เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 609 การเปลี่ยนแปลง
บทที่ 609 การเปลี่ยนแปลง
องค์หญิงอันหยางไม่ได้พาพวกเขากลับไปที่วังองค์หญิงหรือจวนรับรองแต่อย่างใด แต่พาพวกเขาออกมาที่ลานของเรือนรับรองในจวนแห่งหนึ่ง นางทอดพระเนตรไปยังชายหนุ่มรูปงามในอ้อมแขนของบุรุษสูงใหญ่หน้าตาขึงขัง ใบหน้าของกู้หวนจิ่นแดงก่ำไร้ที่พึ่ง ในขณะที่ชายล่ำสันกำลังปกป้องเขาด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งก็ตาม
พวกเขาช่างรักใคร่กันดีเหลือเกิน..แทนที่จะประหลาดใจหรือนึกรังเกียจ นางกลับรู้สึกอิจฉาพวกเขาแทน
คนสองคนตกหลุมรักกัน พวกเขาได้ก้าวข้ามทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอำนาจ สถานะ หรือแม้แต่เพศ.. นางชื่นชมในความกล้าหาญของคนทั้งสอง หากในใจกลับบังเกิดความเศร้าหมองขึ้นมา
“ดูแลเขาให้ดี” องค์หญิงอันหยางนิ่งไปชั่วครู่แล้วตรัสว่า
“ข้าขอให้พวกเจ้ามีความสุข”
หลังจากที่นางพูดจบก็หันหลังจากไปทันที
“……?…..” เว่ยฉิงได้แต่ยืนงงงวย
เขาพยุงกู้หวนจิ่นเข้าไปในห้อง วางพี่เขยลงบนเตียง เว่ยฉิงนอนไม่หลับ เขาขึ้นไปนั่งบนหลังคา ใบหน้าของเขาหม่นหมอง องค์หญิงอันหยางทำเช่นนี้เพื่อช่วยเหลือพวกเขา แม้นางจะดูไร้สาระและทำตัวเกเรแต่กลับซ่อนจุดประสงค์บางอย่างเอาไว้ เว่ยฉิงยังคาดเดาไม่ออก เขาไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังนาง?
หรือจะเป็นฮ่องเต้น้อย?
องค์หญิงอันหยางทำตามคำสั่งของฮ่องเต้น้อยหรือ?
คืนนี้เป็นเดือนมืดปราศจากดวงจันทร์ สถานการณ์ในต้าฉีช่างซับซ้อน เขาและกู้หวนจิ่นตกที่นั่งลำบาก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะก้าวข้ามเมฆที่มืดมนไปเห็นแสงจันทร์ได้
เมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน?
เว่ยฉิงคิดถึงภรรยามาก หากนับวันก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ที่เขาจากมา เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอก กระดาษถูกใส่กรอบเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่มีรอยยับย่นแต่อย่างใด บ่งบอกได้ถึงความเอาใจใส่ของเจ้าของ กระดาษแผ่นนี้เป็นรูปวาดของถังหลี่ ภรรยาของเขา
เว่ยฉิงจ้องมองรูปวาด เขาใช้นิ้วลูบไล้ภาพวาด เพื่อบรรเทาความคิดถึงโหยหาในหัวใจ กอดรูปวาดไว้แนบอก ราวกับว่ากำลังกอดภรรยาของเขาเอาไว้ เว่ยฉิงไม่รู้ว่าสถานการณ์ในต้าโจวเป็นอย่างไรบ้าง? ถังหลี่สบายดีหรือไม่?
ผ่านไปเดือนหนึ่งแล้ว ลูกน้อยฝาแฝดของเขาคงจะโตขึ้นมาก ในวันที่เขากลับไปบ้าน เด็กทั้งสองคนจะจำพ่อคนนี้ได้หรือไม่?
เป็นเพราะเขาคิดถึงภรรยาและลูกมาก เว่ยฉิงจึงฝันว่าบุตรชายหญิงของเขาจำตนเองไม่ได้ เด็กน้อยเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ที่ด้านหลังของภรรยามองเว่ยฉิงอย่างหวาดกลัว ไม่เพียงแต่เท่านั้นแม้แต่ภรรยาเองก็มองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป หัวใจของเว่ยฉิงสั่นสะท้านความกลัวราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากพัดพาเขาจมลงไป
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาเห็นดวงตาคู่หนึ่งจ้องมาที่ตนเอง ช่างคล้ายกับถังหลี่
“ฮูหยิน..” เว่ยฉิงพึมพำ สายตาของเขาอ่อนโยนลง
“ใครคือฮูหยินของท่านกัน” น้ำเสียงรังเกียจดังขึ้นทันที กลับกลายเป็นกู้หวนจิ่นพี่ชายของถังหลี่ไปเสียได้
“องค์หญิงอันหยางมาช่วยพวกเราไว้เมื่อวานนี้ใช่หรือไม่?” เขาถาม เว่ยฉิงพยักหน้ารับ พร้อมกับเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
กู้หวนจิ่นได้ฟัง เขาครุ่นคิด
“น้องเขย ท่านคิดอย่างไร?”
“ฮ่องเต้ของต้าฉีแม้จะไม่เห็นด้วยกับเจ้าในวันนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะเขาถูกผู้อื่นโน้มน้าว ใจจริงคงไม่ปรารถนาการสู้รบแต่อย่างใด” เว่ยฉิงวิเคราะห์ กู้หวนจิ่นพยักหน้ารับ
“องค์หญิงอันหยางไม่ใช่สาวงามที่ทำตัวไร้สาระไปวันๆ”
“ใช่ นางอาจจะช่วยพวกเราเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ก็เป็นได้” เว่ยฉิงเสริม
“เซี่ยซิ่วผู้นี้ช่างเป็นถั่วที่เคี้ยวยากเสียจริง” กู้หวนจิ่นสบถ
“เขาคิดที่จะสืบทอดเจตนารมณ์ของบิดาของตน พวกเขาไม่ยอมรับความจริงว่าตอนนี้แผ่นดินได้แบ่งออกเป็นสามแคว้น คิดแต่เพียงว่าต้าโจวคือดินแดนที่สูญเสียไป เขาอยากทวงแผ่นดินกลับคืนมา บิดาของเขายกทัพมาตีต้าโจวหลายครั้งสุดท้ายก็เสียชีวิตในสนามรบ” เว่ยฉิงพยักหน้า เขาทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี
“มีอีกอย่างที่เจ้ายังไม่รู้ ก่อนหน้านี้อดีตฮ่องเต้ฉีได้ทรงหมั้นหมายคนผู้หนึ่งให้กับองค์หญิงอันหยาง แต่นางปฏิเสธ ท่านรู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร?” กู้หวนจิ่นขยิบตาถามเขาอย่างมีเลศนัย
“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นอัครเสนาบดีเซี่ยซิ่ว พวกเขาอาจมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง”
หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ทั้งสองคิดว่าพวกเขาไม่ควรเข้าหาทางเซี่ยซิ่ว แต่ควรหาทางเข้าเฝ้าฮ่องเต้ฉีก่อนจะดีกว่า ทั้งสองคนวางแผนโดยเริ่มจากการเข้าหาองค์หญิงอันหยาง หลังจากนั้นไม่กี่วันทั้งคู่ก็ได้เข้าพบนาง
กู้หวนจิ่นอธิบายแผนของเขา หากทว่าองค์หญิงอันหยางทรงไม่เห็นด้วยที่จะพาเขาเข้าเฝ้าเฝ้าฮ่องเต้น้อย
เมื่อช่องทางขององค์หญิงไม่ราบรื่น พวกเขาได้แต่พึ่งพาองค์ชายแปดเท่านั้น ทั้งสองจึงวางแผนที่จะไปตามหาองค์ชายแปด
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาพวกเขาสำรวจไปรอบลานที่พักอาศัย นี่คือเรือนหลังหนึ่งในวังขององค์หญิง ที่นี่มีการป้องกันที่แข็งแกร่งราวกับถังเหล็ก แตกต่างจากจวนรับรองเป็นอย่างมาก
ในยามค่ำทั้งคู่กระโดดออกจากรั้วไปด้านนอก
พวกเขาไปที่จวนขององค์ชายแปดอย่างลับๆ ในขณะที่เดินผ่านตรอก เว่ยฉิงได้หยุดเดินอย่างกะทันหัน เขาดึงกู้หวนจิ่นมาไว้ที่ด้านหลังของตน มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นมีคนหลายสิบคนเข้ามาขวางพวกเขาเอาไว้
เมื่อเว่ยฉิงหันไปมองที่ด้านหลังก็พบว่ามีนักฆ่าอีกนับสิบกรูเข้ามา แม้กระทั่งบนกำแพงก็มีนักฆ่าอีกเช่นกัน หากประมาณจากสายตาแล้วนับได้ว่ามีคนราวๆ ห้าสิบหรือหกสิบคน ที่กำลังรุมล้อมพวกเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ให้ตายเถอะ เซี่ยซิ่วนี่ควักกระเป๋าหนักจริงๆ” กู้หวนจิ่นก่นด่า
“น้องเขย ถ้าเป็นไปได้เจ้าหนีไปก่อนเถอะ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าข้าจะอธิบายให้น้องเล็กฟังไม่ได้”
เว่ยฉิงไม่สนใจที่เขาพูดแต่โยนหน้าไม้และลูกธนูไปให้กู้หวนจิ่น เขาชักดาบออกมาพร้อมโจมตีคนเหล่านั้นทันที รังสีอำมหิตฆ่าฟันแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา
ในตรอกแคบที่เปลี่ยวร้างมีเสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นไม่หยุด เสียงใบมีดแทงเข้าไปในร่างกายและเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
การเคลื่อนไหวของเว่ยฉิงเป็นไปอย่างเฉียบคม ดาบในมือของเขาดื่มเลือดของศัตรู แต่ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากเกินไป องครักษ์เงาที่ปกป้องเขาปรากฎตัวขึ้นมา แต่ก็ยังไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ เว่ยฉิงค่อยๆ สูญเสียพละกำลังไป ทันใดนั้นเองดาบเล่มใหญ่ฟันมายังแผ่นหลังของเว่ยฉิง กู้หวนจิ่นรีบเข้าไปขวางเอาไว้ เลือดกระเซ็นเปรอะใบหน้าของเว่ยฉิงเต็มไปหมด..
ดวงตาของเว่ยฉิงเบิกกว้าง กลายเป็นสีแดงก่ำ เขาแทงชายผู้นั้นด้วยดาบของเขาทันที
…
“นายท่านขอรับ บ่าวส่งกำลังไปลอบสังหารคนไปหกสิบคน ราชทูตจากต้าโจวต้องตายอย่างอนาถเป็นแน่ขอรับ”บ่าวรับใช้พูด
เซี่ยซิ่วพยักหน้ารับ เมื่อราชทูตจากต้าโจวเสียชีวิตไป ฮ่องเต้น้อยย่อมไร้ทางเลือก เขาต้องทำเพราะการโจมตีต้าโจวเป็นสิ่งจำเป็น
“นายท่าน! ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าที่วังหลวงด่วน มีเรื่องต้องการจะปรึกษาหารือขอรับ” ทันใดนั้นมีโองการจากวังหลวงเข้ามา เซี่ยซิ่วน้อมรับเดินทางไปเข้าเฝ้าทันที
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้น้อยไม่สู้ดีนัก เขายื่นจดหมายให้กับเซี่ยซิ่ว เมื่อเซี่ยซิ่วอ่านข้อความด้านใน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที นี่เป็นข่าวที่ส่งมาจากสายลับฉีในต้าฉู่ เนื้อความในจดหมายมีว่าฮ่องเต้แห่งต้าฉู่สวรรคตแล้ว เขารู้ดีว่าหมายถึงอะไร เดิมทีพันธมิตรในครานี้ทำสัญญาโดยฮ่องเต้ฉู่ ในขณะที่เแคว้นอื่นๆไม่เห็นด้วย การที่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปเช่นนี้ทำให้ข้อตกลงถือเป็นโมฆะ
ใบหน้าของเซี่ยซิ่วยุ่งเหยิง เขาได้ทำการเกลี้ยกล่อมทุกฝ่ายเพื่อสร้างพันธมิตรของแคว้นฉีและแคว้นฉู่ขึ้นมา เขาต้องการใช้โอกาสนี้โจมตีแค้วนต้าโจว แต่กลับกลายเป็นว่าระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ฮ่องเต้แคว้นฉู่กลับมาสิ้นพระชนม์ลง สวรรค์ช่างกลั่นแกล้งเขา
“ท่านอัครเสนาบดี อีกไม่นานแคว้นฉู่น่าจะผิดสัญญา การศึกในครั้งนี้คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว ราชทูตจากต้าโจวเองยังอยู่ที่นี่ พวกเขาคงยังไม่ได้รับข่าวการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้ฉู่เป็นแน่ ดังนั้นการเจรจาในครั้งนี้เราต้องต่อรองให้ได้ผลประโยชน์มากที่สุด”
“ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าจะสายเกินไป” เซี่ยซิ่วกล่าวด้วยความข่มขื่น
“สายเกินไป?”ฮ่องเต้น้อยทรงสับสน
“ราชทูตจากต้าโจวเสียชีวิตแล้ว” เซี่ยซิ่วพูดด้วยสีหน้าสลดใจ