เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 716 สืบสวนต่อ
บทที่ 716 สืบสวนต่อ
เว่ยฉิงตบบ่าของเซียวเหล่าจิ่ว
“วันหนึ่งแม่ทัพเซียวจะพ้นมลทินแน่นอน เจ้าเองก็จะได้ออกจากที่นี่” หลังจากที่เว่ยฉิงพูดจบเขาก็หายตัวไปในความมืดทันที เซียวเหล่าจิ่วทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความงุนงง เขาไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไปแล้ว ชายคนนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย ซ้ำยังบอกว่าแม่ทัพเซียวจะสามารถล้างมลทินได้อีก…ชายหนุ่มย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ทั้งยังรู้ดีว่าท่านแม่ทัพเซียวโดนใส่ร้าย บางทีตอนนี้อาจจะมีผู้ที่กำลังพยายามล้างมลทินให้แม่ทัพเซียวอยู่ก็ได้
ลูกของเขาเกิดและเติบโตในเหมืองนี้ ไม่เคยได้ออกไปข้างนอกเลย เขาหวังว่าสักวันหนึ่งทุกอย่างจะคลี่คลาย
หลังจากที่เว่ยฉิงออกจากเหมืองเหล็กแล้ว เขาก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อนเมื่อถึงเวลารุ่งสาง เขาได้มอบหมายให้องครักษ์เงาสืบเรื่องเจ้าหน้าที่บัญชีของคลังอาวุธ ในขณะที่ตัวเขาเองเดินเล่นไปรอบๆเหมืองเหล็กอีกครั้ง
เว่ยฉิงเดินไปยังเตาหลอมเหล็กและพูดคุยกับคนงานเกี่ยวกับวิธีถลุงเหล็ก แต่เขาไม่ได้ถามรายละเอียดมากนัก
แม้ว่าเจ้าหน้าที่คุมเหมืองจะไม่ได้ติดตามเว่ยฉิงใกล้ชิด เว่ยฉิงก็ถูกจับตามองจากสายตาสองสามคู่ เพราะร่ำลือกันว่าเขานั้นเป็นคนที่ช่างสังเกต ฉลาด และคลี่คลายคดีต่างๆได้
ชื่อเสียงนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?
ในช่วงเวลาไม่กี่วันมานี้ เว่ยฉิงเดินสำรวจทั่วเหมืองและคลังแสง ทั้งยังให้องครักษ์เงาก็ไปสืบเรื่องของเจ้าหน้าที่ในคลังแสงผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนทำบัญชีแซ่หวัง เขาเสพติดสุราและนารี มักจะขลุกอยู่ที่หอเซียงอิงที่เลื่องชื่อในเมืองหลงอยู่เสมอ ทั้งยังสั่งให้คณิกาอันดับหนึ่งมาบริการตัวเองอีกด้วย การใช้จ่ายในหอเซียงอิงนั้นต้องใช้เงินหลายสิบถึงหลายร้อยตำลึง เงินเดือนของเขาในฐานะเสมียนไม่มีวันพอ พฤติกรรมของเขามีบางอย่างที่ผิดปกติ
เว่ยฉิงเทียวไปเทียวมาที่เหมืองสองสามวัน จากนั้นจึงได้หันไปเข้าหอนางโลมแทน เขาทุ่มเงินหลายร้อยตำลึงเพื่อซื้อตัวนางโลมที่ดีที่สุดในหอเซียงอิง หญิงโคมเขียวผู้หนึ่งออกมาต้อนรับและพาเขาเข้าไปในห้อง เว่ยฉิงมีท่าทีสงบราวกับว่าตัวเขาเคยมาสถานที่เช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วน ทั้งที่นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในหอนางโลม
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงชอบมาสถานที่เช่นนี้นัก พวกเขาไม่มีความสุขเวลาอยู่กับภรรยาที่บ้านหรือ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เว่ยฉิงก็รู้สึกคิดถึงภรรยาของเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่านางจะได้กลับมาเมื่อใด อีกนานเพียงใดที่เขาจะได้พบกัน
เว่ยฉิงนั่งลงในห้องห้องรับรอง ไม่นานนักสาวงามท่าทางบอบบาง น่าทะนุถนอม นามว่าลิ่วฟูเฟิงก็เดินเข้ามา แววตาของนางสว่างสดใสขึ้นเมื่อเห็นเว่ยฉิง
ลูกค้าทั้งหลายที่มายังหอเซียงอิงแห่งนี้ล้วนผ่านการคัดกรองเบื้องต้นมาแล้ว แต่นางก็ชื่นชอบที่จะได้ต้อนรับลูกค้าหนุ่มๆ มากกว่าชายชรา นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางได้พบลูกค้าที่มีรูปงามเช่นนี้ ใบหน้าของชายหนุ่มคมคาย อาภรณ์สีดำที่เขาสวมรัดรูปจนเห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง ทั้งดูมีอำนาจและสง่างาม หากได้ลูกค้าชั้นยอดเช่นนี้ นางย่อมยินดีที่จะให้บริการ
ลิ่วฟูเฟิงเดินเข้าไปหาเว่ยฉิง พยายามจะโผไปซบที่อ้อมอกกว้างประหนึ่งอ่อนเปลี้ยไร้กระดูก
จู่ๆ เว่ยฉิงก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาคมกริบจ้องไปที่นาง
เหตุใดเขาจึงได้มีสายตาที่น่ากลัวเช่นนี้… เคยมีลูกค้าคนหนึ่งพาลิ่วฟูเฟิงไปดูหมาป่าที่เขาเลี้ยงไว้ แววตาของชายผู้นี้เหมือนหมาป่าตัวนั้น มันน่ากลัวจนร่างกายของนางแข็งทื่อ ไม่อาจก้าวเท้าต่อไปได้
“ยืนอยู่ตรงนั้น นิ่งๆ” สายตาแหลมคมที่จ้องมองอยู่ ทำให้ลิ่วฟูเฟิงทำตามอย่างไม่รู้ตัว
“เจ้ารู้จักหวังหยู่หลางหรือไม่?” เว่ยฉิงถาม
“ผู้ชายหัวล้านคนนั้นหรือเจ้าคะ? ข้ารู้จักเจ้าค่ะ” นางพยักหน้า หวังหยู่หลางเป็นลูกค้าประจำของนาง ที่จริงแล้วเขาหน้าตาดี เสียแต่ว่าหัวล้านเท่านั้น ทำให้นางไม่ค่อยสบายใจเมื่อเห็นศีรษะที่โล่งเตียนของเขา
“เขาทำงานที่คลังอาวุธ เขาเคยได้เอ่ยปากเล่าข้อมูลภายในให้เจ้าฟังบ้างหรือไม่?”เว่ยฉิงถามต่อ
“ยากที่ข้าจะเอ่ยปากเจ้าค่ะ..” นางกล่าว เคยมีคนเข้ามาสอบถามเรื่องส่วนตัวของลูกค้าอยู่บ่อยครั้ง แต่การหุบปากให้สนิทเข้าไว้เป็นกฎในการทำงาน นางไม่อาจแพร่งพรายเรื่องของลูกค้าได้ตามใจชอบ
เว่ยฉิงหยิบเงินจำนวนมากออกมามอบให้แก่ลิ่วฟูเฟิง ดวงตาของนางสว่างวาบขึ้น เปลี่ยนคำพูดทันใด
“ที่จริงแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ เขาชอบพูดถึงเพื่อนร่วมงานของตัวเองบอกว่าผู้นี้ชอบประจบสอพลอ เป็นพวกชอบโอ้อวด หน้าซื่อใจคด กลัวภรรยา…อ้อ! เขาเคยพูดว่าถ้าวันหนึ่งทางการรู้บางอย่างเขาอาจจะถูกตัดหัวได้เจ้าค่ะ”
“เรื่องอะไร?” เว่ยฉิงถาม
“ดูเหมือนว่ามันเป็นปัญหาของตัวเลขในบัญชี ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดตอนเมามายว่า ไม่เข้าใจว่านายท่านลู่เอาธนูมากมายถึงเพียงนั้นไปทำอะไร เขาเผลอพูดออกมาตอนเมา ข้าได้ยินแค่ผิวเผินเท่านั้น นายท่านอย่าได้ใส่ใจเลยเจ้าค่ะ”
นางโลมของหอเซียงอิงกล่าว
เว่ยฉิงลูบคางของตัวเอง แล้วจมอยู่ในห้วงความคิด นายท่านลู่ที่หวังหยู่หลางพูดถึงน่าจะเป็นลู่ตี้จู เว่ยฉิงประหลาดใจแต่ก็ไม่ผิดคาดนักลู่ตี้จูมีท่าทีสงบเสงี่ยมก็จริง แต่เขามีหน้าที่คุมคลังอาวุธ หากเขาไม่ได้สั่งการ ผู้ใดจะกล้าขโมยลูกธนูจากใต้จมูกเขาได้เล่า?
แล้วลูกธนูที่ถูกยักยอกไปมากมายเหล่านั้นถูกส่งไปที่ไหน?
สาวงามแห่งหอเซียงอิงมองชายตรงหน้าอย่างห้าวหาญ การที่เขาเชิดคางขึ้นในขณะที่ตกอยู่ในภวังค์ช่างน่าดึงดูดใจยิ่งนัก นางก้าวเท้าเข้าไปใกล้เขามากขึ้น
“หยุด อย่าขยับ” เว่ยฉิงพูดอย่างเย็นชา เมื่อเห็นสายตาราวกับหมาป่าของเขาแล้วนางได้แต่ขืนตัวตรงนิ่งเอามือแนบลำตัว
เว่ยฉิงลุกขึ้นยืน เขาโยนเงินให้นางก่อนจะจากไป นางคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้มั่น
“นายท่าน ในเมื่อท่านจ่ายหนักเช่นนี้ เหตุใดไม่ให้ข้าน้อยรับใช้ท่านในคืนนี้เล่า”
ในขณะที่พูดนางปรือตาโปรยเสน่ห์ยั่วยวนให้เว่ยฉิง
“ไม่ล่ะ ภรรยาคงหักขาข้าแน่” พูดจบ เขาก็ฉีกแขนเสื้อแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ลิ่วฟูเฟิงมองเศษชายแขนเสื้อในมือของตนอย่างว่างเปล่าเพียงแค่นางจับชายแขนเสื้อเขาไว้ เขาถึงกับฉีกมันออก นี่จะไม่ทำเกินกว่าเหตุไปหน่อยหรือ?
ชายคนนี้ดูแข็งแกร่ง องอาจ แต่ภรรยาสามารถหักขาของเขาได้…นางคงจะแข็งแกร่งกว่าเขาแน่นอน
แต่ยามที่เขาพูด เขาไม่ได้ดูหวั่นเกรง แต่ออกจะภูมิใจมิใช่น้อย
เขาโอ้อวดภรรยาหรอกหรือ?
คิดแล้วลิ่วฟูเฟิงก็ขว้างเศษชายแขนเสื้อลงพื้นอย่างไม่ไยดี
หลังจากที่เว่ยฉิงออกจากหอนางโลมแล้ว เขาสั่งให้องครักษ์เงาพาตัวหวังหยู่หลางมาไว้ในห้องๆ หนึ่ง
เมื่อหวังหยู่หลางตื่นขึ้นก็รู้สึกงุนงง เขาจำได้ว่าตนเองนอนอยู่ในห้อง แต่เหตุใดกลับตื่นขึ้นในสถานที่ไม่คุ้นเคย
เขากำลังฝันอยู่หรือ?
เหตุใดถึงได้เจ็บคอเช่นนี้?
หวังหยู่หลางลุกขึ้นจากพื้น มองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก เมื่อเห็นศีรษะที่เปลือยเปล่าทำให้เขารู้ว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน…