เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 708 นางจำเขาได้
บทที่ 708 นางจำเขาได้
“อาโหรว” เหยาเซินเรียกน้ำเสียงของเขาอ่อนโยนมาก
“ท่านพี่ นั่นท่านหรือ?” เยว่โหรวมีความสุขมาก ใบหน้าของนางเกือบคล้ายปกติ นางโผเข้าไปในอ้อมแขนของเหยาเซิน
เขากอดนางแน่นราวกับว่าอยากหลอมร่างกายให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อที่จะไม่ให้มีผู้ใดพรากจากพวกเขาไปได้อีก
อามู่และอาฮวามองบิดามารดาด้วยดวงตาแดงก่ำ
ดีจริงๆ ท่านแม่จำท่านพ่อได้
“กอดข้าแน่นเกินไปแล้ว…” เยว่โหรวพูดเบาๆ
“รีบพาข้าออกไป ถ้าสองคนนั่นมาเห็นเข้าคงไม่ดีแน่” เหยาเซินปล่อยนางอย่างไม่เต็มใจนัก “ข้าไม่รู้ว่าอามู่พาเสี่ยวฮวาไปไหน เขายังไม่กลับมาเลย”
เหยาเซินมองไปที่ประตูตรงลูกทั้งสองยืนอยู่ แต่ดูเหมือนว่าอาโหรวจะมองไม่เห็นพวกเขา รอยยิ้มของเหยาเซินชะงักค้าง หัวใจของเขาเหมือนถูกแช่ด้วยน้ำแข็ง นานมากกว่าที่เขาจะหาเสียงของตัวเองเจอ
“อาโหรว..ลูกเราก็ยืนอยู่นี่ไง” เขาชี้ไปที่อามู่และอาฮวา นางมองไปที่เหยาเซินด้วยความโกรธ
“เสี่ยวฮวาเพิ่งจะหัดเดินเอง อาเซินเจ้าอย่าเหลวไหล”
“อาโหรว เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกัน” น้ำเสียงของเหยาเซินแหบแห้ง
“หมู่บ้านอาวาไง” นางพูด “โอ๊ะ! เสี่ยวฮวาร้องไห้แล้ว ข้าจะไปปลอบลูกก่อน”
พูดจบนางก็รีบวิ่งไปในห้อง เมื่อเขาตามไปก็เห็นว่าภรรยาตัวเองกำลังกอดหมอนและปลอบโยนอยู่เบาๆ
ในตอนแรกนางบอกว่าอามู่พาเสี่ยวฮวาออกไปแล้ว แต่ต่อมาก็ทำท่ากอดหมอน หมอนใบนั้นคือเสี่ยวฮวาในจินตนาการของนาง ความผิดปกตินี้แม้ว่าเหยาเซินจะไม่อยากยอมรับแต่เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงได้
อาโหรวของเขาเสียสติไปแล้ว..
“ท่านยายบอกว่าท่านแม่ไม่กินไม่ดื่มเอาแต่พูดถึงพวกเราจนสุดท้ายท่านก็เสียสติ” อาฮวากล่าว
นางเข้าใจว่าบิดาของนางรู้สึกอย่างไร เพราะแม้จะผ่านมาหลายวันแล้วนางก็ยังยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้เลย
“อาโหรว…ทั้งหมดมันเป็นความผิดของข้าเอง เพราะเจ้าหนีตามข้ามา เจ้าเลยต้องทนทุกข์เช่นนี้” เหยาเซินพูดเสียงเบา
อาโหรวของเขาแข็งแกร่งและกล้าหาญ เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าอาโหรวจะสิ้นหวังและเศร้าหมองมากเพียงใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ มันเป็นความผิดของเขาเอง
หลายปีก่อนในงานพิธีถวายเครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนั้นเขาอยู่ในฐานะทายาทสกุลเหยา นั่งอยู่เคียงข้างบิดาของตนเอง ในงานพิธีผู้คนในเผ่าอู๋ซานต่างเต้นรำอยู่รอบๆ กองไฟ หญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดสีขาว นางเต้นรำงดงามดุจเทพธิดา เมื่อเห็นนาง เขาแทบละสายตาจากนางไปไม่ได้
ตอนแรกอาโหรวไม่ชอบเขา นางเกลียดความแข็งกร้าวและตรงไปตรงมาของเขา แต่ไม่นาน เขาก็เอาชนะใจอาโหรวได้ ทั้งสองตกหลุมรักกัน
เหยาเซินโทษตัวเองว่า ถ้าตอนนั้นเขารู้ว่านางเป็นหญิงในสกุลเยว่ เขาจะเลือกปล่อยมือไปจากนาง แทนที่จะจับมือนางแล้วพากันหนีไปใช้ชีวิตร่วมกัน หากเลือกปล่อยมือกัน อาโหรวคงไม่เสียสติเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเอง เขาเป็นคนลากอาโหรวมาจมอยู่ในโคลนตมเหล่านี้
เหยาเซินเอาแต่โทษตัวเอง
“ท่านพ่อ..ท่านแม่จะเสียใจนะ” อาฮวาพูด
“ท่านแม่รักท่านมาก รวมถึงรักพี่ชายและข้าด้วย นางไม่เสียใจที่ได้รักท่านและให้กำเนิดพวกเราอย่างแน่นอน”
เหยาเซินรีบเช็ดน้ำตาทันที มาถึงตอนนี้คงไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งเสียใจ หากย้อนเวลาไปได้เขาก็จะเลือกนางเช่นเดิม
ยังดีที่สวรรค์ที่เมตตายอมให้พวกเขาทั้งสี่คนได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันในวันนี้
หลังจากนี้เขาจะต้องทำดีกับอาโหรวให้มากเพื่อชดเชยที่นางต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้
“ท่านพี่ มาช่วยข้าปลอบนางที นางร้องไห้มานานแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้น เหยาเซินคลี่ยิ้มอ่อนโยนทันที
“ลูกสาวของพ่อต้องการให้พ่อปลอบหรือ? ข้ามาแล้ว” เหยาเซินเดินเข้าไปกอดหมอนที่อยู่ในอ้อมแขนของอาโหรวจากนั้นก็กล่อมเบาๆ ไม่นานเขาก็กระซิบกับภรรยา
“เสี่ยวฮวาหลับแล้ว”
“หลับแล้วหรือ” เยว่โหรวยิ้ม การกลับมาครั้งนี้ของเหยาเซินทำให้นางรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ความระแวดระวังที่มีต่ออามู่และอาฮวาลดน้อยลง นางมองไปที่อาฮวาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“น้องสาว เหตุใดข้าคิดว่าเจ้าดูคุ้นตานะ”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ” อาฮวากล่าว
“เจ้ามาที่นี่ทำไมหรือ?”
“ข้ามาพบมารดาของข้า”
“นางอยู่ที่ไหนหรือ?”
“นางจำข้าไม่ได้”
“โธ่..แม่หนู ช่างน่าสงสาร แล้วเกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่มคนนี้ล่ะ?”
เยว่โหรวมองอามู่ด้วยความตกใจ เอนตัวไปกระซิบที่ข้างหูของอาฮวา
“เขาไม่ชอบข้าหรือ? เขาถึงได้มองข้าแบบนั้น?”
“เขาเป็นพี่ชายของข้าเอง เขาแค่หน้าตาดุดันเท่านั้น ความจริงแล้วเขาชอบท่านมาก” อาฮวาตอบ
เยว่โหรวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารัก มาร่วมกินอาหารกับข้าก่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ” อาฮวาพูดด้วยรอยยิ้ม
แม้สภาพจิตใจของนางจะไม่ปกติ แต่นางยังมีทักษะในการทำอาหาร อาฮวากับเยว่โหรวจึงช่วยกันทำกับข้าว
“สาวน้อย เจ้ามีฝีมือ”
“ท่านแม่ของข้าเป็นคนสอน”
“ลูกสาวตัวน้อยของข้ากำลังร้องไห้” เยว่โหรวนิ่งฟังด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ท่านไปกล่อมลูกก่อนเถิด ที่เหลือเป็นหน้าที่ของข้าเอง”
เยว่โหรวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งไปปลอบบุตรสาว
ในช่วงเย็น เหยาเซินพาเยว่โหรวไปนั่งที่โต๊ะโดยมีอาฮวาและอามู่นั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน
“เชิญเลยๆ” เยว่โหรวพูดด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเด็กทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อพวกเขาได้กินอาหารฝีมือของมารดา ความทรงจำในอดีตก็หวนคืนอีกครั้ง
“เป็นเช่นไรบ้าง อาหารไม่อร่อยหรือ?”
“อาหารของท่านรสชาติเหมือนที่แม่ข้าทำมาก” น้ำเสียงของอาฮวาปนเสียงสะอื้น
“ร้องไห้ทำไม? กินข้าวดีกว่านะ” เยว่โหรวคีบผักให้กับอาฮวา เมื่อนางเห็นว่าเด็กหนุ่มมองด้วยสายตาที่ปรารถนา นางจึงคีบเนื้อให้เขาหนึ่งชิ้น เขามองเนื้อชิ้นนั้นราวกับว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า เขาค่อยๆ ละเลียดกินทีละคำกับข้าวหนึ่งชาม หลังจากที่มื้ออาหารจบลง อาฮวากำลังจะไปทำความสะอาด แต่ก็ถูกเยว่โหรวไล่ออกมา
“เจ้าเป็นแขกไปนั่งเถิด อาเซินมาช่วยข้าที” เยว่โหรวเรียกสามี อาฮวาและอามู่เดินออกไปก็เห็นร่างที่คุ้นเคยยืนรออยู่
“ท่านยาย?”
ผู้เฒ่าเยว่ยืนถือไม้เท้าอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่านางมาตั้งแต่เมื่อไร? นางทำท่าหันหลังเดินกลับไป อาฮวารีบเดินเข้าไปประคองทันที
“อาโหรวไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานแล้ว” น้ำเสียงของนางอ่อนลงครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็แข็งกร้าวเช่นเดิม
“เพื่อที่จะเป็นผู้นำสกุลเยว่ เจ้าต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ อีกมาก จากนี้ไปในตอนเช้าเจ้าต้องมาหาให้ข้าสั่งสอนเจ้า”
“เจ้าค่ะท่านยาย” อาฮวารับคำ
ผู้เฒ่าเยว่มองไปที่อามู่ เด็กคนนี้ดูเหมือนเหยาเซินมากเกินไป ทำให้นางไม่ค่อยชอบเขามากนัก
“เจ้าอยู่ดูแลมารดาของเจ้าก็พอ” ผู้เฒ่าเยว่พูดอย่างเย็นชา
“ขอรับ”
อาฮวาสัมผัสได้ถึงอคติที่ยายมีต่อพี่ชายของนาง เด็กสาวหันไปยิ้มปลอบใจพี่ชายตัวเองแต่อามู่ส่ายหน้าไปมา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ตอนนี้เขามีความสุขมาก ได้พบกับบิดามารดา ได้กลับมาอยู่ด้วยกันและยังได้กินอาหารร่วมกันอีกด้วย ทุกสิ่งที่เขาเคยฝันเอาไว้ เป็นจริงแล้ว มารดาจำบิดาได้ ตราบใดที่เหยาเซินอยู่ช่วยปลอบประโลมนาง ไม่ช้ามารดาจะกลับเป็นปกติได้เช่นเดิม
เหยาเซินยังบอกนางอ้อมๆ อีกว่าอาฮวาคือเสี่ยวฮวาที่โตขึ้นแล้ว แต่เยว่โหรวไม่เชื่อคิดว่าเขาล้อนางเล่น
เขาพานางไปยังสถานที่ที่เคยไปด้วยกันมาก่อน ที่ที่พวกเขาพบกันครั้งแรกใต้แสงจันทร์ ร้านอาหารที่เคยไป สถานที่ที่คุ้นเคย เขาหวังว่าสักวันหนึ่งอาโหรวจะฟื้นคืนสติขึ้นมา
แต่หาก…นางจำไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็จะอยู่กับนางตลอดไป
….
หลังจากที่อู๋หลี่เข้ามาสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ ซานเป่าก็มอบงานทั้งหมดให้แก่เขา ทำให้นางเป็นธิดาเทพที่ว่างงาน เมื่อซานเป่าไม่มีอะไรทำ นางจึงไปเที่ยวในสถานที่น่าสนใจกับถังหลี่ คือที่บ่อฮัวหลง ซึ่งว่ากันว่าเป็นที่อยู่ของพาหนะเทพเจ้า เช่น มังกร ต่อมาจึงได้กลายเป็นสถานที่ที่มีผู้คนมาสวดมนต์ภาวนา และมีรูปปั้นมังกรจำลองคล้ายของจริงตั้งอยู่
คู่รักวัยกลางคนยืนพิงกัน อยู่ตรงข้ามกับซานเป่าและถังหลี่เมื่อฝ่ายหญิงอธิษฐานจบลงแล้ว นางจึงหันไปมองหน้าฝ่ายชาย พวกเขาต่างยิ้มให้กัน
ซานเป่าประสานมือของนาง ขอพรให้บิดามารดามีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขและเป็นที่รักของผู้คน ขอให้พี่น้องทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและ เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน
เมื่อซานเป่าขอพรให้ครอบครัวแล้ว นางคิดถึงพวกเขาเป็นอย่างมาก ทั้งบิดา พี่ชาย น้องสาวและน้องชายของตนเอง
“ซานเป่า…แม่จะกลับต้าโจวแล้วนะ” ถังหลี่ลูบศีรษะของบุตรสาว ถึงแม้นางจะไม่อยากปล่อยมือ แต่นางก็ตัดสินใจพูดออกมา