เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 619 อาวุธปืนและสกุลเหยียน
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 619 อาวุธปืนและสกุลเหยียน
บทที่ 619 อาวุธปืนและสกุลเหยียน
หัวใจของฮั่วจีว์เต้นแรงขึ้นทันที
“แม่นาง..เจ้าช่างงดงาม” เขาอยากเอ่ยถามถึงชื่อเสียงเรียงนามของนางว่าเป็นใครมาจากที่ไหนและอาศัยอยู่ที่ใด แต่เขาพูดได้ไม่กี่คำเท่านั้น หญิงสาวดูโกรธมาก นางต่อยเข้าที่ใบหน้าของฮั่วจีว์ทันที
เมื่อฮั่วจีร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ผ่านมาสองวันแล้ว เบ้าตาของเขาเป็นรอยช้ำสีเขียว แต่ภาพของหญิงสาวผู้นั้นยังตราตรึงใจเขาอยู่ เขาเผลอยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนเอง
อ่า…
ช่างเป็นหญิงสาวที่ร้อนแรงจริงๆ ดูเหมือนว่านางจะมีฝีมือพอตัว แต่ก็ดีแล้วจะได้ไม่โดนรังแกง่ายๆ ฮั่วจีว์หัวเราะคิกคัก เขารู้ตัวว่าตอนนี้เขาชอบที่นางเป็นแบบนี้ เขาคิดถึงนาง จึงไปขอดูรายชื่อแขกที่มาในงานแต่งงานของไป๋มู่หยางในวันนั้น
แต่อย่างไรก็ตามแม้จะไล่หาดูสักเพียงใดก็ไม่มีผู้ใดที่ใกล้เคียงกับหญิงสาวคนนั้น ความรักครั้งนี้ของฮั่วจีว์จึงจบลงไปอย่างช่วยอะไรไม่ได้
…..
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จ้าวชูได้ก่อตั้งกองผลิตอาวุธปืนโดยมีเขาเป็นผู้บังคับบัญชา ใช้เวลาเพียงแค่สามเดือน กองอาวุธปืนได้สร้าง ‘เจ้าอสุนีบาต’ ที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูง สร้างความเสียหายได้เหนือกว่าธนูและหน้าไม้มาก
หลังจากที่ฮ่องเต้โจวได้ทอดพระเนตรแสนยานุภาพของ ‘เจ้าอสุนีบาต’ พระองค์ทรงตื่นเต้นและโสมนัสปลาบปลื้มกล่าวยกย่องความสามารถจ้าวชูหลายครั้งหลายหนในท้องพระโรง จนกระทั่งมีคนคาดการณ์ว่าเขาจะได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกัน ขุนนางที่สนับสนุนองค์ชายหกกลับมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เว่ยฉิงยืนอยู่ในท้องพระโรง เมื่อจ้าวชูเห็นเขา สีหน้าเขาผิดปกติไปเล็กน้อย
เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง ในขณะที่เว่ยฉิงกำลังเดินออกไปจ้าวชูรีบเดินตามเขาทันที
“ใต้เท้าอู่” จ้าวชูร้องเรียก
เว่ยฉิงหยุดฝีเท้าหันไปมองอย่างเฉยเมย
“องค์ชายสาม”
จ้าวชูเกลียดท่าทีสงบสุขุมของเว่ยฉิงมาก ทั้งๆ ที่ตอนนี้ใครต่อใครต่างพากันยกยอเขา แต่เว่ยฉิงกลับมีท่าทีไม่รู้ร้อนหนาว หรืออู่อวี้ที่เป็นปรปักษ์กับเขาจะรู้สึกพ่ายแพ้อับอายขึ้นมา?
“ใต้เท้าอู่ ท่านเคยเห็นอานุภาพของ ‘เจ้าอสุนีบาต’ หรือไม่ว่ามันทรงพลังเพียงใด” จ้าวชูจงใจถามขึ้น
“ที่กรมอาญางานยุ่งมาก กระหม่อมยังไม่มีโอกาสได้เห็น” เว่ยฉิงตอบ
“….” จ้าวชูสูดลมหายใจเข้าลึก พูดต่อว่า
“อาวุธนี้ทรงพลังมาก ภายหน้าคงจะพัฒนามากขึ้นกว่านี้ ต่อไปกองทัพของต้าโจวจะแข็งแกร่งและอยู่ยงคงกระพัน”
“อ้อ!” เว่ยฉิงพยักหน้าแสดงความรับรู้ ในขณะที่จ้าวชูบังเกิดโทสะขึ้นมาเป็นริ้ว อู่อวี้ผู้นี้ช่างรู้วิธีกระตุ้นความโกรธของเขา
เขาไม่ได้เปิดเผยความคิดของตน ความต้องการที่แท้จริงของเขาคือสร้างกองทัพอาวุธปืนไว้ในกำมือ ถ้าทุกอย่างสำเร็จเป็นไปได้ดั่งใจ เขาจะมีกองกำลังที่เหนือว่ากองทัพของแม่ทัพกู้ เขารู้ว่าฮ่องเต้มีความหวาดระแวงสกุลกู้ จึงได้สนับสนุนเขามากในเรื่องนี้ สุดท้ายแล้วตำแหน่งองค์รัชทายาทจะตกเป็นของเขาเช่นกัน
จ้าวชูอยากให้อู้อวี้สูญเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ตำแหน่งการงานหรือแม้กระทั่งภรรยาของเขา…
หากถึงตอนนั้นอู่อวี้ผู้นี้คงจะไม่สามารถรักษาใบหน้าเย่อหยิ่งเช่นนี้ไว้ได้อีกเป็นแน่ เขาจะต้องคุกเข่าเพื่ออ้อนวอนตนเอง เมื่อคิดได้แล้วจ้าวชูรู้สึกโล่งใจ
หลังจากที่จ้าวชูออกจากวังหลวง เขาก็ไปที่กองอาวุธปืน ที่นั่นอบอวลไปด้วยกลิ่นดินปืนและผู้คนที่พลุกพล่านไปมา จ้าวชูมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นคนที่เขาอยากจะเจอ
“นายท่านเหยียนอยู่หรือไม่?” จ้าวชูถาม
“นายท่านเหยียนไม่อยู่ขอรับ” ลูกน้องของเขารายงาน
“ท่านอ๋องนี่คือแบบร่างของปืนใหญ่ที่นายท่านเหยียนมอบให้ แต่เขาไม่ได้สอนวิธีทำ พวกช่างจึงไม่สามารถประกอบขึ้นได้” จ้าวชูมองแบบร่าง แล้วเม้มริมฝีปาก
“พาข้าไปหาเขา” นายท่านเหยียนผู้นี้เอาใจยาก ทั้งยังเป็นคนโลภมากอีกด้วย
จ้าวชูเอาของมากมายไปให้เขา กระทั่งเชิญเขามาเมืองหลวง เขาปฏิบัติต่อนายท่านเหยียนในฐานะแขกผู้มีเกียรติ มอบที่พักที่ดีที่สุดให้ ทั้งสุราชั้นดีและสาวงามมากมาย นายท่านเยียนจึงได้สร้าง ‘เจ้าอสุนีบาต’
เมื่อได้จ้าวชูได้รู้ถึงฤทธิ์เดชของ ‘จ้าวอสุนีบาต’ เขาจึงคิดว่าคุ้มค่าที่จะทุ่มเท
ขั้นตอนต่อไปคือการสร้างปืนใหญ่ จ้าวชูไม่รู้ว่านายท่านเหยียนจะต้องการสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยนอีก แต่สำหรับปืนใหญ่แล้ว แม้นายท่านเหยียนจะต้องการดาวบนฟ้า จ้าวชูก็จะไขว่คว้ามาให้เขาให้ได้!
จ้าวชูกลับไปที่จวนรุ่ยอ๋อง เขาหยิบของมีค่าออกมามากมาย จากนั้นจึงได้เดินทางไปยังที่พักอาศัยของนายท่านเหยียน เขาไปนั่งรอที่ห้องรับรองแขก ให้บ่าวรับใช้ไปตามนายท่านเหยียนมาพบ
“ฝ่าบาท นายท่านเหยียนกับแม่นางฮวาเยว่กำลังติดธุระอยู่ ให้กระหม่อมไปตามอีกครั้งหรือไม่พะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้รีบกลับมาอย่างรวดเร็ว
นางฮวาเยว่เป็นนางโลมอันดับหนึ่งในเมืองหลวงที่นายท่านเหยียนพาตัวกลับมา จ้าวชูรีบตอบอย่างกระวนกระวาย
“ข้าจะรอ”
จ้าวชูรอจนมืดค่ำในที่สุดนายท่านเหยียนก็ออกมาพบ เขาเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้าหรือยี่สิบหก หน้าตาธรรมดา ใบหน้าเสื้อผ้าของเขาไม่เรียบร้อยมีร่องรอยบางอย่างที่หน้าอก เมื่อเห็นเขา จ้าวชูรีบลุกขึ้นทันทีเพื่อเชิญให้เขานั่ง นายท่านเหยียนสงวนท่าทีนั่งลงอย่างสุภาพ
“นายท่านเหยียน ข้าได้ของหายากมาจึงอยากนำมาให้ท่านดูสักหน่อย” จ้าวชูพูดด้วยรอยยิ้ม
บ่าวรับใช้นำของเหล่านั้นออกมา นายท่านเหยียนมองดูของที่จ้าวชูนำมาให้ เขาพยักหน้ารับ
“ท่านอ๋องทรงมีพระเมตตา”
ท่าทีของเขาไม่ได้แสดงความพอใจใดๆ
จ้าวชูแอบก่นด่าในใจ ความโลภของเขายังคงเส้นคงวา ใบหน้าของจ้าวชูมีรอยยิ้มประดับอยู่
“นายท่านเหยียน ท่านไม่พอใจที่พักแห่งนี้บ้างหรือไม่?” จ้าวชูยังคงถามต่อไปด้วยความใส่ใจ
“ฮวาเยว่ชอบดอกบัว คงจะดีหากขุดสระปลูกบัวให้นางชมได้”
ปัญหาของที่พักแห่งนี้คือการผันน้ำเป็นไปได้ยากมาก ในตอนแรกเขาต้องการจะสร้างสระน้ำ แต่ก็ต้องล้มเลิกไปเพราะต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรที่มากเกิน แต่ตอนนี้กลับต้องมาสร้างเพราะนางโลมผู้หนึ่ง…ถึงแม้จ้าวชูจะไม่เต็มใจ แต่เขากลับพูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“ข้าจะจัดหาช่างฝีมือมาทำให้”
นายท่านเหยียนเอ่ยขออะไรอีกหลายอย่าง จ้าวชูตกลงตามคำของของเขา เมื่อจ้าวชูพูดถึงปืนใหญ่อีกครั้ง นายท่านเหยียนจึงได้ตอบตกลงที่จะเข้าไปยังกองอาวุธปืนในวันรุ่งขึ้น
…..
หลังจากที่เว่ยฉิงจัดการทุกอย่างได้เสร็จก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว เขาเปลี่ยนเสื้อผ้ากินอาหารเย็น หยอกล้อกับเด็กน้อยทั้งสอง จากนั้นจึงได้มานอนกอดกับภรรยา พูดคุยกระซิบกระซาบกัน แม้จะแต่งงานกันมาเจ็ดแปดปีแล้ว แต่พวกเขายังมีเรื่องให้พูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอ ถังหลี่ถามเขาเรื่องอาวุธปืน เพราะได้ยินเสียงร่ำลือมามาก นางจึงอยากได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้
นางจำได้ว่าในนวนิยายจ้าวชูมีความเชี่ยวชาญด้านการทำอาวุธที่ทรงพลังทั้งปืนไฟและปืนใหญ่ เขาเป็นคนก่อตั้งกองทัพเสิ่นจี้ กองทัพนี้มีกำลังพลเพียงหนึ่งหมื่นนายเท่านั้น แต่ทุกคนมีอาวุธปืนครบมือทำให้พละกำลังไม่ต่างจากกองทัพหนึ่งแสนนายเลยทีเดียว จ้าวชูจึงมีอำนาจมากเพราะกองทัพนี้ของเขา ในที่สุดชายหนุ่มก็ครอบครองโลกใบนี้ได้สำเร็จ
ในนวนิยายจ้าวชูได้พบกับสกุลเหยียน เขาก่อตั้งกองทัพเสิ่นจี้หลังจากที่ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ในตอนแรกถังหลี่คิดว่าลิขิตสวรรค์ที่อยู่กับจูชุนเจียวจะหายไป และหากไม่มีรัศมีของตัวเอกจ้าวชูคงหมดโอกาส แต่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ ถังหลี่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกตินางจึงถามสามีด้วยความสงสัย
“จ้าวชูเชิญนายท่านเหยียนที่รู้วิธีสร้างปืนมา”เว่ยฉิงกล่าว
“สกุลเหยียนมีกฎของตระกูลหรือไม่ว่าห้ามสร้างอาวุธปืน?” ถังหลี่ถาม
ตั้งแต่โบราณมา มีตระกูลมากมายที่มีความลับของตระกูล บางตระกูลก็ใช้ความลับแลกกับความมั่งคั่ง แต่บางตระกูลที่มีความเมตตาต่อส่วนรวมจะเก็บงำเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าสกุลเหยียนคือกรณีหลัง
ทุกวันนี้แผ่นดินอยู่ได้ด้วยสมดุลของสามแคว้นแต่ถ้าหากแคว้นใดแคว้นหนึ่งได้ครอบครองอาวุธปืน ย่อมจะมีสงครามเกิดขึ้น คนที่เดือดร้อนที่สุดย่อมเป็นราษฎร ตระกูลเหยียนจึงมีกฎว่าจะไม่สร้างอาวุธปืน ถังหลี่จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจ้าวชูจึงเชิญคนสกุลเหยียนมาสร้างปืนได้
“ข้าได้ตรวจสอบเรื่องนี้มาแล้ว คนจากตระกูลเหยียนที่จ้าวชูเชิญมาได้คือเหยียนโจว เขาไม่ใช่คนที่มีสายเลือดตระกูลเหยียน เป็นเพียงบุตรบุญธรรมเท่านั้น เหยียนโจวฝ่าฝืนกฎของตระกูลมาสร้างอาวุธปืนเช่นนี้เพราะตอนนี้นายท่านสกุลเหยียนป่วยหนักอาการปางตาย ทำให้พวกเขาไม่มีเวลามาใส่ใจ เหยียนโจวจึงได้หยิ่งผยอง” เว่ยฉิงกล่าว หญิงสาวพยักหน้ารับ เหตุผลเป็นเช่นนี้นี่เอง
เหยียนโจวและจ้าวชูสร้างอาวุธปืนร่วมกัน ตอนนี้จ้าวชูได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ คาดว่าน่าจะได้ตำแหน่งองค์รัชทายาทแน่นอน นั่นไม่ใช่เรื่องดีอะไร ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดสงครามจนผู้คนในแผ่นดินเดือดร้อน
“ฮูหยินไม่ต้องกังวล ข้าจะหาทางแก้ไขปัญหาเอง” เว่ยฉิงพูดพลางกระชับกอดภรรยาไว้ในอ้อมแขน
“ดึกแล้ว นอนกันเถอะ”
ถังหลี่พยักหน้าในอ้อมแขนของเว่ยฉิงอย่างว่าง่าย แต่เมื่อหญิงสาวกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรานางก็จำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
แซ่เหยียนเป็นแซ่ที่หาได้ยากมาก เหยียนเสี่ยวต้วนก็แซ่เหยียน…เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุลเหยียน?
ตอนนี้เหยียนเสี่ยวต้วนหายตัวไปนานแล้ว ถังหลี่ไม่ได้รับจดหมายจากเขาเลยจึงไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะปลอดภัยดีหรือไม่ ทำให้นางรู้สึกเป็นกังวล
แต่สิ่งที่ถังหลี่ไม่ได้คาดคิดก็คือ ไม่กี่วันต่อมานางได้เห็นเหยียนเสี่ยวต้วนจริงๆ!
เย็นแล้ว ..มีคนมาเคาะประตูจวนอู่โหวอย่างเร่งร้อน ถังหลี่ไม่รู้เลยว่าชายมอมแมมสกปรกผู้นั้นคือเหยียนเสี่ยวต้วน จนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตาที่นางคุ้นเคย ดวงตาที่เปล่งเป็นประกายอยู่เสมอของเขาดูเหนื่อยล้าและอับจนสิ้นหนทาง
“ผู้อาวุโสถัง..บิดาของข้าป่วย ท่านช่วยข้าได้หรือไม่..?”