เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 714 ภารกิจสืบสวนของเว่ยฉิง
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 714 ภารกิจสืบสวนของเว่ยฉิง
บทที่ 714 ภารกิจสืบสวนของเว่ยฉิง
ฮ่องเต้โจวเรียกตัวเว่ยฉิงเข้าไปในวังหลวง
ตอนนี้ฮ่องเต้โจวกำลังประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ พระเกศาขาวโพลน บริเวณรอบพระเนตรมีแต่ริ้วรอย ทรงพระชราภาพลงไปมาก แต่ยังมีทีท่ากระฉับกระเฉง อาจเป็นเพราะพระโอรสที่พระองค์ปรารถนาให้สืบราชบัลลังก์กลับมาโดยสวัสดิภาพ พระอารมณ์จึงดียิ่ง
“ใต้เท้าอู่ มีบางอย่างที่น่าสงสัยเกี่ยวกับกลุ่มโจรที่ลอบโจมตีซวนเอ๋อร์ ข้าอยากให้เจ้าสืบว่าใครกันแน่ที่ต้องการจะสังหารว่าที่องค์รัชทายาทของข้า” ฮ่องเต้โจวกล่าว
เว่ยฉิงก้มศีรษะลงตั้งใจฟัง
ความเป็นจริงแล้ว ทุกคนสามารถคาดเดาได้ว่าหากจ้าวจิ่งซวนตายไป ใครกันที่จะได้ผลประโยชน์มากที่สุด แน่นอนว่าย่อมเป็นจ้าวชู แต่หากไม่มีหลักฐานแน่นหนาย่อมไม่สามารถที่จะยืนยันความผิดและคลี่คลายเรื่องนี้ได้ ฮ่องเต้โจวจึงทรงมีพระประสงค์ให้เก็บทุกอย่างเป็นความลับ เมื่อพบหลักฐานแล้ว จ้าวชูจะได้ดิ้นไม่หลุด
การเคลื่อนไหวของฮ่องเต้ในครั้งนี้นั้น เป็นได้ประการเดียวนั่นคือความอดทนของพระองค์ที่มีต่อจ้าวชูได้ถึงที่สุดแล้ว การโจมตีเขากลับก็เพื่อเปิดทางให้จ้าวจิ่งซวนสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้นั่นเอง
เว่ยฉิงตกลงรับภารกิจนี้อย่างเต็มใจ เขาตั้งใจที่จะผลักให้จ้าวชูให้ตกลงไปในจุดที่ต่ำที่สุด
“กระหม่อมจะปฏิบัติตามกฎหมายและจัดการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดพะย่ะค่ะ” เว่ยฉิงกล่าว
ฮ่องเต้พยักหน้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอู่อวี้คือคนที่พระองค์ไว้วางพระทัย รองจากต้วนโส่วฝู่ที่เป็นมือขวาของพระองค์ เพราะอู่อวี้มีความภักดีและเก่งกาจ ทั้งยังไม่เคยเข้าฝักใฝ่ฝ่ายใด
น่าเสียดายที่ต้วนโส่วฝู่อายุมากขึ้น สุขภาพก็แย่ลงตามลำดับ ยิ่งช่วงเวลาที่อากาศหนาวเช่นนี้จึงทำให้ล้มป่วยหนัก จนต้องลาพักราชการไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว โชคดีที่พระองค์ยังมีอู่อวี้ ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งตรงไปตรงมาแต่ไม่อวดรู้ แม้จะดูเหมือนคนโผงผางแต่ความจริงกลับเป็นคนที่ทำงานระมัดระวังมาก สามารถจัดการกับเรื่องราวต่างๆ ได้เป็นอย่างดีและน่าเชื่อถือ ในระหว่างที่เขาครองตำแหน่งเจ้ากรมอาญาก็ได้จัดการปัญหามากมาย ความจงรักภักดีที่เขามี ทำให้ฮ่องเต้ทรงวางพระทัย นอกจากนี้พระองค์ยังทรงจดจำน้ำใจของฮูหยินอู่ได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่ทุกอย่างคลี่คลายลงแล้วพระองค์ทรงมีแผนในพระทัย ตั้งใจจะพระราชทานรางวัลให้ ทรงเล็งเห็นว่าเสนาบดีในสภาขุนนางได้ล้มป่วยไปถึงสองคนแล้ว หลังจากคดีนี้จบสิ้นลง ย่อมโดนปลดออกจากตำแหน่ง เมื่อถึงเวลานั้นอู่อวี้ย่อมเข้ามาเป็นเสนาบดีในสภาขุนนางได้
เว่ยฉิงออกจากวังหลวงไปที่กรมอาญาและเริ่มงานสืบสวนทันที
เดิมทีคดีที่จ้าวจิ่งซวนถูกโจมตีจากโจรป่าอยู่ในการดูแลของกรมนครบาลหลวง รายงานทั้งหมดจึงอยู่ที่นั่น เว่ยฉิงจึงได้ส่งคนไปนำหลักฐานทั้งหมดมาที่กรมอาญา หลังจากที่ได้รับรายงานแล้วเขาอ่านอย่างละเอียด จากนั้นก็เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาซักถาม นอกจากนี้ยังไปที่สำนักฮั่นหลินเพื่อสอบถามผู้ที่เกี่ยวของกับจ้าวจิ่งซวนอีกด้วย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เขาจึงกลับมาที่กรมอาญาอีกครั้งและวิเคราะห์ทุกอย่าง
เว่ยฉิงพบว่า จากการสืบสวนเป็นไปได้มากที่มีการสร้างหลักฐานขึ้นมาใหม่
ในเวลานั้นคุณชายรองสกุลเหลียงพร้อมกับเจ้าหน้าที่ทางการและกำลังคนของเขา ได้กวาดล้างฐานที่มั่นสุดท้ายของโจรป่าสำเร็จแล้ว ในขณะที่จ้าวจิ่งซวนยังคงพักผ่อนอยู่ในเมืองเล็กๆ จากนั้นจ้าวจิ่งซวนได้รับจดหมายจากท่านลุงรองของตนให้ไปพบกันที่เมืองอื่น แต่ระหว่างการเดินทางเขากลับโดนลอบโจมตีจากกลุ่มโจร เรื่องที่น่าแปลกใจก็คือแม้ว่าพวกเขาจะสวมชุดเหมือนโจรป่าแต่เห็นได้ว่าทุกคนถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี คันธนูและลูกธนูไม่ใช่ของธรรมดาที่โจรป่าจะมีไว้ในครอบครอง น่าเสียดายที่ไม่สามารถจับเป็นใครไว้ได้เลย
หลังจากที่จ้าวจิ่งซวนหายตัวไป สกุลเหลียงเองก็ตรวจสอบเรื่องนี้เช่นกัน แต่ก็ตรวจสอบไม่ได้ว่าโจรพวกนั้นมาจากไหน? หลักฐานสุดท้ายที่มีก็เป็นเพียงลูกธนูไม่กี่ดอกที่มือสังหารใช้
เว่ยฉิงพิจารณาลูกธนูที่ถืออยู่ในมือ ซึ่งกรมอาวุธได้ยืนยันแล้วว่าลูกธนูนี้ผลิตขึ้นในมณฑลหลง เมืองวั่งเซี่ยน เนื่องจากที่นั่นมีเหมืองเหล็กอยู่ ราชสำนักจึงสร้างคลังอาวุธเพื่อผลิตอาวุธ ลูกธนูที่ได้จากเมืองนี้ จึงมีความแข็งแรงและมีคุณภาพดี
“ในเมื่อลูกธนูเหล่านี้ใช้เฉพาะในราชสำนักเท่านั้นแล้วจะไปตกอยู่ในมือของพวกโจรได้อย่างไร?” กรมอาวุธตั้งคำถามขึ้นมา
เพราะเหตุใดนะหรือ? ก็เพราะคนเหล่านั้นไม่ใช่โจรแต่เป็นคนจากราชสำนักทั้งสิ้น
เว่ยฉิงคิดว่าเขาจะต้องหาหลักฐานเพิ่ม ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะต้องเดินทางไปยังมณฑลหลง ด้วยตัวเองเท่านั้น
เขาอาจดึงหัวไชเท้าติดโคลนขึ้นมาด้วยก็ได้
เว่ยฉิงคาดว่า อีกสามสี่วันหลังจากที่ไปมณฑลหลงแล้ว ขากลับจากการสืบสวน ภรรยาของเขาก็น่าจะกลับมาถึงเมืองหลวงเช่นกัน เขาจึงรีบรุดออกจากกรมอาญากลับไปที่จวนอู่โหว เมื่อถึงจวนแล้วก็รีบเข้าไปหาลูกแฝดทั้งสองคน ถังเป่ายังคงตัวเล็ก ส่วนมู่เป่าอ้วนท้วนแข็งแรงราวกับว่ามีพลังที่ดึงมาใช้ได้ไม่รู้จบ เว่ยฉิงเล่นกับเด็กน้อยอยู่หนึ่งชั่วยามก่อนจะจากไปแบบไม่เต็มใจนัก
เช้าวันต่อมาเขาพาลูกน้องจำนวนหนึ่งออกเดินทางไปยังมณฑลหลง
สามวันต่อมา ที่คลังแสงนอกเมือง
หลังจากที่เว่ยฉิงมาถึงมณฑลหลง เขาก็ตรงไปที่แหล่งผลิตลูกธนูโดยไม่หยุดพักและขอให้พวกเขานำบัญชีเบิกถอนออกมาตรวจสอบ
เมื่อชายหนุ่มตรวจดูจึงพบว่าในปีที่แล้วมีการผลิตลูกธนุูทั้งหมดห้าแสนลูก ครึ่งหนึ่งส่งไปให้องครักษ์ในเมืองหลวงและวังหลวง อีกครึ่งหนึ่งส่งไปให้กับสกุลเหลียงที่ชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อตรวจดูแล้วก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ
หลังจากที่เว่ยฉิงอ่านบัญชีแล้ว เขาก็กลับไปยังที่พักรับรองซึ่งหัวหน้าคลังอาวุธที่ชื่อลู่ตี้จูเตรียมไว้ให้ การเดินทางที่ติดต่อกันมาถึงสามวันทำให้ทุกคนเหนื่อยล้า เว่ยฉิงจึงให้ลูกน้องไปพักผ่อน
หลังจากที่เว่ยฉิงอาบน้ำ กินข้าวแล้ว เขานอนลงบนเตียงทันที แม้เตียงที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้จะแข็งมาก แต่เขาเคยนอนเตียงที่แข็งกว่านี้ทำให้เว่ยฉิงไม่รู้สึกอะไร เขาผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่ง เขาอาบน้ำและกินอาหารจากนั้นจึงได้กลับไปที่คลังอาวุธอีกครั้งเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม เช่น คนในโรงผลิตมีกี่คน และขั้นตอนการผลิตเป็นอย่างไร เว่ยฉิงทำท่าทีเหมือนแค่มาตรวจสอบการผลิตลูกธนูเท่านั้น ไม่ได้มาสืบคดี เขาอยู่ที่นั่นเกือบทั้งวันก่อนจะเข้าไปที่เหมืองเหล็กที่อยู่ชานเมืองในช่วงบ่าย
เว่ยฉิงและลูกน้องต้องเดินไปตามเส้นทางของภูเขาเพื่อไปยังเหมืองเหล็ก ในหุบเขามีกระโจมตั้งอยู่หลายแห่ง มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็กและคนแก่ พวกเขาใส่เสื้อผ้าขาดวิ่น ดูผอมโซอดอยาก คนเหล่านั้นลอบมองเว่ยฉิงด้วยสายตาสงสัย แต่เมื่อชายหนุ่มหันกลับไปมอง ทุกคนต่างพากันหลบสายตา หันไปทางอื่นด้วยความหวาดกลัว
เหตุใดคนแก่ ผู้หญิงและเด็กในเหมืองถึงได้มีมากมายเพียงนี้?
เมื่อเห็นว่าเว่ยฉิงสงสัย ลู่ตี้จูจึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ใต้เท้าอู่ เหมืองแห่งนี้ต่างจากเหมืองอื่นมาก คนที่นี่ล้วนเป็นลูกหลานของขุนนางที่มีความผิด หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้น พวกเขาจึงมาอยู่กันทั้งครอบครัวขอรับ”
เว่ยฉิงมองดูเด็กๆ ลูกหลานของคนที่ทำความผิด เมื่อมีความเกี่ยวข้องกับผู้กระทำความผิด พวกเขาจึงมีความผิดไปด้วย ต้องใช้ชีวิตในเหมือง ตกเป็นทาส มีชีวิตอย่างน่าสมเพชเสมือนราวกับตายไปแล้ว
ในขณะที่เว่ยฉิงและลูกน้องกำลังเดินตรวจตรา จู่ๆ ก็เห็นเด็กหลายคนกำลังทุบตีเด็กอีกคนหนึ่งจนเลือดไหล เด็กคนนั้นทำได้แค่กุมศีรษะตัวเองอย่างอดทน เว่ยฉิงขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไป
“หยุดนะ!” เว่ยฉิงพูด
“เหตุใดต้องหยุด มันเป็นคนสกุลเซียว พ่อข้าบอกว่าเพราะเขาพวกเราถึงต้องตกเป็นทาส” เด็กคนหนึ่งพูดออกมาด้วยความโกรธแค้น แต่เมื่อเด้กคนนั้นหันไปมอง ก็เห็นชายตรงหน้ามีสีหน้าไร้อารมณ์ ดูสง่างามทว่าดุร้าย เมื่อมองไปยังเสื้อผ้าของเขา จึงเห็นได้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ย่อมเป็นขุนนางที่มีอำนาจชี้ความเป็นความตายได้ เด็กเหล่านั้นก็รีบวิ่งหนีไปด้วยความตกใจทันที เหลือเพียงเด็กที่บาดเจ็บจนหมดสติเท่านั้น
เว่ยฉิงมองเด็กที่นอนกองกับพื้น ใบหน้าของเด็กคนนี้เต็มไปด้วยเลือด เขาขมวดคิ้วมุ่น
เซียว…
มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือ?