เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 65 ซื้อร้าน
บทที่ 65 ซื้อร้าน
จุดแดง….
ภูมิแพ้?
“สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่?” ถังหลี่ถาม
“ไม่เคยเจ้าค่ะ” หลู่ชิงส่ายหัว
“เป็นลูกค้าใหม่หรือ?”
“ทั้งสามคนเป็นลูกค้าเก่าของเป่าชิงเก๋อเจ้าค่ะ”
คนที่ไม่เคยแพ้มาก่อนแต่ตอนนี้ออกอาการภูมิแพ้เมื่อใช้ชาดของร้านเดิมหรือ? ถังหลี่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างดูผิดปกติ แต่ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในร้าน
“คุณหนู!”
คนที่เพิ่งเข้ามามีนามว่าหลู่หยวน เป็นเด็กที่พ่อของหลู่ชิงรับมาเลี้ยงเขาเป็นเหมือนพี่ชายของนาง
“พี่หยวน มีเรื่องเกิดขึ้นที่โรงงานหรือ?” หลู่ชิงร้องออกมา
เป่าชิงเก๋อมีโรงงานผลิตชาดในนั้นมีคนงานร่วมสามสิบชีวิต ต่อมาเมื่อกิจการแย่ลงเรื่อย ๆ การเลี้ยงพนักงานจำนวนมากไว้เป็นเรื่องยาก แต่ทว่าหลู่ชิงก็ไม่เคยละเลยคนเหล่านี้ คนงานทุกคนล้วนเป็นคนเก่าแก่ที่อยู่กับบิดาของนางมาหลายปี อีกทั้งพวกเขายังไม่มีอาชีพอื่นและไม่มีที่จะไป นางจึงทำได้เพียงกัดฟันสู้เท่านั้น
“คุณหนู เงินเดือนที่คั่งค้างได้รับการจ่ายไปหมดแล้ว แต่เงินที่ท่านให้ล่าสุดนั้นก็ร่อยหรอเต็มที เดือนหน้า…เดือนหน้าข้าก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะทำอย่างไร” หลู่หยวนกล่าวอย่างกังวล
“พี่หยวน ข้าจะหาวิธีนะ” หลู่ชิงเม้มริมฝีปาก
“คุณหนู ฟังข้านะเจ้าไม่ต้องกังวล เก็บเงินไว้สำหรับตัวเจ้าเองและฮูหยินเถิด สุขภาพของฮูหยินไม่ดีเราต้องใช้เงินซื้อยาอีกมาก อย่านำเงินส่วนตัวออกมาจ่ายจนหมด!”
หลู่หยวนพูดอย่างขมขื่น หลู่ชิงกัดฟันแน่นนัยน์ตาของนางฉายแรงฮึดสู้ หญิงสาวพยักหน้ารับ
“ข้ารู้แล้วพี่หยวน ข้าจะทบทวนดูอีกที”
หลังจากกล่าวจบหัวใจของหญิงสาวก็ด้านชา นางไม่รับรู้อะไรอีก รวมถึงคำกล่าวลาของถังหลี่ ที่ขอตัวกลับอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่หลู่หยวนออกจากเป่าชิงเก๋อ เขาก็เดินมาที่ร้านขายชาดอีกแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าปลอดคนแล้วเขาจึงก้าวเข้าไปด้านใน
“เถ้าแก่โจว สุดท้ายแล้วหลู่ชิงก็เป็นเพียงหญิงสาวอ่อนประสบการณ์เท่านั้นนางไม่สามารถอดทนต่อไปได้นานเป็นแน่ เพียงเวลาไม่กี่วันท่านจะได้สูตรของชาดในราคาต่ำและเป่าชิงเก๋อจะต้องเปลี่ยนเจ้าของอย่างแน่นอน!”
“ก่อนหน้านั้นตอนที่ท่านต้องการเป็นหุ้นส่วนเป่าชิงเก๋อ แต่นายท่านหลู่ชุ่นกลับปฏิเสธ ใครจะคิดว่าตอนนี้ท่านสามารถครอบครองเป่าชิงเก๋อได้และลงทุนน้อยกว่าเดิมถึงหนึ่งในสิบส่วน หากหลู่ชุ่นรู้เข้าล่ะก็คงโกรธข้ามากจนเปิดฝาโลงมาแหกอกข้าอย่างแน่นอน เถ้าแก่โจว ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในกำมือของท่านแล้ว”
หลู่หยวนพยักหน้าพลางโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างประจบสอพลอ เถ้าแก่โจวนั่งเอนกายอย่างสบายใจ ใบหน้าแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์
“หลู่หยวนเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมาก ใครจะคิดว่าสุนัขที่หลู่ชุ่นเลี้ยงไว้อย่างเจ้าจะทำเช่นนี้…”
“แน่นอนข้าย่อมมองการณ์ไกล การเลือกเข้าหาท่านย่อมเป็นเรื่องที่ฉลาด อีกประการหนึ่งก็เป็นเพราะนายท่านหลู่ชุ่น ปฏิบัติต่อข้าเหมือนวัวเหมือนม้ามาตลอดหลายปี ข้าอุทิศตนให้เป่าชิงเก๋อ แต่เขากลับยกมันให้บุตรสาวจนหมดสิ้น ไม่เห็นหัวข้าสักนิดแม้แต่สูตรชาดแดงก็ไม่ยอมบอกข้า” ดวงตาของหลู่หยวนแฝงไปด้วยความไม่พอใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วง หากข้าครอบครองเป่าชิงเก๋อได้แล้วล่ะก็ ตำแหน่งหลงจู๊ร้านหลักจะต้องเป็นของเจ้าอย่างแน่นอน”
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอขอบคุณเถ้าแก่โจวล่วงหน้าเลยขอรับ”
ทั้งสองส่งยิ้มให้แก่กัน
…..
เมื่อถังหลี่กลับมาที่เป่าชิงเก๋ออีกครั้ง นางได้พบกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขามีรูปร่างอ้วนและมีติ่งหูที่ห้อยยาน
“โต๊ะตัวนี้เก่าเกินไปต้องเปลี่ยน นอกจากนี้เสาต้นนี้ยังส่งผลถึงฮวงจุ้ยและกระจกสีทองก็ต้องเปลี่ยน แม่นางหลู่ร้านแห่งนี้มีปัญหาเกินไป ดังนั้นเงินหนึ่งพันตำลึงที่เจ้าเรียกมานั้นแพงเกินไป” ชายวัยกลางคนทำหาดูรังเกียจ
“เถ้าแก่โจว เป่าชิงเก๋อของเราไม่ได้มีเพียงแค่ร้านนี้เท่านั้นแต่ยังมีโรงงานผลิตอีกด้วย และสิ่งสำคัญคือสูตรชาด เดิมทีสูตรนี้ก็มีมูลค่าหลายพันตำลึงแล้ว” หลู่ชิงกล่าว
“แม่นางหลู่เจ้ายังคิดว่าทุกอย่างยังเหมือนในอดีตอีกหรือ? ชื่อเสียงของเป่าชิงเก๋อแปดเปื้อนไปแล้วเพราะสูตรชาดของเจ้า และลูกค้าหลายคนก็มีปัญหาเพราะชาดของเจ้า ใครจะกล้าซื้อสูตรของเจ้าเล่า? พ่อเจ้าช่างน่าขันนัก อย่างไรเสียก็เป็นเพื่อนเก่าแก่ที่รู้จักกันมาหลายปี ข้าจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ เอาไปเถอะสามร้อยตำลึง”
สามร้อยตำลึง? นี่ไม่ใช่แค่ราคาถูกแต่เรียกว่าให้เปล่ายังได้!!
หากมารดาของนางไม่ได้ป่วยหนักกะทันหันจนไม่สามารถหาหมอรักษาได้ หลู่ชิงคงไม่ยอมตัดใจขายมันหรอก
“เถ้าแก่โจว หากข้าแยกทุกอย่างออกแล้วขายเฉพาะร้านนี้จะมีค่าสามร้อยตำลึงใช่หรือไม่?” หลู่ชิงกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา
“คุณหนูตระกูลหลู่ อย่าลืมสิว่าเงื่อนไขข้อหนึ่งที่เจ้าจะขายเป่าชิงเก๋อให้ข้าก็คือข้าต้องรับคนงานเอาไว้ทุกคน สามสิบกว่าชีวิตและให้เงินเดือนพวกเขาเหมือนเดิม หากไม่มีเงื่อนไขในข้อนี้ข้าจะเพิ่มเงินให้เจ้าทันที”
“ไม่! พวกเขาคือคนเก่าแก่ของเป่าชิงเก๋อ พวกเขาทำงานให้สกุลหลู่มาหลายปีแล้ว ข้าไม่อาจลอยแพพวกเขาได้” หลู่ชิงกล่าว
“แม่นางหลู่เจ้ามีจิตใจดีมีคุณธรรม แต่เจ้าไม่อาจบังคับให้ข้าจ่ายเพื่อความมีเมตตามีคุณธรรมของเจ้าได้หรอกนะ?”
ใบหน้าของหลู่ชิงซีดลงและฉายแววไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
“คุณหนู ตอนนี้ท่านต้องการเงิน หากท่านยังอยู่ตัดสินใจเร็วขึ้นอีกหนึ่งวัน คนงานในโรงงานก็จะได้ค่าจ้างเพิ่มอีกหนึ่งวัน ท่านรีบตัดสินใจเถิด ท่านขายบ้านเพื่อนำเงินมาหมุนในเป่าชิงเก๋อจนข้าและภรรยาต้องไปเช่าบ้านอยู่ แต่หากท่านตัดสินใจวันนี้ ท่านสามารถนำเงินสามร้อยตำลึงไปซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ และมีชีวิตที่ดีได้” หลู่หยวนแนะนำ
“เถ้าแก่โจว ท่านจะสามารถให้คำมั่นกับข้าได้หรือไม่ว่าชื่อของ เป่าชิงเก๋อ จะคงอยู่เช่นเดิม” หลู่ชิงถอยหลัง
“แม่นางหลู่เจ้าล้อเล่นหรือ? ตอนนี้ชื่อเสียงของเป่าชิงเก๋อเหม็นโฉ่วคลุ้งไปทั่ว หากข้ายังเปิดกิจการภายใต้ชื่อเป่าชิงเก๋อข้าจะค้าขายของได้อย่างไร? หากแผ่นป้ายชื่อเป่าชิงเก๋อยังแขวนอยู่แบบนี้ ข้าคงมีแต่โชคร้าย คุณหนูตระกูลหลู่…เจ้าควรรีบให้ใครสักคนมาปลดป้ายลงได้แล้ว”
หลู่ชิงจ้องไปที่มือของนางด้วยสีหน้าวิตก
เป่าชิงเก๋อ…โชคร้าย….
ชื่อของเป่าชิงเก๋อคงดับสูญลงในมือของนาง …นางรู้สึกผิดกับบิดาเหลือเกิน
“แม่นางหลู่เจ้าจะขายหรือไม่? ให้คำตอบมาเร็ว! ข้าไม่ได้ว่างทั้งวันหรอกนะ”
“คุณหนูตกลงเถิด เถ้าแก่โจวเป็นผู้เสนอราคาที่สูงสุดในหมู่ผู้ซื้อแล้ว เถ้าแก่โจวให้เงินถึงสามร้อยตำลึง เจ้ารีบคว้ามันไว้เถิด”
“แม่นางหลู่”
“คุณหนู..”
เสียง ‘หึ่งๆ” ดังขึ้นในหูของนาง ใบหน้าของหลู่ชิงซีดเผือด นางมีอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดจวนเจียนจะระเบิด แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีมือหนึ่งมาโอบกอดตัวนางไว้
“แม่นางหลู่ นั่งลงก่อนเถอะ”
น้ำเสียงนุ่มนวลและผ่อนคลายทำให้หัวของหลู่ชิงเจ็บปวดน้อยลง และปลอดโปร่งมากขึ้น หญิงสาวให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายโดยการนั่งลงและมองไปที่อีกฝ่าย
“นายหญิง…”
ใช่ แล้ว!เป็นถังหลี่นั่นเอง
ถังหลี่จับมือของหลู่ชิงเอาไว้ นางบีบมือของถังหลี่อย่างลืมตัว หลู่ชิงตื่นตระหนกกับเสียงเร่งเร้าของทั้งสองคนนั่น แต่เมื่อนางได้จับมือของถังหลี่เอาไว้ นางก็ค่อยได้สติขึ้น หญิงสาวทรุดตัวลงนั่ง
ถังหลี่เฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่สักครู่ นางพอจะเข้าใจสาเหตุแล้ว บิดาของหลู่ชิงสิ้นลมทำให้นางต้องบริหารร้านเป่าชิงเก๋อด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นเถ้าแก่โจวจึงใช้ประโยชน์ตรงนี้ฮุบเอาเป่าชิงเก๋อไปและบังคับให้ขายด้วยราคาถูกแสนถูกยิ่งกว่าซื้อกะหล่ำปลีเสียอีก!
“แม่นางหลู่”
เถ้าแก่โจวกำลังจะอ้าปากพูด แต่โดนถังหลี่ขัดจังหวะขึ้นมา
“เจ้าไม่เห็นหรือว่านางไม่สบาย ให้นางพักสักครู่ได้หรือไม่?”
เถ้าแก่โจวเห็นหญิงสาวตัวเล็กแลดูบอบบาง แต่นางกลับมีฝีปากที่ดุร้ายพูดจาออกมาแต่ละคำฟังไม่รื่นหูเอาเสียเลย ใบหน้าของเขาจึงบึ้งตึงขึ้นมา
“ข้ากำลังพูดเรื่องกิจการสกุลหลู่ เจ้ามาเกี่ยวข้องอะไรด้วย?”
“อ้อ! ข้าก็สนใจกิจการนี้เช่นกัน”
“กิจการที่ข้ากำลังพูดถึงใช้เงินไม่กี่ร้อยตำลึง แต่สตรีเช่นเจ้าจะมีเงินไม่กี่ร้อยตำลึงมาซื้อร้านชาดหรือ? ”
“ก็แค่เงินสองร้อยตำลึงไม่ใช่หรือ? แม่นางหลู่เจ้าสามารถขายมันให้ข้าได้หรือไม่? เงินห้าร้อยตำลึง ข้าสัญญากับเจ้าว่าชื่อจะยังคงไว้เช่นเดิม ที่แห่งนี้ยังคงถูกเรียกว่าเป่าชิงเก๋อ” ถังหลี่กล่าว
************