เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 731 ทารกสองคน
บทที่ 731 ทารกสองคน
ที่สนามหลังบ้าน ต้นไม้ที่ตายไปในฤดูหนาวกำลังแตกใบอ่อน ผลิยอด เป็นสัญญาณว่ากำลังจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว
ภายในห้อง เจ้าก้อนแป้งตัวน้อยสวมชุดเสื้อคลุมและกระโปรงสีแดงสด ผมมัดเป็นก้อนขนมปังสองข้างเผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ น่าเอ็นดู ดวงตาสีดำเป็นประกายล้อมรอบด้วยขนตายาวราวกับพัดด้ามจิ๋ว นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยทีท่าเกียจคร้าน เปลือกตาปรือหลุบลง มีบางคราที่ชำเลืองผ่านหน้าต่างไปยังลานบ้าน
บนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง มีเกี๊ยวตัวน้อยแก้มเป็นสีชมพูราวกับหยก ดวงตาเบิกกว้างกะพริบถี่ๆ ปากเล็กอ้าออกให้ฮูหยินกู้ป้อนอาหารเข้าปาก
“อ้ำ” เจ้าตัวน้อยงับข้าวเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยจนแก้มสองข้างปูดออก
“มู่เป่าเก่งมาก” ฮูหยินกู้ชม มู่เป่าเงยหน้ารับคำชมอย่างภาคภูมิใจ ไม่ว่าโลกภายนอกจะวุ่นวายมากเพียงใด มุมเล็กๆภายในจวนหลังนี้ก็จะได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี ไม่มีใครสามารถเล็ดลอดเข้ามาทำร้ายหรือก่อความวุ่นวายใดๆได้
หลังจากมู่เป่ากินข้าวเสร็จแล้ว เขาก็ลุกไปก่อกวนถังเป่า นางเหลือบมองเขาอย่างหงุดหงิด ทว่าเขากลับทำไม่รู้ไม่ชี้ซ้ำยังเอียงคอเดินตรงรี่เข้าหาพี่สาว ถังเป่าอดใจไม่ไหว นางเอื้อมมือไปหยิกแก้มอ้วนๆของน้องชาย ในที่สุดพี่สาวก็เต็มใจที่จะเล่นกับเขา เด็กน้อยหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
ถังเป่า: เจ้าเด็กโง่
ในที่สุดถังเป่าก็ยอมแพ้ ปล่อยให้น้องชายขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของนางราวกับตัวดักแด้
ประตูลานบ้านเปิดขึ้นอีกครั้ง ถังเป่าหันไปมองอย่างเบื่อหน่าย ดวงตาดำกลมโตของนางเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นผู้ที่ก้าวเข้ามา นางปีนลงจากตั่งอย่างรวดเร็ว วิ่งออกไปก่อนที่ฮูหยินกู้จะคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน
“ถังเป่า! จะไปไหน?” ฮูหยินกู้ตะโกนเรียก นางรีบลุกขึ้นไล่ตามเด็กน้อยออกไปทันที ฮูหยินกู้ชะงักเมื่อเห็นผู้ที่เปิดประตูเข้ามา ถังเป่าวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของถังหลี่ราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ ถังหลี่กอดบุตรสาวไว้แน่น นางไม่ได้เจอพวกเขานานหลายเดือนแล้ว นางคิดถึงลูกทั้งสองคนตลอดเวลา ในที่สุดก็ได้พบกับพวกเขา ถังหลี่แสบจมูกอยากจะร้องไห้ออกมา
“ถังเป่า แม่กลับมาแล้ว” ถังหลี่มองเกี๊ยวน้อยๆ ในอ้อมแขนของตนอย่างไม่กะพริบตา หอมแก้มบุตรสาวฟอดใหญ่
“ข้าคิดถึงท่านแม่” ถังเป่าพูดด้วยน้ำเสียงไม่ชัดแบบเด็กน้อย
ยามปกติแล้วถังเป่าไม่ใช่เด็กช่างพูด เมื่อนางเอ่ยประโยคยาวเช่นนี้ย่อมสื่อว่านางคิดถึงมารดาจริงๆ
“ท่านแม่…” ชายกระโปรงของถังหลี่ถูกมือน้อยๆคว้าเอาไว้ เมื่อก้มลงดูจึงได้เห็นบุตรชาย
มู่เป่าอ้าแขนออก มองถังหลี่ด้วยดวงตาอ้อนวอน อยากให้ท่านแม่กอดเขาด้วย ถังหลี่จึงกอดเด็กน้อยทั้งสองไว้คนละข้าง
มู่เป่าพูดเสียงดังเจื้อยแจ้วในอ้อมแขนของมารดา
“ท่านแม่ มู่เป่าคิดถึงท่านแม่จนกินข้าวไม่ได้เลย”
“เจ้านกน้อยบอกมู่เป่าว่าเห็นท่านแม่ ท่านแม่กลับมาจริงๆด้วย”
“ท่านแม่ บนต้นไม้มีไข่นก ข้ากินไข่นก..”
“พอข้าบอกอยากกินไข่นก นกก็โกรธ มันจิกข้า..” เจ้าตัวน้อยยังพูดพล่ามไม่หยุด ซ้ำยังยกมือน้อยอ้วนๆ ให้มารดาดูว่าเจ้านกน้อยรังแกเขา ถังหลี่จำได้ว่ายามที่นางจากไปในตอนนั้น เด็กทั้งสองคนกำลังหัดพูด หลังจากนั้นไม่กี่เดือนพวกเขาก็พูดได้อย่างคล่องแคล่ว
ดวงตาของฮูหยินกู้จ้องมองไปยังบุตรสาวของตน แววตาเหมือนกับที่ถังหลี่จ้องมองบุตรชายหญิงฝาแฝดทั้งคู่ นางแทบจะละสายตาจากถังหลี่ไปไม่ได้เลยเช่นกัน เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของนางปลอดภัยดี ฮูหยินกู้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ให้แม่ช่วยอุ้มคนหนึ่งเถิด” ฮูหยินกู้ว่า พยายามจะช่วยอุ้มเด็กน้อยจากวงแขนของบุตรสาว
“ให้น้องชายไป เขาพูดมาก” ถังเป่าพูดด้วยเสียงขุ่นมัว มู่เป่าไม่ทันได้ระวังตัวโดนท่านยายอุ้มออกไปจากวงแขนของมารดา เขาชะงักหยุดพูดทันที
ถังหลี่รู้ว่าฮูหยินกู้เป็นคนดูแลเด็กๆในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้
“ท่านแม่ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยดูแลเด็กๆให้ข้า” นางพูดอย่างจริงจัง
“เจ้าเรียกข้าว่าแม่ แล้วเหตุใดต้องขอบคุณ แม่ดีใจที่ได้เห็นเจ้าปลอดภัยดี” ฮูหยินกู้พูดพลางเดินเข้าไปยังห้องด้านในพร้อมบุตรสาว
ถังเป่านอนนิ่งอยู่ในอ้อมอกมารดาอย่างว่าง่าย นัยน์ตาหรี่ปรือดูเกียจคร้าน ส่วนมู่เป่าแทบรอไม่ไหว เขาดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมกอดของท่านยายเพื่อไปไล่จับนกในสนามหญ้าต่อ
มารดาและบุตรสาวพากันสนทนาถึงสถานการณ์ปัจจุบันในเมืองหลวง ถังหลี่เล่าให้มารดาฟังถึงเรื่องที่นางได้เผชิญมา ฮูหยินกู้ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินว่ามีอันตรายแอบแฝงอยู่ แม้บุตรสาวจะไม่ได้เล่าให้ฟังทั้งหมด นางก็ตระหนักดีถึงเรื่องที่ถังหลี่ได้พบเจอ
ถังเป่าตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองมารดา แววตาเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ช่างเป็นเด็กน้อยที่มีหัวใจอบอุุ่นเหมือนกับพี่สาวของนางเหลือเกิน เพียงแต่ซานเป่ามีชีวิตชีวาและเข้ากับคนได้ง่ายกว่า ราวกับผสมผสานระหว่างมู่เป่าและถังเป่าเข้าด้วยกัน
ถังเป่าไม่ได้พูดมากเหมือนมู่เป่า เขาชอบพูดเจื้อยแจ้วคนเดียว ขนาดนั่งอยู่ในห้องยังได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเขาดังมาจากสนามหญ้าด้านนอก
เมื่อพูดถึงซานเป่า ใจของถังหลี่กระหวัดคิดถึงบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าป่านนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง ทำหน้าที่ธิดาเทพได้ดีหรือไม่?
แม่และลูกสาวยังพูดคุยกันต่อถึงสกุลกู้อีกด้วย
“ฝางเหมี่ยวเป็นเด็กดีมาก เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ตอนนี้นางเป็นคนดูแลจวนสกุลกู้ทั้งหมด ทั้งยังมีพี่ใหญ่ของเจ้าอีกด้วยแม่จึงไม่ค่อยกังวลมากนัก ตอนนี้ลูกกับเว่ยฉิงกลับมาแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีกต่อไป พรุ่งนี้แม่จะกลับไปหาหลานชายเสียที”
แม้ว่าปากจะบอกว่าไม่กังวล แต่ฮูหยินกู้ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ คงเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือด
“หากข้ามีเวลา ข้าอยากกลับไปดูหลานที่สกุลกู้เช่นกันเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ เจ้าเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ อยู่พักผ่อนก่อนเถิด หากว่างค่อยไปเยี่ยมเยียนที่จวน”
ไม่นานนักก็ถึงเวลาอาหารเย็น มื้อนี้เป็นมื้อรวมญาติ
ที่โต๊ะอาหาร ทั้งเว่ยจื่ออั๋งและเว่ยจื่ออี้พากันถามถึงซานเป่า นางเป็นดวงตะวันดวงน้อยของครอบครัว หากขาดนางไปย่อมเงียบเหงาลง
ถังหลี่ไม่ได้พูดถึงชนเผ่าอู๋ซานมากนัก พูดเพียงว่าซานเป่าอยากหาประสบการณ์ นางได้เจอครอบครัวผู้ให้กำเนิดนางโดยบังเอิญ หากทว่าบิดามารดาของนางเสียชีวิตลงทั้งคู่ นางจึงจำเป็นต้องอยู่เพื่อดูแลกิจการของตระกูล
“น้องสาวจะได้กลับมาอีกหรือไม่ขอรับ?” เว่ยจื่ออี้ถาม ถังหลี่ครุ่นคิด จากนั้นจึงพยักหน้า
“กลับสิ” สักวันหนึ่งพวกเขาจะกลับมารวมตัวกันเป็นครอบครัวอีกครั้ง
เว่ยจื่ออี้ได้รับคำตอบที่ทำให้เขาพอใจ
วันรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้า ฮูหยินกู้จึงได้เดินทางกลับไปยังจวนแม่ทัพ ถังหลี่ส่งมารดาที่ประตู เฝ้าดูนางขึ้นรถม้า แล้วจึงได้หันหลังเดินเข้าข้างใน ไปยังห้องหนังสือ ที่นั่นมีชายร่างสูงนั่งอยู่หลังโต๊ะ ทำงานด้วยท่าทีจริงจัง เขาขมวดคิ้วมุ่น ราชสำนักมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นครั้งใหญ่ ต้วนโส่วฝู่ที่มีความสามารถดูแลเรื่องนี้ได้ก็เกิดป่วยหนักขึ้นมา เสนาบดีหลายคน เช่น เหลียงตงก็ถูกจ้าวชูสังหาร ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้แทบไม่เหลือใครให้ใช้งานได้เลย แม้แต่องค์ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถรับมือเหตุการณ์เช่นนี้ได้ จ้าวจิ่งซวนได้รับบาดเจ็บ แม้จะอาการไม่ได้สาหัส แต่เขาก็ยังตั้งหลักไม่ได้ เรื่องราวในราชสำนักมากมายจึงล้นมือเว่ยฉิงในขณะนี้
เว่ยฉิงเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน แต่เขายังยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง เมื่อเห็นภรรยาเดินเข้ามา เว่ยฉิงขมวดคิ้ว
“เจ้าไม่ไปนอนสักงีบหนึ่งหรือ?” เว่ยฉิงถามเมื่อเห็นว่านางนอนไม่ค่อยหลับ
“ข้านอนไม่หลับ” หลังจากผ่านเหตุการณ์วิกฤติมามากมาย ต่อให้เหนื่อยเพียงใดก็หลับตาไม่ลง
………………….