เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 618 ความสุขสองเรื่อง
บทที่ 618 ความสุขสองเรื่อง
รถม้าแล่นไปหยุดที่ด้านหลังของจวนรุ่ยอ๋อง ระหว่างทางกลับ อารมณ์ของจินเซ่อไม่ดีนัก ความคิดของนางยุ่งเหยิงไปหมด นางลงจากรถม้าเข้าไปด้านใน เมื่อไปถึงที่เรือนของตน จึงได้เห็นร่างสูงของคนผู้หนึ่งยืนหันหลังอยู่ ท่านอ๋องมาหานาง!
ทันทีที่เห็นเขา จูชุนเจียวยังควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้ว่าเขาจะร้ายกับนางเพียงใด หัวใจของนางก็ยังรักเขาอยู่ หญิงสาวแอบก่นด่าตัวเองในใจ
“ท่านอ๋อง” จ้าวชูหันกลับไปมองนางด้วยสายตาเย็นชา
“หากเปิ่นหวางจำไม่ผิด พระชายาถูกห้ามไม่ให้ออกไปไม่ใช่หรือ?” จ้าวชูพูด
“เหตุใดพระองค์จึงมอบร้านอาหารที่ข้าเปิดให้กับหลู่เหนียงเพคะ?” จูชุนเจียวถาม
“เปิ่นหวางอยากให้พระชายาได้พักผ่อน” จ้าวชูเดินเข้ามาใกล้ เขายื่นมือไปทางจูชุนเจียว หญิงสาวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งฉุกคิดได้ว่าต้องป้องกันตัว แต่มือทั้งสองของนางถูกเขาจับไว้จนไม่สามารถขยับได้ จ้าวชูถอดหน้ากากของนางออก เขาโยนหน้ากากลงกับพื้น ใช้มือสัมผัสไปที่ใบหน้าของจิงเซ่อ คำพูดของเขาทำให้ผู้ที่ได้ยินถึงกับสั่นสะท้าน
“ใบหน้าของคนที่ควรตายไปแล้ว หากมีใครเห็นเข้า เจ้าคงรู้ว่าผลที่จะตามมาคืออะไร พระชายาควรอยู่แต่ในจวนและหยุดเพ่นพ่านไปไหนมาไหนเสียที”
หลังจากที่จ้าวชูพูดจบเขาหันหลังจากไปทันที จินเซ่อยืนหน้าซีดอยู่ตรงนั้น ร่างกายของนางสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ จ้าวชูกำลังข่มขู่นาง!
หากนางมีโอกาสอีกครั้งนางจะไม่เลือกผู้ชายคนนี้และมอบทุกอย่างให้เขาเช่นนี้อีก
หลังจากที่จ้าวชูออกจากจวนรุ่ยอ๋อง เขาไปวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ และขอพระราชทานอนุญาตให้จัดตั้งกองกำลังอาวุธปืน ฮ่องเต้รู้สึกประหลาดใจแต่ก็ชื่นชมที่เขาเริ่มจะทำอะไรบางอย่าง
“หากเจ้ามีความสามารถที่จะทำได้ ก็เอาสิ! ข้าจะสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่”
จ้าวชูไปพบกับหมอเทวดาอีกครั้งและสอบถามเกี่ยวกับสุขภาพของบิดา
“ช่วงนี้ฝ่าบาทเสวยยาตัวใหม่ ทำให้จิตใจดีขึ้นและมีพลานามัยที่แข็งแรง เทียบเท่ากับชายหนุ่มอายุสามสิบเลยพะย่ะค่ะ” หมอเทวดากล่าว เขาพอใจกับยาตัวใหม่ที่ตนเองได้พัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก ฮ่องเต้พอพระทัยจนพระราชทานรางวัลให้เขามากมาย
จ้าวชูพยักหน้า ฮ่องเต้อาจจะรู้สึกว่าพระองค์ทรงมีพระพลานามัยดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคนนอกสามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของยา หลังจากเสวยยาไปแล้วแม้ว่าพระองค์จะทรงมีพระอารมณ์ดี แต่พระวรกายกลับว่างเปล่าทั้งยังชราเร็วมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นต้องเสวยยาให้ตรงเวลาอีกด้วย หากคลาดเคลื่อนไปร่างกายจะชักกระตุกและมีฟองทะลักออกจากพระโอษฐ์อย่างน่ากลัว จ้าวชูเคยเห็นพระอาการของฮ่องเต้มาก่อน เขารีบหนีไปก่อนที่จะมีใครเห็น ฮ่องเต้ให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับจึงไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดถึงเรื่องนี้
“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างพะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่ได้พบนางเสียนาน” หมอเทวดาถาม
เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าพระชายาของรุ่ยอ๋องคือจูชุนเจียว นางเป็นคนที่ทำให้เขาได้พัฒนายาจนกระทั่งได้มาเป็นหมอหลวงรักษาฮ่องเต้จนเป็นที่โปรดปราน สำหรับเขาแล้วจูชุนเจียวเปรียบเสมือนน้องสาวหรือลูกสาวของเขาเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้จูชุนเจียวจึงยังจำเป็นต่อจ้าวชู เขาจึงยกนางให้เป็นพระชายาและให้นางอยู่ในจวนรุ่ยอ๋องต่อ
“พระชายาไม่ควรออกมาข้างนอก” จ้าวชูกล่าว
“เพราะเหตุใดหรือพะย่ะค่ะ” หมอเทวดารู้สึกสับสน
“การปลอมแปลงใบหน้าของนางล้มเหลว คงไม่ดีแน่หากตอนนี้มีผู้คนเห็นว่านางมีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนที่โดนลงโทษประหารชีวิตไปแล้ว”
หมอเทวดาขมวดคิ้ว ช่างแปลกมากที่พระชายามีใบหน้ากลับไปเป็นเหมือนเดิมบราวนี่ออนไลน์
“ท่านอ๋องได้โปรดคุ้มครองนางด้วยพะย่ะค่ะ”
“อย่ากังวลเลย ข้าจะไม่ปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับนาง” จ้าวชูตอบรับ
ในความเป็นจริงแล้ว จ้าวชูยังได้ผลประโยชน์มากมายจากการรักษาชีวิตของจูชุนเจียวไว้ อีกอย่างหนึ่งคือปล่อยให้นางได้สร้างประโยชน์ต่างๆ เพื่อเขา หลังจากที่จ้าวชูได้พบหมอเทวดาเขาก็ไปหาพระสนมหวังกุ้ยเฟย มารดาของตัวเอง
“เสด็จแม่ช่วงนี้ลูกอาจจะไม่ค่อยว่าง”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หวังกุ้ยเฟยถามด้วยความกังวล
“ลูกได้ทูลขอพระราชทานอนุญาตในการจัดตั้งกองผลิตอาวุธพะย่ะค่ะ” จ้าวชูกล่าว หวังกุ้ยเฟยขมวดคิ้วทันที
“ชูเอ๋อร์…เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุใดจึงหยิบเผือกร้อนมาถือเอาไว้ในมือ?” ฮ่องเต้โจวต้องการตั้งกองผลิตอาวุธมาตลอด แต่เรื่องนี้ควรให้กรมการช่างทำ แต่ทว่าไม่มีคนที่มีความรู้ความสามารถ จึงไม่สามารถทำได้ ต่อมาฮ่องเต้โจวได้ปรารภกับอู่อวี้เจ้ากรมอาญาแต่ทว่าก็ได้รับคำปฏิเสธเช่นกัน
หากต้าโจวก่อตั้งกองผลิตอาวุธปืนขึ้นมาได้ กำลังและความสามารถในด้านการรบจะแข็งแกร่งมากกว่าแคว้นฉู่และแคว้นฉีมากนัก นี่จึงเป็นเรื่องดีและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามมีคนมากมายไม่กล้ารับเผือกร้อนแบบนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าเป็นการยากที่จะทำขึ้นมาได้
หวังกุ้ยเฟยไม่เห็นด้วยกับการกระทำของจ้าวชู รู้สึกว่าเขาสิ้นคิดเกินไป
หากจ้าวชูไม่ได้ริเริ่มเข้าไปรับเรื่องนี้ย่อมไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นกับเขา แต่เมื่อบุตรชายของนางลงมือไปแล้ว หากผลที่ได้รับไม่ดีขึ้นมา ก็จะทำให้เขาสูญเสียความโปรดปรานจากฝ่าบาท
“เสด็จแม่ ข้ามีความมั่นใจว่าทำได้ ข้าจึงได้ขออาสา”
“มีเพียงสกุลเหยียนเท่านั้นที่มีความรู้เรื่องดินปืน แต่พวกเขามีกฎในสกุลเรื่องห้ามผลิตอาวุธปืน ไม่มีทางที่เราจะผลิตขึ้นมาได้เลย หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะตั้งกองผลิตอาวุธปืนได้อย่างไร?” หวังกุ้ยเฟยกล่าวด้วยความสงสัย
“เสด็จแม่ ข้าได้พบกับนายท่านสกุลเหยียนแล้ว รวมถึงได้เชิญเขามาที่เมืองหลวง เขายินดีที่จะช่วยสร้างอาวุธปืนในครั้งนี้” จ้าวชูกล่าว
ก่อนหน้านี้ ลิขิตสวรรค์ได้บอกถึงที่ตั้งของสกุลเหยียนให้กับจูชุนเจียว นางได้บอกเรื่องนี้กับเขา ตอนแรกเขาไม่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ไม่นานมานี้เขากลับพบว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ลิขิตสวรรค์ได้บอกไว้กับจูชุนเจียว เขาให้คนไปสืบดูหลายครั้งจึงพบว่าที่นั่นเป็นที่ตั้งของสกุลเหยียน จ้าวชูจึงเชิญนายท่านเหยียนผู้นั้นมายังเมืองหลวง
“ใช่คนสกุลเหยียนจริงหรือ?”
“จริงแน่นอนพะย่ะค่ะ” จ้าวชูกล่าวหนักแน่น
“เยี่ยมจริงๆ หากกองผลิตอาวุธปืนได้อยู่ในมือของเจ้า นี่จะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ตำแหน่งองค์รัชทายาทต้องไม่พ้นมือเจ้าแน่นอน” หวังกุ้ยเฟยรู้สึกมีความสุข นางตั้งความหวังไว้ที่รุ่ยอ๋องอีกครั้ง
….
ไม่กี่วันต่อมาถังหลี่ยุ่งมากเพราะมีเรื่องน่ายินดีสองเรื่องเข้ามาพร้อมกัน
เรื่องแรกคือการแต่งงานระหว่างกู้หวนจิ่นและองค์หญิงจิ้งชู และอีกเรื่องคือการแต่งงานระหว่างไป๋มู่หยางกับตันเหนียง งานแต่งงานของทั้งสองคู่ห่างกันไม่เกินสิบวัน
ถังหลี่อยู่ที่จวนสกุลกู้เพื่อช่วยมารดาของนางเตรียมงานแต่งงาน เดิมทีฝางเหมี่ยวพี่สะใภ้ของถังหลี่จะเป็นคนช่วย แต่เพราะว่านางกำลังตั้งครรภ์อายุได้สองเดือนเท่านั้น นับว่าเป็นช่วงระยะเวลาที่ยังไม่ปลอดภัย ฮูหยินกู้จึงไม่ให้นางมาช่วยงาน งานแต่งงานในครั้งนี้แม่งานหลักจึงเป็นถังหลี่และฮูหยินกู้
ครั้งนี้สกุลกู้ได้เกี่ยวดองกับองค์หญิงแห่งต้าโจว การจัดงาน จึงเป็นไปอย่างเอิกเกริกและเคร่งครัดในเรื่องมารยาท ทุกอย่างที่จัดเตรียมต้องห้ามผิดพลาดแม้แต่น้อย
หลังจากการจัดงานที่แสนวุ่นวายในครั้งนี้ ทั้งนางและมารดาต่างก็ผ่ายผอมลง แน่นอนว่า เจ้าบ่าวอย่างกู้หวนจิ่นย่อมเป็นคนที่ต้องทำงานหนักมากที่สุดทว่าเป็นงานหนักที่ทำให้เขายิ้มและอารมณ์ดีตลอดเวลา
สองวันก่อนงานแต่งงานครั้งใหญ่ แม่ทัพกู้กลับมาร่วมงานได้ แต่น่าเสียดายที่กู้หวนอวี้ต้องประจำอยู่ที่ค่ายทหาร ทำให้ครอบครัวไม่พร้อมหน้าพร้อมตา
พริบตาเดียวก็ถึงวันแต่งงานแล้ว
การแต่งงานในครั้งนี้ยิ่งใหญ่หรูหราแบบไม่เคยมีมาก่อน ทั้งสองฟากถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมาเฝ้าดู เกี้ยวงดงามถูกหามไปยังจวนแม่ทัพ
เสียงฆ้องและกลองดังขึ้นตามธรรมเนียม ขบวนส่งตัวเจ้าสาวและสินสอดยาวตั้งแต่หัวถนนไปจนจรดถึงท้ายถนน แสดงให้เห็นว่าบ่าวสาวคู่นี้ร่ำรวยมากเพียงใด ในที่สุดเกี้ยวก็มาจอดที่หน้าจวนแม่ทัพ เป็นหน้าที่ของเจ้าบ่าวที่ต้องอุ้มเจ้าสาวเข้าไปในจวน เด็กน้อยสองสามคนช่วยกันถือชายกระโปรงตามมา พวกเขาจับมือกันไว้แน่น
ต่อจากนั้นคือพิธีการคำนับฟ้าดิน ครั้งแรกคือการกราบไหว้ฟ้าดิน ครั้งที่สองคือบ่าวสาวคำนับซึ่งกันและกัน ถังหลี่กับเว่ยฉิงอุ้มลูกๆ ไว้ พร้อมกับบุตรที่โตแล้วทั้งสี่คน พวกเขามองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
ถังหลี่ขยับเข้าไปใกล้เว่ยฉิง เขาใช้มือข้างที่ว่างโอบนางเอาไว้ ฮูหยินกู้ที่นั่งเป็นประธานบนยกพื้นสูงของห้องโถงเห็นภาพนี้แล้วก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน บุตรสาวนางแต่งงานแล้ว บุตรชายคนโตและคนที่สามก็แต่งงานแล้วเช่นกัน ตอนนี้เหลือเพียงบุตรคนรองเท่านั้น หากกู้หวนอวี้ได้แต่งงานวันใด นางก็คงหมดห่วง
เมื่อถังหลี่สิ้นสุดการเตรียมงานของกู้หวนจิ่นกับองค์หญิงจิ้งชูแล้ว นางก็ไปช่วยงานแต่งของไป๋มู่หยางต่อ เขาไม่มีญาติที่ไหน ถังหลี่เป็นญาติเพียงคนเดียวของเขา หากแต่เมื่อเทียบกันระหว่างงานแต่งทั้งสองแล้วกลับกลายเป็นว่างานแต่งของไป๋มู่หยางและตันเหนียงนั้นเรียบง่ายกว่ามาก พริบตาเดียวก็ถึงวันที่ฤกษ์งามยามดี
ตันเหนียงเป็นบุตรสาวของสกุลเซี่ย นายท่านเซี่ยดวงตาแดงก่ำ เขาเฝ้ามองบุตรสาวของตัวเองนั่งอยู่บนเกี้ยว แม้จะรู้ว่าไป๋มู่หยางเป็นผู้ชายที่ดี แต่เขาก็อดสะท้อนใจไม่ได้ ท่านป้าของตันเหนียงมีอารมณ์อ่อนไหวเช่นกัน ชีวิตของหลานสาวของนางช่างขมขื่น มีแต่เรื่องไม่คาดฝัน โชคดีที่ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ ตอนนี้หลานสาวนางได้เจอคนรักที่ดี ชีวิตของตันเหนียงต่อไปจะดีขึ้นเรื่อยๆ เกี้ยวเจ้าสาวถูกหามไปถึงจวนสกุลไป๋ ตอนนี้พวกเขาได้เป็นสามีภรรยา รวมเป็นหนึ่งเดียวกันไปจนแก่เฒ่า
ในงานเลี้ยงมีแต่ความสนุกสนานร่าเริง ฮั่วจีว์เมามายใบหน้าแดงก่ำ ตอนแรกก็งานแต่งกู้หวนจิ่น อีกครั้งก็งานแต่งของเหล่าไป๋ ฮั่วจีว์เหมือนโดนทิ้งอยู่ตัวคนเดียว
“ถังถัง พี่เศร้ามากเลย โฮ! ” ฮั่วจีว์กอดขวดสุรา เขาเตรียมกระโจนใส่ถังหลี่แต่ถูกแขนแกร่งของใครบางคนขวางไว้ ฮั่วจีว์เหล่ตามอง เห็นน้องสาวของตนอยู่ในอ้อมแขนเว่ยฉิง แต่ยิ่งเห็นคนทั้งสองใกล้ชิดกันมากเท่าใดเขาก็ยิ่งเศร้ามากขึ้น
ตอนนี้ฮั่วจีว์เหมือนสุนัขเดียวดาย ทั้งๆ ที่กลิ่นหอมของความรักลอยละล่องคลุ้งอยู่ในอากาศ แต่เมื่อได้สูดดมหายใจเข้าไป กลับกลายเป็นกลิ่นเปรี้ยวไปเสีย
ฮั่วจีว์เวียนหัว เดินโซเซกอดขวดสุราออกไป เขาชนกับคนผู้หนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ถึงกับตกตะลึง หญิงตรงหน้าเขา ช่างงดงามเหลือพรรณนา เส้นผมสีดำราวปุยเมฆ คิ้วเหมือนกับภูเขาที่ไกลลางเลือน ผิวขาวผ่อง ใบหน้าบอบบางดูน่าทะนุถนอม เขาผู้เคยเห็นหญิงงามมาแล้วมากมายแต่ไม่เคยเห็นคนที่งามแบบนี้มาก่อนเลย ริมฝีปากของฮั่วจีว์แห้งผากหัวใจเต้นแรง
อาจจะเป็นเพราะเขาดื่มมากเกินไป? ฮั่วจีว์ถูกดึงดูดโดยความงามตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัว