่านอ๋องรุ่ย” สายตาของทั้งคู่ประสานกัน มีความตึงเครียดอยู่เบาบาง จ้าวชูมองถังหลี่ แต่เว่ยฉิงกอดนางไว้ในอ้อมแขนสกัดกั้นสายตาของเขาเดินจากไปอย่างรวดเร็ว จ้าวชูมองตามแผ่นหลังเขาไปอย่างเย็นชา
อู่อวี้โหว คงคิดภูมิใจช่วงเวลาขาขึ้นของเขา เมื่อเขากล้าเผชิญหน้ากับองค์หญิงใหญ่ เขาควรตายโดยไร้ที่ฝัง แต่ใครจะคิดว่า เขาได้พบว่าองค์ใหญ่ใหญ่คิดก่อกบฏ จากนั้นจึงโค่นองค์หญิงใหญ่ลงได้ เพราะเหตุการณ์นี้เขาจึงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากเสด็จพ่อ เป็นขุนนางที่ได้รับคำยกย่องชมเชยจากฮ่องเต้
ยิ่งอู่อวี้มีชีวิตดีขึ้นมากแค่ไหน จ้าวชูก็ยิ่งเกลียดเขามากขึ้นเท่านั้น จนถึงตอนนี้เขายังอดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร หากเขาได้แต่งงานกับถังหลี่…
“ท่านอ๋อง…” จินเซ่อพูดขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของจ้าวชู นางไม่รู้ถึงความคิดของเขา แต่กลับพูดออกมาว่า
“หม่อมฉันคุ้นเคยอู่อวี้ผู้นี้ เหมือนเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน”
นางเคยเห็นเขา..แต่ว่าที่ไหนกันน่ะ? ตอนนี้นางยังจำไม่ได้
……….
ถังหลี่และเว่ยฉิงกลับไปยังจวนอู่โหวตอนนั้นดึกมากแล้ว หลังจากอาบน้ำเสร็จพวกเขาจึงได้เข้านอน เว่ยฉิงนอนบนเตียง เขาพูดคุยกับนางถึงเรื่องการได้พบกับเสด็จย่าของเขา
“ไทเฮาทรงมีพระชันษาเพิ่มมากขึ้น” เว่ยฉิงกอดภรรยาฝังใบหน้าไว้ที่ซอกคอของถังหลี่
“สาเหตุที่พระนางโดนยาพิษเป็นเพราะนางพบหลักฐานว่าสกุลเซียวถูกใส่ร้าย ท่านย่าต้องการให้ฮ่องเต้พลิกคดี แต่ท่านไม่ได้คิดเลยว่าฮ่องเต้มีส่วนรู้เห็นกับคดีนี้ และพระองค์อาจจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังด้วยซ้ำ หากแต่แรกที่ข้าคิดจะส่งหลักฐานให้ฮ่องเต้ คาดว่าอาจจะได้ประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกับพระนางเป็นแน่”
ถังหลี่ตบหลังเขาเพื่อปลอบโยน สามีของนางต้องการที่จะระบายอารมณ์ทุกข์ใจและเศร้าหมองของเขา มีแต่อยู่ต่อหน้าภรรยาเขาเท่านั้น ที่จะทำให้เขาได้เปิดเผยความในใจของตนออกมาให้เห็น นางแค่ต้องอยู่กับเขาให้ความมั่นใจเขาว่ามีนางอยู่ที่นี่เท่านั้น
เว่ยฉิงกอดนางอยู่สักครู่จากนั้นเมื่อได้ระบายทุกอย่างออกมาจึงทำให้เขาสบายใจมากขึ้น เขาถูศีรษะของเขากับลำคอของถังหลี่
“ภรรยา วันนี้ข้ามีความสุขมากเหลือเกินที่ได้พบกับเสด็จย่า หากวันหนึ่งสามารถแก้แค้นให้กับสกุลเซียวได้สำเร็จ พวกเราจะได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง” ถังหลี่พยักหน้า “จะต้องมีวันเช่นนั้นแน่นอน” เว่ยฉิงเอาแขนโอบรอบเอว ลังเลที่จะปล่อยนาง เขาจุมพิตที่หน้าผากของภรรยา
“นอนเถอะ”
……..
เด็กๆ ทุกคนอยู่บ้านพากันสวมเสื้อผ้าใหม่ เสื้อผ้าถูกส่งมาจากหอจื่ออวิ๋นโดยมีตันเหนียงเป็นผู้ทำให้ เสื้อผ้าเหล่านี้พอดีกับตัวเด็กๆ สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งสวมเสื้อคลุมแบบเดียวกัน ดูหล่อเหลาและสง่างาม เว่ยจื่ออี้สวมเสื้อสีน้ำเงินตัวยาว ดูมีชีวิตชีวาและร่าเริง ส่วนซานเป่าเป็นเสื้อคลุมและกระโปรงสีชมพูทำให้ใบหน้าเล็กของนางดูเป็นสีชมพูอ่อนโยนน่ารัก ทารกน้อยสองคนใส่เสื้อผ้าใหม่เช่นเดียวกัน พวกเขาห่อตัวด้วยเสื้อบุนวมสีขาวราวกับก้อนข้าวเหนียวสองลูก เห็นเพียงใบหน้าเล็กๆ อ้วนๆโผล่ออกมาเท่านั้น เขานอนอยู่บนเตียงเล็กๆ ยากที่จะพลิกตัวได้ ถังหลี่มองเด็กทั้งสี่ที่ยืนเรียงแถวกัน จากนั้นจึงได้มองทารกน้อยสองคนที่พยายามพลิกตัวอยู่บนเตียง ความรู้สึกพึงพอใจเกิดขึ้นในหัวใจของนาง
“ฮูหยิน นายท่านไป๋มาขอรับ” บ่าวรับใช้เข้ามารายงาน
“พี่ไป๋! ” ถังหลี่ประหลาดใจเมื่อได้ยิน กิจการค้าของไปมู่หยางเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ว่ากันว่าเขาได้ขยายเข้าไปในแคว้นต้าฉีได้แล้ว ในหนึ่งปีที่ผ่านมา ถังหลี่แทบไม่ได้พบเขาเลย นางขอให้แม่นมช่วยดูเด็กทั้งสองให้ จากนั้นจึงได้ลุกออกไปต้อนรับเขา เมื่อถังหลี่มาถึงประตูจวน จึงได้เห็นกล่องมากกว่ายี่สิบกล่องกองอยู่ที่พื้น ร่างในชุดสีขาวกำลังยืนสั่งให้คนรับใช้ขนของลงมาให้! หมายความว่ายังไม่หมดอีกหรือ?
“พี่ไป๋!” ถังหลี่เรียกเขา ร่างในชุดสีขาวหันมา คิ้วและตาที่นุ่มนวลมารยาทที่อ่อนโยน เป็นไป๋มูหยางไม่ผิด!
เขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักยกเว้นผิวที่เข้มขึ้น แต่กลับดูดีต่อสุขภาพซึ่งไม่มีผลต่อหน้าตาและท่าทีของเขา
ไป๋มู่หยางยังคงมองถังหลี่อย่างอ่อนโยน “พี่ไป๋ เหตุใดท่านถึงได้เอาข้าวของมามากมายเช่นนี้เจ้าคะ?”
ถังหลี่มองของที่กองอยู่อย่างประหลาดใจ
“ของขวัญของเจ้าและเด็กๆ” เสียงตอบรับดังขึ้นมาอีกฝั่ง ฮั่วจีว์ไม่รู้เดินมาจากไหน เขาพูดขึ้นราวกับว่าเขาเป็นผู้ส่งมอบของเหล่านั้นให้นาง
“ทั้งหมดล้วนเป็นของขวัญให้เจ้ากับน้องเขยและเด็กๆ ไม่ใช่ของใหญ่โตอะไร” ไป๋มู่หยางพูดด้วยรอยยิ้ม เขาออกเดินทางไปทั่วได้เห็นของดีๆ มากมาย เมื่อเห็นของเหล่านั้นจึงได้นึกถึงน้องสาวอยู่เสมอ เขาจึงอยากนำมามอบให้นาง เมื่อผ่านไปนานเข้า ข้าวของจึงได้มีมากมายอย่างที่เห็น ฮั่วจีซ์โอบไหล่เดินเข้าไปในจวนอู๋โหว
ระหว่างเดินฮั่วจีว์ตามติดเขาตลอด หลังจากกู้หวนจิ่นมีคนรักไปแล้ว เขาก็อยู่คนเดียว ในที่สุดไป๋มู่หยางจึงกลับมา เขาจะไม่เหงาอีกต่อไป ฮั่วจีว์จึงได้อารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยเหตุนี้
ตันเหนียงที่อยู่หอจื่ออวื๋นส่งจดหมายมาบอกเขาว่าได้เย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นายท่านไป๋แล้ว ขอให้เขามารับ ไป๋มู่หยางอยู่ที่จวนอู่โหวครึ่งวันจากนั้นจึงไปหาตันเหนียงที่หอจื่ออวิ๋น
ฮั่วจีว์ “………….”
จู่ๆ ฮั่วจีว์ก็อยากเปลี่ยนชื่อเป็นฮั่วโกวเสียแล้ว เขาไม่ใช่ลูกม้าที่มีความสุขเลย แต่เป็นหมาหงอยต่างหากเล่า!