เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 610 จุดเปลี่ยน
บทที่ 610 จุดเปลี่ยน
“ท่านอัครเสนาบดี ท่านส่งคนไปฆ่าราชทูตจากต้าโจวหรือ? ท่านเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?” ฮ่องเต้แผดพระสุรเสียงดังออกมาสายพระเนตรเต็มไปด้วยโทสะ
เซี่ยซิ่วเคยเป็นพระอาจารย์ของฮ่องเต้ พระองค์ให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมากแทบจะไม่เคยทรงกริ้วเซี่ยซิ่วเลย เซี่ยซิ่วเป็นผู้ที่มีเหตุผลอยู่เสมอ คิดไม่ถึงเลยว่าในครั้งนี้เขาจะกระทำการสิ้นคิดถึงเพียงนี้!
เซี่ยซิ่วพูดไม่ออก ด้วยจำนวนนักฆ่าที่เขาส่งไปอย่างไรเสียทูตจากแคว้นต้าโจวไม่น่าจะเอาชีวิตรอดได้! เขาหลับตาลงใบหน้าเศร้าหมอง
ฮ่องเต้น้อยสูดพระปัสสาสะเข้าลึก พยายามผ่อนคลายอารมณ์
“ท่านอัครเสนาบดี ท่านคิดว่าแคว้นฉู่จะถอนตัวออกจากพันธมิตรครั้งนี้หรือไม่? กองทัพสองแสนนายของต้าฉีจะเอาชนะต้าโจวได้หรือ?”
“มีโอกาสที่จะเอาชนะได้น้อยมากพะย่ะค่ะ” เซี่ยซิ่วทูลตอบตรงไปตรงมา
“โอกาสที่จะชนะมีน้อยเหลือเกิน ทั้งสองแคว้นจะระส่ำระส่าย แล้วยังมีต้าฉู่ที่จะถือโอกาสปล้นชิงตามไฟอีก…” สีพระพักตร์ของฮ่องเต้น้อยที่ัอยู่บนบัลลังก์มังกรเต็มไปด้วยความทุกข์
“กระหม่อมจะคิดหาวิธี..”
เขาเม้มริมฝีปาก ร่างกายยืดตรงราวกับต้นสน หากจำเป็นต้องออกไปต่อสู้ เขาก็พร้อมที่จะเป็นคนนำทัพเอง ต่อให้ต้องนำชีวิตไปทิ้งก็ตาม เขาจำเป็นต้องทูลฮ่องเต้ถึงแผนที่เขาคิดเอาไว้
ฮ่องเต้กลับโบกพระหัตถ์ไล่เขาออกไปจากห้องโถง
เขาเดินออกไปด้วยสีหน้าที่มืดมน สวนทางกับองค์หญิงอันหยาง นางหยุดทอดพระเนตรมองเขา ขมวดพระขนง
เซี่ยซิ่วไม่ต้องการให้นางเห็นสภาพที่น่าอดสูของเขา เขาจึงทำเป็นไม่สนใจ ตั้งท่าจะเดินผ่านนางไปโดยไม่ทักทาย หากองค์หญิงกลับรั้งมือเขาเอาไว้
“องค์หญิง…ได้โปรด..”
“ได้โปรดเคารพตัวเองด้วยงั้นหรือ?” อันหยางพูดต่อจนจบประโยคที่เขาต้องการจะพูด
“ท่านอัครเสนาบดี มีคำพูดอื่นอีกหรือไม่? หากไม่มีก็อย่าได้ใส่ใจในตัวข้าเลย” องค์หญิงอันหยางทรงเย้ยหยัน เซี่ยซิ่วขมวดคิ้ว
“ท่านไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน” ในความทรงจำของเขา นางเป็นองค์หญิงน้อยที่มีความประพฤติดี เป็นสตรีที่สง่างาม ทรงเกียรติและเย่อหยิ่ง ไม่ได้ไร้มารยาทหรือเจ้าเล่ห์เช่นนี้ ครั้งหนึ่งเขาเห็นนางมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับบุรุษ เขาถึงกับหลุดปากเรียกนางว่า ‘หญิงแพศยา’ ออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“นี่คือตัวตนที่แท้จริงของข้า” นั่นคือสิ่งที่นางอยากให้เขาได้เห็น
นางรู้ว่าเซี่ยซิ่วชอบสตรีอ่อนโยนเปี่ยมด้วยคุณธรรม นางจึงแสร้งทำเช่นนั้น แต่ทว่าก็ไม่เคยเข้าไปอยู่ในหัวใจของเขาได้เลย สุดท้ายนางอยากได้ตัวตนที่สูญเสียไปของนางกลับคืนมา
เวลาผ่านไปนานแล้ว นางยังจะคิดอะไรอยู่อีก…
“ท่านส่งคนไปลอบสังหารราชฑูตต้าโจวหรือ?” องค์หญิงอันหยางตรัสถาม
เมื่อนึกถึงท่าทีที่องค์หญิงปฏิบัติต่อราชทูตต้าโจว เซี่ยซิ่วรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
“องค์หญิงไม่พอพระทัยหรือ?” เซี่ยซิ่วพูดน้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความไม่พอใจโดยที่ตัวของเขาเองไม่ทันสังเกต
องค์หญิงอันหยางทอดพระเนตรไปที่เขา ตรัสเพียงว่า
“เจ้าจะต้องเสียใจ”
เขาเสียใจและได้ทำผิดพลาดไปอย่างใหญ่หลวง ทว่าเขาไม่อยากให้องค์หญิงอันหยางได้เห็นด้านที่เปราะบางและอับจนปัญญาของเขา
เซี่ยซิ่วเดินตรงไปโดยไม่หันหลังกลับมามองนางอีกบราวนี่ออนไลน์
องค์หญิงอันหยางทรงหดหู่และไม่สบายพระทัย นางเข้าไปยังห้องโถง เหลือบไปเห็นฮ่องเต้น้อยใส่เสื้อคลุมปักลายมังกรนั่งอยู่บนบัลลังก์ อันหยางเข้าไปเอานิ้วจิ้มที่แก้มพองๆ
“ผู้ใดทำให้ฝ่าบาทกริ้วหรือเพคะ?” อันหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม ฮ่องเต้ฉีพึมพำตอบเบาๆ น้ำเสียงไม่พอพระทัย
“ท่านอัครเสนาบดีส่งคนไปสังหารราชทูตจากต้าโจว ต้าโจวคงจะไม่ยอมแน่ ทั้งฮ่องเต้ฉู่ทรงสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันเช่นนี้ ต้าฉู่จะต้องตระบัดสัตย์อย่างแน่นอน หากถึงตอนนั้นต้าฉีจะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพต้าโจวอย่างโดดเดี่ยว” ยิ่งเขาครุ่นคิดเรื่องนี้เท่าไหร่ก็ยิ่งปริวิตกมากขึ้นเท่านั้น
“ท่านอัครเสนาบดีฉลาดในเรื่องอื่น เหตุใดจึงได้กระทำการวู่วามไปได้ถึงเพียงนี้”
“เขาต้องการแผ่นดินที่สูญเสียไปกลับคืนมา” องค์หญิงอันหยางตรัส
“มีคำกล่าวที่ว่า แผ่นดินที่แตกกระจายเป็นเวลานาน การจะกลับมารวมเป็นหนึ่งเดียวย่อมต้องใช้เวลา ตอนนี้ต้าโจวแข็งแกร่งขึ้นมาก ยากนักที่จะกลับมารวมกันได้” จักรพรรดิน้อยพูดด้วยความโกรธ
“ในการรบครั้งนี้แคว้นต้าฉีของข้าจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก”
“มีใครทูลฝ่าบาทหรือว่าจะเกิดสงคราม?” องค์หญิงอันหยางเอ่ย
“แต่ราชทูตจากต้าโจวเสียชีวิตหมดแล้ว…”
“พวกเขายังไม่ตาย ข้ารู้ว่าเซี่ยซิ่วต้องเล่นงานพวกเขาอีกแน่นอนจึงแอบส่งคนไปตาม ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่วังของข้า” องค์หญิงอันหยางกล่าว “หนึ่งในนั้นบาดเจ็บ แต่ไม่ได้รับอันตรายจนถึงชีวิต”
ฮ่องเต้น้อยทรงกะพริบตา ราวกับว่าก้อนหินที่หนักอึ้งที่อยู่ในพระทัยได้ปลดวางลง เขาทอดพระเนตรไปยังองค์หญิงอันหยางด้วยความปีติยินดี
“ท่านพี่ ท่านช่างดีกับข้าเหลือเกิน”
ในขณะที่พูดพระองค์ทรงโน้มพระเศียรให้องค์หญิงอันหยาง แต่นางรีบกดพระอังศาของเขาโดยเร็ว
“ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้แล้ว จะกระทำเช่นนี้อีกไม่ได้”
พระองค์ทรงขยับนั่งประทับวรกายตรง พระพักตร์จริงจังและสุขุมมากขึ้นกว่าเดิม
“ท่านพี่ ท่านช่วยพาข้าไปพบราชทูตจากต้าโจวหน่อยเถิด”
…..
วังองค์หญิงอันหยาง
ภายในห้อง
กู้หวนจิ่นนั่งอยู่บนเตียงร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลเขาเสียเลือดไปมากทำให้ใบหน้าของซีดเซียว เว่ยฉิงเฝ้าอยู่ข้างๆโดยที่ไม่ได้พักผ่อนตลอดคืน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อันตรายมาก โชคดีที่คนขององค์หญิงอันหยางปรากฎตัวมาช่วยพวกเขาไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นสถานการณ์อาจจะวิกฤติมากกว่านี้ เขามองไปกู้หวนจิ่น
“ขอบคุณมาก”
เพราะกู้หวนจิ่นมาขัดขวางการโจมตีจากศัตรู เขาจึงรอดมาได้ วิถีดาบเล่มนั้นเล็งมาที่ลำคอของเขา
“หากมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน น้องสาวของข้าคงเสียใจมาก” กู้หวนจิ่นเอ่ยตอบ
เขาเคยเห็นคนรักกันมามากต่อมาก แต่ไม่เคยเห็นคู่รักไหนใคร่ปองดองกันเหมือนสามีภรรยาคู่นี้เลย พวกเขาเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของกันและกัน หากมีอะไรเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย คนที่เหลือคงยากที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้ ในตอนนั้นเขาคิดเพียงว่าจะไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้นกับน้องเขยของเขาได้เป็นอันขาด
“หากเจ้าเป็นอะไรไป องค์หญิงจิ้งชูเองก็จะเสียพระทัยมากเช่นกัน” เมื่อคิดถึงอาจื่อ สีหน้าของกู้หวนจิ่นพลันอ่อนลง ถูกแล้ว…เขาเองก็มีคนข้างหลัง ตอนนี้อาจื่อกำลังรอเขาอยู่
“โชคดีที่ไม่เป็นอะไร” กู้หวนจิ่นพูดอย่างหวาดกลัว
ไม่อย่างนั้นอาจื่อคงร้องไห้แทบตาย
องค์หญิงน้อยที่แสนเกเรคนนั้นแท้จริงแล้วเป็นเหมือนไหน้ำตาขนาดยักษ์ ลงนางได้ร้องไห้ขึ้นมา มีหวังผู้คนได้จมน้ำตาของนางตายเป็นแน่
ทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เว่ยฉิงเปิดประตู เป็นองค์หญิงอันหยางที่เดินเข้ามา สายพระเนตรเต็มไปด้วยความชื่นชอบ รูปร่างของบุรุษผู้นี้ช่างดูดีเหลือเกิน
เขามีช่วงไหล่กว้างเอวสอบได้รูป บริเวณหน้าอกและหน้าท้องมีกล้ามเนื้อบางๆ ประดับอยู่ อันหยางอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือจะไปแตะต้อง ทว่ามือของนางถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน
“ขนาดข้ายังไม่อยากแตะเลย องค์หญิงอย่าสัมผัสเลยพะย่ะค่ะ”
องค์หญิงอันหยางนึกถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ นางแอบผรุสวาทในพระทัย ชายหน้าดุผู้นี้ช่างตระหนี่ขี้เหนียวยิ่งนัก นางเพียงแค่อยากจะลองสัมผัสดูเท่านั้น ผู้ชายคนนี้น่าครอบครองมาก..
เสียงไอเบาๆ ดังขึ้นที่ประตู ไม่ได้มาจากเว่ยฉิงหรือกู้หวนจิ่น แต่เป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง พวกเขาทั้งสองรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็น
เด็กหนุ่มรูปงามแลดูภูมิฐานผู้นี้ เขาคือฮ่องเต้น้อยแห่งต้าฉี
ก่อนหน้านี้เขาใช้ความพยายามอย่างมากที่จะขอโอกาสเข้าเฝ้าแต่กลับหาโอกาสไม่ได้ คาดไม่ถึงว่า ฝ่าบาทกลับเสด็จมาหาพวกเขาถึงที่แทน
เว่ยฉิงทำความเคารพ ในขณะที่กู้หวนจิ่นใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะลุกขึ้นนั่งแต่กลับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน
ฮ่องเต้น้อยทรงทักทายพวกเขาสองสามคำจากนั้นจึงได้กล่าวถึงจุดประสงค์ของเขา
“ในวันนั้นท่านราชทูตกล่าวถึงเหตุผลที่ต้าฉีไม่ควรจับมือเป็นพันธมิตรเพื่อโจมตีต้าโจว หนึ่งเพื่อตัวข้า สองเพื่อราษฎรของต้าฉี สามเพื่อผู้คนบนผืนแผ่นดินนี้ สงครามที่เกิดจะทำลายทุกอย่าง ครอบครัวของราษฎรจะเดือดร้อนเกิดการพลัดพรากจากกันเพราะภัยของสงคราม ข้าเองคงไม่มีหน้าจะไปเอ่ยวาจาแก้ตัวกับบรรพบุรุษได้ ทั้งราษฎรของต้าฉีที่จ่ายภาษีสนับสนุนกองทัพเพื่อให้พรากบิดา พี่ชายและบุตรชายของเขาเพื่อไปเป็นทหาร สงครามย่อมส่งผลกระทบมากมาย ใต้หล้าย่อมลุกเป็นไฟไปทั่วทุกแห่งหน …” ฮ่องเต้น้อยหยุดชะงักนิ่ง
“ข้าได้ฟังที่ท่านพูดแล้ว ข้าเองก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่ท่านอัครเสนาบดี ..ท่านเป็นพระอาจารย์ของข้า ข้าย่อมต้องให้ความเคารพเขา และรับฟังความความคิดเห็นของเขา แต่ตอนนี้ท่านได้วู่วามกระทำสิ่งที่ไม่สมควรไป..”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสต่อ แต่ทุกคนในที่นั้นย่อมรู้ดีว่าเป็นเพราะสาเหตุการลอบสังหารของพวกเขาเมื่อคืนนี้..นั่นเป็นสิ่งผิดพลาด
วาทะศิลป์ของฮ่องเต้ต้าฉีถือว่าชาญฉลาด เขากล่าวว่าเป็นเรื่องผิดพลาด อีกทั้งแสดงวาจาชื่นชมกู้หวนจิ่นและเว่ยฉิงเป็นอย่างมาก พร้อมกับโทษความผิดไปที่ท่านอัครเสนาบดี
“ข้าได้ลงโทษให้เขากักตัวเพื่อพิจารณาความผิดของตนเองอยู่ในจวนแล้ว ที่ข้ามาวันนี้เพื่อเจรจากับพวกท่าน หากต้าโจวยินดีที่จะยกเมืองสักสองเมืองให้กับแคว้นต้าฉี ต้าฉีจะยินดีสลายพันธมิตรกับต้าฉู่พร้อมกับถอนกำลังทหารแสนนายกลับทันที”
ฮ่องเต้น้อยช่วงชิงความได้เปรียบเพื่อเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนเมืองกับสันติภาพ ในตอนนี้ทูตของต้าโจวยังไม่ได้รับข่าวการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้แคว้นฉู่ เขาใช้โอกาสนี้ตักตวงผลประโยชน์ให้กับต้าฉีของตนให้มากที่สุด สายพระเนตรเป็นประกายวาบแสงแห่งความคาดหวังฉายออกมา