เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 687 เข้าสู่เมืองอวิ๋นเฟิง
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 687 เข้าสู่เมืองอวิ๋นเฟิง
บทที่ 687 เข้าสู่เมืองอวิ๋นเฟิง
วันถัดมา
ถังหลี่พร้อมด้วยคณะจึงออกเดินทาง จ้าวจิ่งซวนมีองครักษ์สองคนช่วยพยุงไป ไม่รู้เป็นเพราะเขายังบาดเจ็บอยู่หรือจะเป็นเพราะเศร้าโศกที่ต้องพลัดพรากจากอาฮวา เขาจึงเงียบขรึมลงไม่ค่อยพูดจากับใคร
ในระหว่างทา งพวกเขาเดินผ่านภูเขาและที่ราบ พบเห็นหมู่บ้านหลายแห่งคล้ายหมู่บ้านของอาฮวา แต่พวกเขาไม่พยายามเข้าไปข้องแวะและสื่อสารให้น้อยที่สุด ถังหลี่ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูงเนื่องจากกังวลว่าจะเจอกับชาวบ้านที่ต่อต้านคนภายนอกอย่างรุนแรง จนถึงกับต้องการเผาให้ตายทั้งเป็นเมื่อพบเห็น
แม้บางหมู่บ้านจะไม่ได้มีกฎที่เข้มงวดถึงเพียงนั้นก็ตามที ก็ยังมีความระแวดระวังต่อคนนอกอย่างเข้มงวด ต่อให้พวกเขามีเครื่องรางคอยป้องกันภัยคือหวังหยูก็ตาม ถ้าหากชาวเผ่าเหล่านั้นต่อต้านหรือต้องการทำร้ายพวกเขา ถังหลี่อาจจะเปิดเผยสถานะและตัวตนของหวังหยู แต่หวังหยูไม่ต้องการที่จะกลับไปยังเยว่เฉิง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง ถังหลี่จึงไม่อยากให้เขาเป็นที่สะดุดตาจนเกินไป
พวกเขาเก็บตัวไม่สุงสิงกับผู้ใดจนทำให้การเดินทางเป็นที่ราบรื่นมาตลอด
ห้าวันต่อมาจึงได้มาถึงเมืองใหญ่โตมีกำแพงสูงตะหง่าน สง่างาม นี่เป็นเมืองเดียวที่มีการทำเครื่องหมายเอาไว้ โดยอาฮวา นางเขียนหนังสือไม่เป็นจึงวาดเป็นรูปเมฆเอาไว้แทน เมื่อเห็นข้อความบนกำแพง ถังหลี่จึงได้รู้ชื่อของเมืองนี้
เมืองอวิ๋นเฟิง
คำที่สลักอวิ๋นเฟิงเอาไว้ดูเก่าคร่ำคร่า เมื่อซานเป่าเห็น ตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมา ถนนสายนี้กันดารแห้งแล้งมาตลอดทาง จนในที่สุดก็มาถึงเมืองที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้ ซานเป่าอยากเข้าไปชมดู
“ท่านแม่ เร็วเข้า รีบไปดูกันเถอะเจ้าค่ะ” ซานเป่าใจร้อนเร่งเร้ามารดา
ถังหลี่พยักหน้าให้บุตรสาว นางก้มหน้าลงกระซิบกับซานเป่า
“พูดให้น้อยลงหน่อย หลังจากเข้าไปแล้วอย่าได้เปิดเผยตัวตนให้มากนัก”
หลังจากกำชับดีแล้ว ถังหลี่จึงเดินนำเข้าไป มีผู้อื่นเดินตามหลังมาไม่ห่าง พวกเขาเดินไปยังตลาดที่มีคนพลุกพล่าน แต่ความเจริญกลับด้อยกว่าต้าโจวมากนัก บรรดาสินค้าที่วางขายมีความแปลกและแตกต่างไปจากต้าโจว
โดยส่วนใหญ่สินค้าที่ขายจะเป็นหนังสัตว์ กระดูกสัตว์ เขาสัตว์ นอกจากนั้นยังมีเสื้อผ้าและอาหาร ดูเป็นของแปลกและหายากกว่าในต้าโจว
ซานเป่ากวาดตามองทุกอย่าง แต่แล้วก็หมดความสนใจอย่างรวดเร็ว นางอยากดูเนื้อปิ้งย่างมากกว่าดูของสวยงามเหล่านั้น
ทั้งกลุ่มเดินเลาะจากตลาดไปจนกระทั่งถึงโรงเตี๊ยม ถังหลี่พูดสำเนียงเลียนเสียงท้องถิ่น แผนของนางคือต้องการที่จะพักอยู่ในเมืองอวิ๋งเฟิงสักหนึ่งคืน จากนั้นก็ตุนเสบียงและเตรียมเดินทางต่อ
นางพบว่าในขณะนี้ เงินเป็นปัญหาใหญ่ พูดตามตรงก็คือ พวกนางไม่มีเงินเลย เงินของชาวเผ่าโบราณจะเป็นเขาสัตว์ชนิดหนึ่งขนาดเท่านิ้ว เงินต้าโจวกลายเป็นขยะที่ใช้ไม่ได้ไปในทันที
ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้เงินเลย ถังหลี่จึงไม่ได้ฉุกใจคิดถึงปัญหานี้ ในตัวของถังหลี่มีเงินตำลึงอยู่มากมาย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนยากไร้ไปเสียแล้ว!
“ขออภัย เราไม่มีเงินที่จะเข้าพักในโรงเตี๊ยม” นางพูดอย่างไม่เต็มใจ เถ้าแก่ไม่มีท่าทีหงุดหงิด เขายิ้ม
“ออกจากที่นี่เดินตรงไปสุดทาง เลี้ยวขวาจะมีที่ให้พักผ่อนได้”
ถังหลี่กล่าวขอบคุณ พาทุกคนออกจากโรงเตี๊ยมเมื่อออกมาจากทุกคนพากันชะงัก ถังหลี่เองก็หยุดเดินเช่นกัน
ซานเป่าตกใจ นางร้องว่า
“ท่านแม่ เสือ!” ถังหลี่มองไปเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งขี่เสือเดินตรงมาหาพวกเขา ข้างกายล้อมรอบไปด้วยผู้คน ดวงตาของคนผู้นั้นจับจ้องมองซานเป่าอย่างประสงค์ร้าย ถังหลี่ขมวดคิ้ว ก้าวเดินไปปกป้องซานเป่าเอาไว้ข้างหลังของตนเอง ดวงตาของชายหนุ่มผู้นั้นจ้องมองถังหลี่ เขากวาดสายตาขึ้นลงมองนางอย่างรังเกียจแล้วเอ่ยว่า
“หน้าตางดงามอยู่หรอก เสียแต่อายุมากไปสักหน่อย” คำพูดของชายผู้นี้กระตุ้นโทสะถังหลี่ให้ลุกโพลง นางกำหมัดแน่น อยากจะชกใครบางคน
“อยู่โรงเตี๊ยมกระจอกเช่นนี้จะไปดีได้อย่างไร มากับข้าเถอะ ข้าจะพาไปอยู่บ้านหลังใหญ่!” ชายหนุ่มขี่เสือเกลี้ยกล่อม
“ข้าไม่สนใจบ้านหลังใหญ่ของเจ้า ออกไปให้พ้นทางข้า!” ถังหลี่ตวาด
“ข้าไม่ได้เจรจากับเจ้า ยายเฒ่า!” ชายหนุ่มผู้นั้นชะเง้อไปที่ด้านหลังของถังหลี่ แล้วพูดชักชวนด้วยน้ำเสียงเกลี้ยกล่อม
“สาวน้อย! เจ้าติดตามข้ามาอยู่คฤหาสน์หลังงามของข้าเถิด เจ้าอยากกินอาหารเช่นใดย่อมได้กิน ไม่ต้องทำงานมีคนรอรับใช้เจ้าอยู่มากมาย”
เขาแน่ใจว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่มาจากถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ย่อมถูกเขาล่อลวงได้ง่าย
ซานเป่าที่ยืนอยู่ด้านหลังถังหลี่เบิกตากว้าง นางไม่ได้ให้ความสนใจกับคำพูดของคนผู้นี้ แต่นางกลับตกใจ
เขากล้าเรียกมารดาของนางว่า ‘ยายเฒ่า’หรือ?
มารดาของนางจะไม่โกรธเคืองหรืออย่างไร? ต่อให้มารดาไม่เอ่ยปาก ซานเป่ายินดีจัดการให้ท่านแม่เอง!
คิดแล้วนางก็ตวัดแส้ที่อยู่มือของตนฟาดเข้าที่หน้าของชายหนุ่มผู้นั้น
เขาถูกฟาดเข้าที่หน้าจนเกือบจะตกจากหลังเสือ
“สาวน้อยตัวเหม็น!เจ้ากล้าตีข้าหรือ?”
“&&*%¥!”
มารดามันเถอะ! ข้าไม่ใช่แค่จะทุบตีเจ้า แต่ยังจะเอาชีวิตเจ้าอีกด้วย!
แส้ในมือของซานเป่าตวัดอีกครั้ง คราวนี้ตวัดเข้าที่คอ กระชากเขาจนตกจากหลังเสือ!
ชายคนนั้นล้มลงกับพื้น คนที่รายล้อมเขารับกรูเข้ามาช่วยกันพยุงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน! ท่านสบายดีหรือไม่ขอรับ?”
“พวกเจ้าคิดว่าข้าสบายดีงั้นหรือ?” ชายหนุ่มใช้มือปิดใบหน้าที่ช้ำและบวมของตน “แม่งเอ๊ย! ไปสอนบทเรียนให้เด็กตัวเหม็นคนนี้สักหน่อยสิ!”
คนกลุ่มนั้นเร่งรีบเข้ามาทำตามคำสั่ง
เจ้ากล้าสอนบทเรียนให้ซานเป่าหรือ? ตู้เย่และหวังหยูย่อมไม่ยอมอยู่แล้ว ทั้งสองคนเข้าโจมตี จนทำให้ผู้ติดตามของชายหนุ่มผู้นั้นพากันล้มลง
ระหว่างที่พวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่อย่างชุลมุน ชายหนุ่มปีนขึ้นไปบนหลังเสือ เขาวิ่งหนีไปอย่างจนตรอก กระนั้นยังไม่วายประกาศศักดาของตนเอง
“ข้าแซ่เหยา รอข้าก่อนเถอะ!” เขาหายไปจากท้องถนน ผู้ติดตามเองก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งตามเขาไปเช่นกัน
ถังหลี่เฝ้ามองกลุ่มคนที่ลุกลี้ลุกลนวิ่งหายลับไปอย่างครุ่นคิด ไม่ว่าไปที่ไหนๆ ย่อมไม่อาจหลีกพ้นผู้มีอิทธิพลได้ ดูเหมือนชายคนนี้จะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา
นี่เป็นถิ่นของผู้อื่น นางกระทำการบุ่มบ่ามเช่นนี้ จะทำให้เกิดปัญหาตามมาหรือไม่?
สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหาหนทางออกจากที่นี่ให้ได้
“ปัญหามาเยือนเจ้าจะนิ่งเฉยทนได้หรือ?” ถังหลี่ลูบผมของบุตรสาว หากซานเป่าไม่ได้เคลื่อนไหว อาจจะเป็นถังหลี่ที่จะลงมือจัดการเองก็เป็นได้
“เอาเถอะ! เรามาสืบเรื่องคนแซ่เหยาก่อน เตรียมพร้อมที่จะรับมือ” ถังหลี่เอ่ยขึ้น “ตอนนี้ไปหาที่พักผ่อนกันก่อนเถอะ”
พวกเขาเดินไปตามทางที่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแนะนำ จากนั้นจึงได้เห็นลานกว้างมีคนจำนวนมากกำลังพักผ่อนกันอยู่ ที่นี่มีที่หลบฝนหลบแดด ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว ถังหลี่หามุมๆ หนึ่งได้ ทั้งกลุ่มจึงได้นั่งลงพักผ่อน
พวกเขาได้กินเสบียงที่ชาวบ้านให้มาหมดลงแล้ว จากนั้นจึงได้ทำการล่าสัตว์หาเหยื่อมาตามรายทาง ตอนนี้ทุกคนจึงพากันหิวโหยมาก
ตู้เย่พาซานเป่าและหวังหยูออกไปหาของกิน ถังหลี่ให้คนไปสืบเรื่องผู้ชายแซ่เหยาคนนั้น หลังจากที่ได้สอบถามจึงได้รู้ว่าเหตุใดเขาจึงได้หยิ่งผยองอวดเบ่งได้ถึงขนาดนั้น ชนเผ่าโบราณไม่มีนามสกุล อาทิเช่น หมู่บ้านอาวา ชาวบ้านจะเรียกชื่อกันว่า อามู่ อาฮวา อาหวัง จริงๆแล้วตามธรรมเนียม ชื่อของพวกเขาจะเป็นพยางค์เดียวและจะมีคำว่าอาอยู่ข้างหน้า
ผู้ที่จะมีแซ่หรือสกุลได้ จะต้องมีสถานะที่มั่นคง ในตระกูลโบราณเช่นนี้จะมีสองสกุลที่โดดเด่นเท่านั้นคือสกุลเหยาและสกุลเยว่
ธิดาเทพจะถูกเลือกขึ้นมาโดยธิดาเทพคนก่อน ในขณะที่ตระกูลพ่อมดศักดิ์สิทธิ์จะมาจากสกุลเหยาหรือสกุลเยว่เท่านั้น
พ่อมดศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบันมาจากสกุลเหยา หลังจากที่เขาได้เข้ารับตำแหน่งสืบทอด สถานะของสกุลเหยาจึงได้โดดเด่นเหนือกว่าสกุลเยว่มากนัก
“มีผู้กล่าวถึงนายน้อยเหยาผู้นี้ว่า เขาเป็นหลานชายของพ่อมดศักด์สิทธิ์ เขาอยู่ในเมืองอวิ๋นเฟิงมาพักใหญ่แล้ว”
“ท่านเจ้าเมืองให้ความเคารพนับถือเขาเป็นอันมาก ไม่มีใครกล้าทำให้เขาขุ่นเคืองใจ ไม่เช่นนั้นหากเขาไปฟ้องร้องกับพ่อมดศักดิ์สิทธิ์แล้วถ้าหากพ่อมดส่งสารหาเทพเจ้า เทพเจ้าอาจสั่งให้ลงโทษเขา”
ถังหลี่คิดอย่างมีเหตุผลว่า หากนายน้อยเหยารังแกชาวบ้าน เทพเจ้าควรจะลงโทษเขา จะมาลงโทษชาวบ้านผู้ถูกรังแกได้อย่างไร
หลังจากครุ่นคิดแล้วถังหลี่จึงสรุปได้ว่า เทพเจ้าคือเครื่องมือที่พ่อมดศักดิ์สิทธิ์ใช้เพื่อปกครองและควบคุมชาวเผ่าอู๋
“ใช่แล้ว! หากพวกเจ้าได้พบเจอเขา ก็เลี่ยงเขาไปเสียจะดีกว่า อย่าได้ไปมีเรื่องทำให้เขาขุ่นเคืองได้”
ถังหลี่คิดว่าพวกนางทำให้เขามีโทสะ ดูเหมือนว่าคงจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ควรเร่งออกจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุด
ณ จวนเจ้าเมือง
ชายหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งเข้าไปในห้องอย่างโกรธเกรี้ยว
“ใต้เท้าอวิ๋น พวกเจ้าในเมืองอวิ๋นเฟิงรังแกข้า ท่านต้องจัดการเรื่องนี้ให้ข้าอย่างยุติธรรม” นายน้อยเหยาพูดอย่างโมโห
ด้านหลังโต๊ะมีชายวัยกลางคนหน้าตาใจดีนั่งอยู่ เขาเป็นเจ้าเมืองอวิ๋นเฟิงชื่อว่าอวิ๋นเทา
“นายน้อยเหยา ท่านเป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นจมูกและใบหน้าที่ช้ำบวม อวิ๋นเทารีบลุกขึ้นช่วยพยุงให้เขานั่ง ถามด้วยความกังวลทันที
“ชาวเมืองอวิ๋นเฟิงของข้ารังแกท่านถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“ใช่!” นายน้อยเหยาโกรธจัด
“คนที่ทำช่างกล้าจริงๆ กล้าทำเช่นนี้กับนายน้อยเหยาได้อย่างไร?” อวิ๋นเทาโกรธมาก “พวกเขาหน้าตาอย่างไร?”
“เป็นเด็กผู้หญิงอายุสิบเอ็ดสิบสองปี องครักษ์ของนางอายุประมาณยี่สิบหน้าตาเหมือนผู้หญิง และยังมีสตรีอีกผู้หนึ่งหน้าตาสวยงามแต่ดูมีอายุ….” นายน้อยเหยาอธิบายลักษณะถึงคนที่ทุบตีเขา
“นายน้อยเหยา ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปล่อยคนพวกนี้ไปเป็นอันขาด ข้าจะส่งคนไปจับกุมพวกเขา และให้คำอธิบายแก่ท่าน”
นายน้อยเหยาโกรธมาก แต่หลังจากอวิ๋นเทาปลอบใจ ความโกรธเขาจึงได้บรรเทาลง
“คนอื่นให้ท่านสั่งขังและลงโทษให้รุนแรง ส่วนสาวน้อยคนนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าจะจัดการนางเอง!”
“ได้ ข้าจะส่งคนไปจัดการทันที ในเมื่อท่านได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ รีบไปพักก่อนเถอะ ข้าจะเรียกหมอมาดูท่านเอง”
อวิ๋นเทาเรียกบ่าวของเขาให้มาส่งนายน้อยเหยากลับไปยังที่พัก
เมื่อนายน้อยเหยาจากไป สีหน้าของอวิ๋นเทาแปรเปลี่ยนไป สีหน้าเขาส่อแววไม่อดทน
“ท่านเจ้าเมือง ท่านต้องการจับกุมผู้ที่ทุบตีนายน้อยเหยาหรือไม่?”
ชายสองคนอยู่ในห้องหน้าตาคล้ายคลึงกัน คนหนึ่งชื่อเฟิงเหยียน ส่วนอีกคนชื่อเฟิงเยว่ เฟิงเหยียนเป็นคนอ่อนโยน สง่างาม ในขณะที่เฟิงเยว่เก่งทั้งบู๊และบุ๋น ทั้งคู่เป็นคนสนิทของเจ้าเมือง
เป็นเฟิงเยว่ที่พูดขึ้นมาเมื่อครู่
“จุ๊ๆๆ เจ้าไม่รู้อารมณ์ของเหยาจู้หรอกหรือ? เขาโดนผู้อื่นทุบตีเพราะเขารังแกราษฎรในเมืองอวิ๋นเฟิงของข้าทุกวัน! หากข้าไม่กลัวว่าพ่อมดศักดิ์สิทธิ์จะทำให้ข้าเดือดร้อนแล้วล่ะก็ ข้าคงอดไม่ไหวที่จะทุบตีเขาด้วยตัวข้าเองเสียแล้ว!” ตอนนี้ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นผู้ใจดีพ่นน้ำลายออกมาราวกับมังกรพ่นไฟ
เฟิงเยว่และเฟิงเหยียนชินเสียแล้ว
“ช่างน่ารำคาญนัก พวกเขาใช้อิทธิพลครอบงำเมืองอวิ๋นเฟิงของข้ามากขึ้นทุกวัน เฟิงเยว่เจ้าทำทีส่งคนสักสองสามคนไปค้นหาผู้ที่รังแกเหยาจู้ แล้วหาข้ออ้างมาอธิบายให้เขาฟังทีเถอะ” อวิ๋นเทาออกคำสั่ง
“ขอรับ ท่านเจ้าเมือง”เฟิงเยว่รับคำแล้วออกเดินไป
อวิ๋นเทายังไม่หายโมโห เขาอดบ่นต่อไปไม่ได้ว่า
“หากภาษีในเมืองอวิ๋นเฟิงยังเก็บไม่ได้ครบ เหยาจู้ก็ยังไม่ไปสักที ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะล่าช้าเสียที่ไหน แต่ภาษีที่สูงมากเกินไปเช่นนี้ มิเท่ากับตั้งใจจะถลกหนังชาวเมืองอวิ๋นเฟิงของเราหรอกหรือ?..อา..ตั้งแต่เหยาเจี๋ยกลายเป็นพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ชีวิตของเราชาวอวิ๋นเฟิงมีแต่จะแย่ลงทุกวัน ..นี่ถ้าหากสกุลเยว่ได้เป็นพ่อมดศักดิ์สิทธิ์แทนแล้วล่ะก็พวกเราคงจะไม่…”
“ท่านเจ้าเมือง..ท่านพูดจาระวังหน่อยเถิด” เฟิงเหยียนเอ่ยปราม อวิ๋นเทาหายใจเข้าลึก เขาดึงคำพูดกลับลงท้องของตนไป