เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 734 ชื่อผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 734 ชื่อผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
บทที่ 734 ชื่อผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
วันถัดมา
เว่ยฉิงได้รับคำสั่งเรียกตัวให้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ เขามีร่างกายที่แข็งแกร่ง และมีความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายได้เป็นอย่างดี บาดแผลที่ดูเหมือนน่ากลัวไม่มีผลกระทบต่อร่างกายของเว่ยฉิงแต่อย่างใด
เขาสวมเสื้อคลุมของขุนนางอย่างเต็มพิธีการ รูปร่างสูงดูสง่างาม ใบหน้าแจ่มใสแทบมองไม่ออกเลยว่าเขาเคยได้รับบาดเจ็บ ถังหลี่ตื่นแต่เช้า นางตามไปส่งเว่ยฉิงที่หน้าประตู รู้สึกว่านี่ไม่ใช่การเรียกเข้าเฝ้าธรรมดาทั่วไป เวลาของฝ่าบาทเหลือน้อยลงทุกที เป็นไปได้ว่าพระองค์อาจจะเรียกสามีของนางไปสั่งเสียในเรื่องต่างๆ
ฝ่าบาทคิดอย่างไรกับเว่ยฉิง?
เว่ยฉิงหันมาจุมพิตที่หน้าผากของถังหลี่
“ไม่ต้องห่วง รอข้ากลับมากินอาหารเที่ยงกับเจ้า” แววตาของเขาดูสงบไร้ร่องรอยความวิตกกังวล เมื่อเห็นเช่นนั้น นางจึงได้โล่งใจ พยักหน้ารับ
เว่ยฉิงเดินทางไปยังพระราชวังด้วยเกี้ยว จากนั้นจึงได้เดินมารอหน้าพระตำหนักไท่จี่ ที่นั่นบานประตูถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ขันทีที่เฝ้าอยู่หน้าประตูกล่าวว่า
“ท่านอู่อวี้ องค์ชายหกทรงประทับอยู่ด้านใน ได้โปรดรอสักครู่”
เว่ยฉิงพยักหน้า เขายืนตัวตรงรออยู่ที่หน้าประตูอย่างแน่วแน่
เมื่อมองไปยังประตูที่ปิดสนิทบานนั้น จู่ๆ เว่ยฉิงก็หวนคิดถึงเรื่องราวบางอย่างสมัยที่เขายังเป็นเด็กขึ้นมาได้ เขายังเล็กและซุกซนยิ่งนัก บังเอิญหลงเข้าไปในตำหนักไท่จี่
ในเวลานั้นฮ่องเต้กำลังหารืออยู่กับเหล่าเสนาบดี ฮ่องเต้ไม่ทรงกริ้ว กลับอุ้มเขามานั่งที่พระเพลาของพระองค์ แล้วทรงสนทนาเรื่องต่างๆกับขุนนางที่มาเข้าเฝ้า เขาไม่เข้าใจว่าเสนาบดีและขุนนางเหล่านั้นพูดเรื่องอะไร เพียงแต่รู้สึกถึงแดดในยามบ่ายที่ตกลงมากระทบผิวกายทำให้รู้สึกอบอุ่น
เว่ยฉิงไม่อยากหวนคิดถึงเวลานั้นอีก เขาอยากคิดว่าฮ่องเต้เป็นคนแปลกหน้าที่เขาไม่เคยรู้จักมักคุ้น แต่ถ้าหากคิดให้ดีแล้วตอนนั้นฮ่องเต้ทรงปฏิบัติต่อเขาค่อนข้างดีจริงๆ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาสับสน ว่าเหตุใดเมื่อผู้คนต่างมีความรักให้แก่กัน แค่ชั่วพริบตา แม้กระทั่งผู้เป็นบิดาแท้ๆ ของเขา ก็สั่งฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
ดวงตาและรอยยิ้มของเว่ยฉิงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
รู้สึกว่าทุกอย่างเป็นเรื่องเหลวไหล เขาไม่เข้าใจเลยว่าอำนาจมีความสำคัญเพียงนั้นเลยหรือ?
เขาหยุดยิ้ม สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นไร้อารมณ์เช่นเดิม
หลังจากรอประมาณครึ่งชั่วยาม ประตูพระตำหนักเปิดออก ขันทีนำเว่ยฉิงเดินเข้าไปภายในห้องโถง จ้าวจิ่งซวนเดินออกมา ระหว่างเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย จ้าวจิ่งซวนได้รับบาดเจ็บที่ขา เขาเดินกระเผลก ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาแดงก่ำ เมื่อเห็นเว่ยฉิงเขาทำท่าน่าสงสารราวกับว่าเศร้าโศกมากเหลือเกิน ความรู้สึกที่เขามีต่อเว่ยฉิงเปลี่ยนไป จ้าวจิ่งซวนมีความสนิทสนมกับถังหลี่ราวกับนางเป็นพี่สาวของเขา ในเมื่อเว่ยฉิงเป็นสามีของนางและเขายังเป็นบิดาของเพื่อนสนิททั้งสองคนอย่างเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยด้วยแล้ว เขาย่อมรู้สึกสนิทใจกับเว่ยฉิงเป็นธรรมดา อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักครั้งนี้ เว่ยฉิงเป็นผู้พลิกสถานการณ์ ยิ่งทำให้เขามองเว่ยฉิงและถังหลี่เป็นผู้ช่วยชีวิตเขา เขามีความรู้สึกอยากพึ่งพิงและออดอ้อนราวกับเป็นเด็กน้อยออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เว่ยฉิงยื่นมือออกไปตบไหล่เขา จากนั้นจึงเดินเข้าไปด้านใน เมื่อเขาเข้าไปแล้วประตูตำหนักก็ปิดตามหลัง
ฮ่องเต้ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ซูบผอมราวกับต้นไม้ที่ยืนต้นเหี่ยวเฉา ท่าทางอิดโรย เหนื่อยล้า ที่เบื้องพระพักตร์มีม้วนผ้าสีเหลืองสดวางอยู่สองม้วน น่าจะเป็นพระบรมราชโองการ
“กระหม่อม อู่อวี้มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”
“ข้าเหลือเวลาอีกไม่มาก..” พระสุรเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนแอ เว่ยฉิงยืนตัวตรงนิ่งฟังด้วยความเคารพ
“เมื่อคืนนี้ฝนตก..ข้าฟังเสียงฝนอยู่ทั้งคืนคิดถึงเรื่องเก่าๆ และคนรู้จักทั้งหลายในอดีต…” ฮ่องเต้ทรงรำพึงแผ่วเบา พระองค์ทรงจำได้ว่าตอนที่ยังเล็กมาก พระองค์กับองค์หญิงใหญ่อาศัยอยู่ในตำหนักที่เหน็บหนาวไร้ซึ่งผู้คนใส่ใจ อากาศหนาวมากจนต้องกอดกับพี่สาวพึ่งพาให้ร่างกายอบอุ่น ต่อมาเสด็จแม่ได้พาพระองค์ไปเลี้ยงดู ชีวิตของพระองค์ดีขึ้นเรื่อยๆ
พระองค์กลายเป็นองค์รัชทายาท ได้ฟังเรื่องราวจากพระอาจารย์เกี่ยวกับบรรพบุรุษของตน ก็ทรงมีปณิธานอยากสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับแผ่นดินต้าโจว ทรงใฝ่รู้ ศึกษาศาสตร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้าหรือยิงธนู เตรียมพร้อมเพื่อที่จะขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ที่ดี
พระองค์ทรงคิดถึงหญิงงามผู้นั้น เพียงเห็นนางแค่ชั่วครู่ก็เกิดความความประทับใจลึกซึ้งในใจอย่างไม่รู้ลืม
พระองค์ต้องการที่จะแต่งงานกับนาง เมื่อได้พบกันอีกครั้งนางได้กลายเป็นฮองเฮาของพระองค์ แต่งกายด้วยชุดชาววังหรูหราโออ่า สง่างามไม่ต่างจากหญิงสาวในวังหลังที่พระองค์เคยเห็นทั่วไป หัวใจของพระองค์ไม่เต้นแรงอีกแล้ว มีแต่ความสุภาพและให้เกียรตินางในฐานะฮองเฮาของตน
พระองค์คิดถึงเด็กคนนั้น เขาเป็นเด็กฉลาดมีไหวพริบ ซุกซน องค์รัชทายาทและพระอาจารย์ต่างขัดแย้งกันบ่อยครั้ง แม้ว่าเด็กคนนั้นจะทำไม่ถูกแต่ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชอบเขา มุมพระโอษฐ์ค่อยๆ ยกขึ้น เว่ยฉิงเหลือบเห็นเขาขมวดคิ้ว
“ฝ่าบาท”
เขารู้ว่าฮ่องเต้กำลังหวนคิดถึงอะไร อาจจะเป็นเสด็จแม่ของเขาและตัวเขาก็เป็นได้ เว่ยฉิงไม่มีความสุข เหมือนมีหนามทิ่มแทง ก้อนแข็งๆบางอย่างในลำคอทำให้เขาไม่สบายใจ ท้ายสุดคือความรังเกียจ
เสียงของเว่ยฉิงที่ดังขัดจังหวะทำให้ฮ่องเต้กลับมามีพระสติอีกครั้ง รอยแย้มสรวลบนพระพักตร์หายไป
“เจ้าได้เจอต้วนโส่วฝู่ก่อนที่เขาจะจากไปหรือไม่?”
“กระหม่อมได้เจอเขาพะย่ะค่ะ”
“ข้ายังจำได้ดี ยามที่ข้าเจอต้วนฝู่หยูในครั้งแรก เขาอายุเพียงแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น เขาเป็นจ้วงหยวนที่อายุน้อยที่สุดของต้าโจวในปีนั้น ข้ายังเป็นแค่องค์รัชทายาทอยู่เลย ข้ามีความอยากรู้อยากเห็นจนต้องแอบปลอมตัวไปพบกับเขา เราสองคนโต้เถียงกัน ต่อมาก็พูดคุยกันทั้งวัน บัณฑิตดีมีคุณธรรมได้พบฮ่องเต้ ฮ่องเต้ได้พบขุนนางดีก็ราวกับเป็นปลาในน้ำ”
“ต้วนโส่วฝู่เดินไปก่อนข้าหนึ่งก้าว ข้ากำลังจะตามเขาไปในไม่ช้านี้”
“เว่ยจื่ออั๋งน่าจะอายุน้อยกว่าต้วนฝู่หยูในตอนที่เขาเป็นจ้วงหยวน” ฮ่องเต้ตรัสพร้อมกับแย้มสรวล เมื่อฮ่องเต้ตรัสถึงบุตรชายคนโตของเขา สายตาของเว่ยฉิงก็อ่อนโยนลง
“ข้าเคยเห็นบุตรชายของเจ้า เขาดูเหมือนต้วนฝู่หยูมาก เมื่อข้าเห็นเขาเข้ากับจ้าวจิ่งซวนได้ดี ข้าคิดถึงตัวข้ากับต้วนฝู่หยูในตอนนั้น”
“แต่จ้าวจิ่งซวนนิสัยไม่ดีอยู่บ้าง อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะให้เขาแบกต้าโจวไว้บนบ่าแต่เพียงลำพัง ทั้งเว่ยจื่ออั๋งก็ยังอายุน้อย…” ในตอนที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ในครั้งนั้น แคว้นต้าโจวร่มเย็นสงบสุข ทรงเรียนรู้ศาสตร์ในการปกครองมาหลายปีและมีความพร้อมที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้ แม้กระทั่งต้วนฝู่หยูเองก็เข้าเป็นขุนนางในราชสำนักด้วย เขามีความสามารถที่จะดูแลดูกิจการในราชสำนักได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้กลับแตกต่างออกไป แม้ว่าจ้าวจิ่งซวนจะโตขึ้นมากแล้วแต่กระนั้นก็ยังยากที่เขาจะปกครองต้าโจวได้ ทั้งขุนนางเองก็ยังอายุน้อยยังไร้ซึ่งประสบการณ์ในการดูแลราชสำนัก
ฮ่องเต้ทรงถอนพระปัสสาสะ
“ข้าผิดเองที่ทิ้งเรื่องวุ่นวายไว้”
เป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงที่จะปล่อยแผ่นดินต้าโจวไว้กับฮ่องเต้และขุนนางที่ยังอายุน้อยเช่นนี้ ทั้งยังมีผู้ทรยศที่ยังหลบหนี ข้าราชบริพารที่เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ไหนจะตำแหน่งขุนนางที่ว่างลง ปัญหารุมเร้าทั้งภายนอกและภายใน แคว้นฉีและแคว้นฉู่ต่างจับจ้องมองดูอยู่ หากเพลี่ยงพล้ำไป…
พระองค์ไม่ทรงสงสัยเลยว่าหากต้าโจวจะอ่อนแอลง ทั้งแคว้นฉีและแคว้นฉู่คงจะเป็นเสมือนหมาป่าที่หิวโหยอยากขย้ำกลืนต้าโจวลงท้องไปตามๆกัน
พระองค์สูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตมากมายเพื่อที่จะเป็นฮ่องเต้ที่ดี แต่สุดท้ายแล้วเกลับทรงทิ้งความวุ่นวายไว้เอง
ฮ่องเต้ขมขื่นพระทัย สิ่งที่ทรมานอยู่ภายในพระทัยทำให้พระองค์ทรงนอนไม่หลับ ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดทางร่างกายเท่านั้น หากยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและละอายใจ โกรธที่จ้าวจิ่งซวนไม่ได้มีความทะเยอทะยาน สิ่งเดียวที่พระองค์จะทำได้ในเวลานี้ คือต้องปกป้องดูแลรักษาต้าโจวให้อยู่รอดปลอดภัย ต้องหาคนมาช่วยดูแล สมแล้วที่ต้วนฝู่หยูเป็นขุนนางที่จงรักภักดีข้างกายของเขา พวกเขาได้หารือร่วมกันและตกลงเลือกคนผู้นั้นเอาไว้แล้ว
อู่อวี้!
ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหน้าพระพักตร์
“ราชโองการแต่งตั้งที่อยู่เบื้องหน้าเจ้ามีด้วยกันสองฉบับ ฉบับหนึ่งแต่งตั้งให้จิ่งซวนเป็นองค์รัชทายาท และอีกฉบับหนึ่งแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขอให้เจ้าดูแลและช่วยเหลือราชสำนักให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย”
ที่จริงแล้วฮ่องเต้ทรงลังเลพระทัยอยู่ไม่น้อย หากในภายหน้าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่แผ่ขยายออกไปมาก เขาจะมีความทะเยอทะยานมากขึ้นไปกว่าเดิมหรือไม่ ? เขาจะพอใจอยู่แค่ตำแหน่งนี้เท่านั้นหรือ? หรือว่าเขาอาจจะกระหายอยากได้อำนาจที่ใหญ่โตไปมากกว่านี้
แต่…พระองค์ไม่ทรงมีทางเลือกอื่นอีก…
ต่อให้ไม่ทรงแต่งตั้งอู่อวี้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ตาม พระองค์ก็ไม่อาจหยุดยั้งไม่ให้อู่อวี้ปรารถนาตำแหน่งฮ่องเต้ได้ พระองค์ทรงเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวของคนผู้นี้ เลือกที่จะเชื่อว่าอู่อวี้ไม่มีความต้องการเช่นนั้น และเลือกที่จะเชื่อมั่นในความคิดของต้วนโส่วฝู่
หลังจากตรัสแล้ว พระองค์ทอดพระเนตรพิจารณาสีหน้าของอู่อวี้ ไร้ซึ่งร่องรอยแห่งความสุขบนใบหน้าของคนผู้นั้น ฮ่องเต้ลอบถอนพระปัสสาสะอย่างโล่งอก ทรงคิดว่าอู่อวี้คงไร้ซึ่งความทะเยอทะยานเป็นแน่
พระองค์ทรงรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ
ในตอนนั้นเองเสียงภายนอกตำหนักดังขึ้น
“ฝ่าบาท! กระหม่อมมีเรื่องสำคัญมารายงาน เกี่ยวข้องกับแคว้นต้าโจว ฝ่าบาทให้กระหม่อมเข้าเฝ้าด้วยเถิดพะย่ะค่ะ!”
ทั้งฮ่องเต้และเว่ยฉิงต่างจำเสียงคนผู้นี้ได้ เป็นหลู่เกอที่โกรธมากจนล้มป่วยลงนั่นเอง
“ฝ่าบาท..อู่อวี้ไม่ใช่อู่อวี้! อู่อวี้คือ…ฝาบาทได้โปรดให้กระหม่อมเข้าเฝ้าด้วย!”
เสียงผู้เฒ่าหลู่เกอเหมือนถูกโดนลากตัวออกไป เสียงเขาไกลออกไปทุกที
ทั้งสองคนได้ยินคำพูดของเขา
อู่อวี้ไม่ใช่อู่อวี้? หมายถึงอะไร? ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนง…
“ฝ่าบาท ควรให้หลู่เกอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ” เว่ยฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ยากจะดูออก
“บางทีเขาอาจจะมีเรื่องสำคัญมากที่ต้องทูลถวายรายงานก็เป็นได้”
ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนงแน่นมากขึ้น ทรงให้มหาดเล็กไปตามหลู่เกอมาเข้าเฝ้า
ในไม่ช้าหลู่เกอก็ถูกตามเข้ามาภายในตำหนัก หลู่เกอเหลือบมองเว่ยฉิงจากนั้นจึงได้วิ่งเข้าไปเข้าไปคุกเข่าที่หน้าเบื้องพระพักตร์อย่างกระตือรือร้น เขาชี้นิ้วไปยังเว่ยฉิงแล้วเอ่ยว่า
“ฝ่าบาท! เขาไม่ใช่อู่อวี้ เขาคือเว่ยฉิง เขาเป็นอดีตองค์รัชทายาทที่สมควรจะเสียชีวิตไปนานแล้ว!”
เสียงของหลู่เกอดังร้อนรน ด้วยความที่กลัวว่าหากเขาเอ่ยช้าไปเว่ยฉิงจะกระทำการได้สำเร็จ จะไม่มีที่ว่างให้เขาหลบหนีไปได้