เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 632 เหยียนโจว เป็นคนทรยศ
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 632 เหยียนโจว เป็นคนทรยศ
บทที่ 632 เหยียนโจว เป็นคนทรยศ
เหยียนเสี่ยวต้วนและคุณชายสี่สกุลเหยียนพักผ่อนอยู่หนึ่งวันเต็มๆ เพื่อเตรียมรับมือกับคนทรยศ
คุณชายสี่สกุลเยียนขอให้เป่ยเหยียนขับรถม้าให้ เขาอยากใช้โอกาสนี้แก้แค้นทำให้ผู้ชายคนนี้ขายขี้หน้า แต่ถังหลี่ไม่เห็นด้วย นางรู้ดีว่าคุณชายสี่สกุลเหยียนย่อมมีความแค้นต่อเป่ยเหยียนเป็นธรรมดา ในขณะที่นางกำลังจะให้บ่าวรับใช้มาขับรถม้าให้นั้น เป่ยเหยียนก็พูดขึ้นว่า
“คุณชายสี่ ข้ายินดีและมีความสุขมากที่ได้รับใช้ท่าน” ว่าแล้วเขาก็มองคุณชายสี่สกุลเหยียนด้วยดวงตาดอกท้อที่เต็มไปด้วยความรักใคร่
คุณชายสี่ : (อาเจียน) ! เขาต้องการจะกลั่นแกล้งเป่ยเหยียนให้อับอาย แต่เหตุใดกลายเป็นตัวเขาเองไปได้เล่า?
ถังหลี่ยิ้ม นางยังคงเป็นกังวลว่าเป่ยเหยียนจะถูกรังแก แต่แท้จริงแล้วเขามีลูกล่อลูกชนสูงกว่าคุณชายสี่มากนัก ในที่สุดเหยียนเสี่ยวต้วนและเหยียนซื่อเยว่ จึงเดินทางไปยังกองอาวุธปืนโดยรถม้าที่ขับโดยเป่ยเหยียน
วันนี้ที่กองอาวุธปืน ฮ่องเต้เสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์ด้วย จ้าวชูกล่าวว่าอาวุธปืนชนิดใหม่นี้เรียกว่าปืนใหญ่ ซึ่งสามารถยิงและโจมตีได้ในระยะไกล ใช้สำหรับเมื่อถูกปิดล้อม หากต้าโจวมีของสิ่งนี้ การสู้รบก็จะง่ายขึ้น
“เสด็จพ่อ นี่คือปืนใหญ่ ส่วนอันนี้คือ..” จ้าวชูกล่าวแนะนำโครงสร้างของปืนใหญ่ ฮ่องเต้ทรงรับฟังอย่างตั้งใจ พร้อมกับผงกพระเศียรเป็นบางครั้ง
“ในช่วงนี้นายท่านเหยียนไม่ได้พักผ่อนเลย เขาเร่งสร้างปืนทั้งวันทั้งคืน คาดว่าจะเสร็จในไม่ช้านี้พะย่ะค่ะ”
ที่จริงแล้วเหยียนโจวไม่ค่อยจะได้มาที่นี่บ่อยนัก จะมีแต่ช่างฝีมือของกองอาวุธปืนที่มีงานยุ่งมาก แต่สกุลเหยียนมีชื่อเสียงที่ดีมากอยู่แล้ว ต่อให้เหยียนโจวผู้นี้เป็นคนโลภหรือเกียจคร้าน เขาก็ยังเป็นคนสกุลเหยียนอยู่ดี อาวุธปืนในอนาคตทั้งหมดก็ย่อมขึ้นอยู่กับเขา แม้กระทั่งจ้าวชูยังต้องเอาอกเอาใจเขาเลย ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเหยียนโจวพลางแย้มสรวลตรัสว่า
“ขอบใจในการทำงานหนักของเจ้า” เหยียนโจวไม่ถ่อมตน เขาทูลกลับว่า
“ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาพะย่ะค่ะ” ทันใดนั้นมีเสียงรายงานที่หน้าประตูดังขึ้น
“นายท่านมีผู้ชายสองคนอ้างว่าเป็นคนสกุลเหยียน พวกเขาต้องการที่จะมาหา..” บ่าวรับใช้หยุดชะงัก เดิมทีพวกเขาใช้คำว่าต้องการมาหา ‘คนทรยศ’ แต่เขากลับใช้คำว่า ‘มาหานายท่านเหยียน’ แทน
จ้าวชูแปลกใจ หรือว่าจะส่งคนมาเพิ่มเพื่อชี้แนะมากขึ้นกว่าเดิม หรืออาจจะเป็นเพื่อนเก่าของนายท่านเหยียนก็เป็นได้ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งมีความสุข หากเขามีความสัมพันธ์กับสกุลเหยียนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเหยียนโจวได้ยิน เขาประหลาดใจเช่นกัน หรือว่าท่านอาของเขาจะได้รับตำแหน่งท่านประมุขไปแล้ว นางส่งคนมาคอยช่วยเหลือเขาหรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งสองคนจึงได้ออกไปพบผู้มาเยือนที่ห้องโถงรับรองแขก แต่ฮ่องเต้ย่อมมีสถานะที่พิเศษต่างกับผู้อื่น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าเฝ้าเขาได้ เพียงแต่ทรงสงสัยว่าแขกผู้มาเยือนจะเป็นใคร จึงทรงหลบเข้าไปอยู่หลังฉากในห้องโถง
สักพักจึงได้มีคนภายนอกเข้ามา ผู้ชายคนหนึ่งอายุน้อยกว่ายี่สิบปี ส่วนอีกคนอายุไม่เกินสามสิบปี ท่าทางสุภาพ พอเหยียนโจวเห็นทั้งคู่ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที เป็นพวกเขาไปได้อย่างไร!
“กรุณานั่งลงเถอะ” จ้าวชูให้การต้อนรับ “พวกท่านเป็นคนสกุลเหยียนหรือ?”
คุณชายสี่สกุลเหยียนกล่าวตอบว่า
“ผู้นี้คือนายน้อยสกุลเหยียน ส่วนข้าคือคุณชายสี่สกุลเหยียน” เหยียนเสี่ยวต้วนยกศีรษะและยืดอกขึ้นยิ้มอย่างเคร่งขรึมทำให้ดูมีสง่าพอที่จะหลอกสายตาคนได้
นายน้อยสกุลเหยียนหรือ? เขารู้แต่เพียงว่า เหยียนโจวมาจากสกุลเหยียนแต่ไม่รู้สถานะของเขา แน่นอนว่า เขาจะไปมีสถานะดีกว่านายน้อยสกุลเหยียนได้อย่างไร
ดวงตาของจ้าวชูมองเหยียนเสี่ยวต้วนเป็นประกายโดยหารู้ไม่ว่าเหยียนเสี่ยวต้วนรังเกียจเขา เขาเป็นบ่าวรับใช้ของถังหลี่มานานถึงสามปี เขาจะไม่รู้เชียวหรือว่าจ้าวชูเป็นศัตรูกับเหล่าถัง ชายผู้นี้ทั้งเจ้าเล่ห์และเลวทราม เหยียนเสี่ยวต้วนเกลียดเขามาก แต่ในตอนนี้เขามีสถานะเป็นนายน้อยของสกุลเหยียนถือได้ว่าเป็นตัวแทนของสกุลเหยียน เขาย่อมแสดงอารมณ์ทางสีหน้าไม่ได้อย่างที่อยากจะทำ
“ท่านทั้งสองมาที่นี่เพราะ…”บราวนี่ออนไลน์
เหยียนเสี่ยวต้วนพูดขึ้นต่อทันที
“จัดการกับคนทรยศ”
จ้าวชูผงะนิ่งอึ้งไป
คุณชายสี่สกุลเหยียนกล่าวเสริมขึ้นว่า “เหยียนโจวเป็นคนทรยศของสกุลเหยียน เขาขโมยภาพวาดอาวุธปืนของสกุลเหยียนมาทำอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต”
ในที่สุดจ้าวชูจึงได้รับรู้ว่าคนทรยศที่พวกเขาพูดถึงคือเหยียนโจวนั่นเอง
เหยียนโจวเป็นคนทรยศ!?
เป็นไปไม่ได้! หากเขาเป็นคนทรยศนั่นมิได้หมายความว่าเขาก่อศัตรูกับคนสกุลเหยียนแทนที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีหรอกหรือ? หากทำอาวุธปืนต่อไปไม่ได้ ความไว้วางใจและความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมีต่อเขาจะมลายหายไปในพริบตา ความพยายามที่ผ่านมาจะกลายเป็นไร้ประโยชน์ เขาจะตกจากก้อนเมฆลงสู่ปลักโคลน เขารับไม่ได้!
“พวกเขาพูดจาไร้สาระ!” เหยียนโจวพูดอย่างเย็นชา “ท่านอ๋องอย่าได้ทรงเชื่อพวกเขาเป็นอันขาด ข้าเป็นคนสกุลเหยียน พวกเขาเป็นตัวปลอม ไสหัวไป!”
ใช่พวกเขาพูดจาไร้สาระ! ในขณะที่จ้าวชูกำลังจะพูดขึ้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“พวกเจ้าจะพิสูจน์ตนได้อย่างไรว่าเป็นคนสกุลเหยียนที่แท้จริง และนายท่านเหยียนผู้นี้คือคนทรยศ” ในตอนนั้นเองบุรุษท่าทางสง่างามเดินออกมาจากหลังฉาก เป็นฮ่องเต้โจวนั่นเอง
ใบหน้าของจ้าวชูซีดเผือด เดิมทีเขาต้องการจะจัดการกับสองคนผู้นี้เสีย แต่ลืมไปว่าเสด็จพ่อของเขาประทับอยู่ในห้องโถงนี้ด้วย
เหยียนเสี่ยวต้วนไม่รู้จักฮ่องเต้ก็จริง แต่หลังจากเห็นท่าทางของผู้คนในห้อง เขาก็พอคาดเดาได้
“มีจดหมายมาจากท่านประมุข” เหยียนเสี่ยวต้วนมอบจดหมายให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร ในจดหมายได้ระบุให้นำตัวคนทรยศกลับมาโดยนายน้อยเหยียน และมีตราประทับในจดหมาย เพื่อใช้เป็นการยืนยันตัวตนของนายน้อยเหยียนและคุณชายสี่สกุลเหยียน
ฮ่องเต้โจวทอดพระเนตรตราประทับอย่างครุ่นคิด
พระองค์เคยได้เห็นตราประทับของสกุลเหยียนมาก่อนแล้ว แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าตราประทับที่แท้จริงเป็นอย่างไร สำหรับพระองค์แล้วไม่ว่าจะเป็นคนสกุลเหยียนที่แท้จริงหรือไม่ก็ตามตราบใดที่สร้างอาวุธปืนให้ต้าโจวได้…
แต่กระนั้นก็ไม่อาจที่จะทำให้คนสกุลเหยียนขุ่นเคืองได้ ไม่เช่นนั้นหากสกุลเหยียนแปรพักตร์ไปสร้างอาวุธปืนให้แคว้นอื่น นั่นย่อมจะเป็นภัยใหญ่หลวงต่อต้าโจว
จ้าวชูได้อ่านจดหมายฉบับนั้นด้วย
“ถึงจะมีจดหมายมาก็ไม่อาจพิสูจน์ตัวตนของพวกท่านได้ หรือว่าท่านจะสร้างปืนขึ้นแล้วเอามาให้ข้าดู?”
เหยียนเสี่ยวต้วนสบถเบาๆ “ไม่ได้!”
คุณชายสี่สกุลเหยียนกล่าวว่า “สกุลเหยียนของเรามีกฎของบรรพบุรุษว่า ห้ามนำดินปืนไปใช้ทำอาวุธปืน นั่นเป็นสาเหตุที่นายน้อยได้ปฏิเสธ”
“แล้วพวกท่านจะพิสูจน์ตัวตนได้อย่างไรมาท่านเป็นคนสกุลเหยียน” จ้าวชูถาม
“เหยียนโจวเป็นคนทรยศ เขาขโมยภาพวาดมา เขาไม่รู้วิธีสร้างอาวุธปืน” คุณชายสี่สกุลเหยียนตอบ
“แต่เขาสร้าง ‘เจ้าอสุนีบาต’ได้” จ้าวชูตอบ
“อสุนีบาตและพายุคะนองเป็นอาวุธพื้นฐาน คนในสกุลเหยียนย่อมรู้และสร้างได้อยู่แล้ว แต่ถ้ายากไปกว่านี้ เขาไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก” คุณชายสี่กล่าวตอบอย่างมั่นใจ
“เหลวไหล นายท่านเหยียนกำลังสร้างปืนใหญ่” คุณชายสี่เหยียนหันไปมองเหยียนโจวกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม
“เจ้ารู้วิธีสร้างปืนใหญ่หรือ?” เหยียนโจวหลบสายตา
“นายท่านเหยียนย่อมรู้อยู่แล้ว” จ้าวชูตอบแทน
ฮ่องเต้โจวตรัสขึ้นมาว่า “พวกท่านแต่ละคนล้วนมีหลักการเป็นของตนเอง ยากนักที่จะพิสูจน์ได้ว่าสิ่งไหนจริงสิ่งไหนปลอม แคว้นต้าโจวของเราให้ความเคารพต่อสกุลเหยียนเป็นอย่างมาก หากมีใครคิดทำอันตรายต่อสกุลเหยียน เราย่อมไม่คิดจะปล่อยไว้เป็นแน่ ด้วยเหตุนี้จึงอยากได้หลักฐานเพื่อที่จะได้ตัดสินและพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้”
ฮ่องเต้โจวทอดพระเนตรตรงไปที่คุณชายสี่เหยียนและเหยียนเสี่ยวต้วน
“ท่านทั้งสองคงจะต้องอาศัยอยู่ในต้าโจวสักระยะหนึ่ง ขนบธรรมเนียมและประเพณีของต้าโจวมีความน่าสนใจมากทีเดียว ข้าจะส่งคนไปรับรองพวกท่านเอง” หลังจากตรัสจบ ทรงหันพระพักตร์มายังเหยียนโจวอีกครั้ง
“นายท่านเหยียน ท่านคิดว่าจะใช้เวลานานเพียงใดในการสร้างปืนใหญ่?”
ที่จริงแล้ว นายท่านเหยียนยังไม่แน่ใจดีนัก เพราะความรู้แค่ครึ่งๆ กลางๆ ของเขา! เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จากนั้นจึงทูลตอบอย่างไม่มั่นใจ
“ไม่แน่ใจว่าจะเป็นสักกี่เดือนกันแน่ การสร้างปืนใหญ่เป็นงานที่ยากมาก”
“สิบวัน!” ฮ่องเต้โจวตรัส “สิบวันขอให้นายท่านเหยียนสร้างปืนใหญ่ให้เสร็จตามกำหนด เพื่อพิสูจน์ว่าท่านเป็นคนสกุลเหยียนอย่างแท้จริง นายท่านเหยียนคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่?”
พระสุรเสียงแข็งกร้าว จนทำให้เหยียนโจววิงเวียนศีรษะจนอยากคิดปฏิเสธโดยพลัน จ้าวชูรู้จักเสด็จพ่อของเขาเป็นอย่างดี เขารู้ว่านายท่านเหยียนไม่มีสิทธิปฏิเสธ หากเขาปฏิเสธนั่นย่อมเป็นการยืนยันว่าเขาทำปืนใหญ่ไม่ได้! ตอนนี้ปืนใหญ่ก็จวนเจียนจะเสร็จแล้ว จ้าวชูจึงคิดว่าเวลาเพียงสิบวันน่าจะพอ เขาจึงพูดขึ้นว่า
“นายท่านเหยียนมาจากสกุลเหยียน ย่อมไม่มีปัญหา”หากส่ายหน้าปฏิเสธย่อมไม่ใช่คนสกุลเหยียน
เหยียนโจวไม่รู้ว่าเขาได้ลงเอยถูกนำมาย่างบนกองไฟได้อย่างไร ซ้ำยังเป็นการไล่เป็ดขึ้นคอนอีกด้วย เขาจึงได้แต่พยักหน้ารับ เรื่องจึงได้ยุติลงเช่นนี้
เหยียนเสี่ยวต้วน และคุณชายสี่สกุลเหยียนจึงมีสถานะเป็นแขกผู้มีเกียรติ และได้อาศัยอยู่ในลานที่พลุกพล่านแห่งหนึ่ง
“ฮ่องเต้โจวผู้นี้เป็นจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ” คุณชายสี่สกุลเหยียนปรารภขึ้นมา ฮ่องเต้ไม่เชื่อผู้ใดจนกว่าจะได้ข้อพิสูจน์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความโกรธเคืองต่อสกุลเหยียน พวกเขาสองคนจึงไม่ได้คัดค้านวิธีจัดการเช่นนี้
“สิบวัน เหยียนโจวสร้างปืนใหญ่ไม่ทันอย่างแน่นอน” เหยียนเสี่ยวต้วนกล่าว
“ต่อให้สิบเดือนด้วยซ้ำ”
“ถ้าเช่นนั้นก็รอเฝ้าชมการแสดงได้เลย” คุณชายสี่เอ่ยในขณะที่สายตายังคงเอาแต่วนเวียนจ้องมองหญิงงามอย่างห้ามใจไม่อยู่
“สาวงามในแคว้นต้าโจวช่างมากมายเหลือที่จะนับได้ ทั้งผิวก็บอบบาง ช่างต่างกับสาวงามในแคว้นต้าฉียิ่งนัก..”
“ท่านอาสี่..ความงามย่อมมีพิษทำร้ายผู้คน ท่านต้องระวังตัวอย่าได้ถูกผู้อื่นเอาเปรียบ” คุณชายสี่เหยียนพยักหน้ารับ
“ข้ารู้แล้ว” แต่กระนั้นภายในใจก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้