เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 739 สกุลเซียว
บทที่ 739 สกุลเซียว
ณ พระตำหนักบูรพา ในห้องทรงพระอักษร
จ้าวจิ่งซวนสวมชุดองค์ชายรัชทายาทนั่งตัวตรง ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาดูเคร่งขรึมจริงจัง
“องค์รัชทายาท ท่านผู้สำเร็จราชการขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้ทูลรายงาน
แม้ว่าภายนอกจะมีข่าวลือมากมายว่าท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังคิดเข้ายึดอำนาจขององค์รัชทายาท ทั้งคู่กำลังประลองกำลังกัน ไม่เจ้าตายก็ข้าตาย แต่เรื่องจริงคือจ้าวจิงซวนชอบอยู่กับเว่ยฉิงมาก เมื่อได้ยินว่าเขามาขอเข้าเฝ้า สีหน้าของจ้าวจิ่งซวนก็มีความสุขอย่างไม่ปิดบัง
“ให้เขาเข้ามา”
ไม่นานนักเว่ยฉิงก็เข้ามา เขาสวมชุดงูเหลือม เผยให้เห็นรูปร่างเพรียวสูงโปร่ง ทั้งสง่างามและทรงพลังสมสถานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
จ้าวจิ่งซวนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทรงอักษร ยิ้มแย้มรับ เชื้อเชิญเขาอย่างกระตือรือร้น
“พี่ชาย รีบนั่งลงเร็ว”
ในบรรดาองค์ชายพระโอรสที่มีอยู่มากมาย จ้าวจิ่งซวนเป็นพระโอรสในลำดับที่หก จะมีใครที่ไม่คิดวางแผนฆ่าเขาบ้าง?
หลายครั้งที่เขาแอบอิจฉาสามัญชนที่มีพี่น้องรักใคร่ปรองดองและปกป้องพี่น้องของตน ตอนนี้เขาได้สัมผัสถึงความรู้สึกของพี่ชายจากเว่ยฉิงบ้างแล้ว จะไม่ให้เขามีความสุขได้อย่างไร?
เว่ยฉิงไม่เกรงใจ เขานั่งเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม สายตามองไปยังฎีกาที่ซ้อนกันอยู่ตรงหน้าจ้าวจิ่งซวน
“ตรวจไปกี่เล่มแล้ว” ก่อนหน้านี้ที่จ้าวจิ่งซวนได้รับบาดเจ็บ เว่ยฉิงช่วยดูแลแก้ปัญหาให้ แต่ตอนนี้ขาของจ้าวจิ่งซวนหายดีจนเดินได้แล้ว เว่ยฉิงจึงไม่ต้องการให้เขาเกียจคร้าน เขาให้จ้าวจิ่งซวนแบ่งฎีกาเป็นสามส่วน ส่วนที่หนึ่งเป็นส่วนที่จ้าวจิ่งซวนตัดสินใจเองได้ เว่ยฉิงจะไม่ตรวจหรือก้าวก่ายในการตัดสินใจของเขา ส่วนที่สองคือจ้าวจิ่งซวนไม่แน่ใจ ส่วนนี้เว่ยฉิงจะเอามาทบทวนอ่านดูอีกครั้ง และส่วนที่สามจะเป็นส่วนที่จ้าวจิ่งซวนตัดสินใจไม่ได้ เขาจะยกให้เว่ยฉิงเป็นคนตัดสินใจ
แม้ว่าเว่ยฉิงจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่เขาก็พร้อมที่จะหนีไปเสมอ เขาจะปล่อยให้จ้าวจิ่งซวนอยู่ว่างๆได้อย่างไร?
จ้าวจิ่งซวนรู้ว่าตนเองมีภาระอยู่บนบ่า เขาต้องทำงานให้หนักเพื่อที่จะเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น แต่กระนั้นคนเกียจคร้านเช่นเขาก็ยังคงทำงานผิดพลาด และยังต้องการความช่วยเหลือจากเว่ยฉิง
คนนอกต่างพากันร่ำลือว่าองค์ชายรัชทายาทและผู้สำเร็จราชการต่างต่อสู้กันเพื่ออำนาจ แต่แท้จริงแล้วทั้งสองฝ่ายต่างอยากผลักภาระให้กับอีกฝ่ายเพื่อที่ตนเองจะได้มีอิสระตามชอบใจต่างหาก
จ้าวจิ่งซวนเหลือบมองกองฎีกาที่ยังไม่ได้อ่านอย่างรู้สึกผิด
“พี่ชาย ข้าเป็นเพียงองค์ชายหาใช่ฮ่องเต้ไม่”
“ได้เวลาที่เจ้าจะขึ้นครองราชย์แล้วไม่ใช่หรือ? เจ้าอย่าได้เกียจคร้านมากนัก เจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้กินอาหารกลางวันจนกว่าจะทบทวนฎีกาเหล่านี้จนหมด”
จ้าวจิ่งซวนคอตก ก้มศีรษะลงราวกับลุกสุนัขที่น่าสงสาร ภายใต้สายตาที่เข้มงวดของเว่ยฉิง เขาได้แต่พยักหน้าอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
จ้าวจิงซวนทบทวนฎีกาจนคอแห้ง เขารู้สึกเจ็บคอจึงแอบมองเว่ยฉิง
“พี่ชาย พี่ไม่ได้ยุ่งมากหรอกหรือ? พี่ไม่จำเป็นต้องดูแลข้าก็ได้ หรือว่าพี่มีเรื่องอยากจะพูดกับข้า?”
“มีอยู่เรื่องหนึ่ง”
จ้าวจิ่งซวนรีบนั่งตัวตรงขึ้นมาทันที ในที่สุดเขาก็ได้มีเวลาพักบ้างแล้ว
“มีเรื่องอะไรหรือ?”
“ข้าอยากรื้อฟื้นคดีของสกุลเซียว” เว่ยฉิงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เขาสามารถรื้อฟื้นคดีของสกุลเซียวได้โดยตรง แต่ยังอยากแจ้งจิ่งซวนถึงเรื่องใหญ่เช่นนี้ก่อน
เวลาผ่านไปครึ่งเดือนแล้วหลังจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ไป ที่จริงเว่ยฉิงอยากรื้อฟื้นคดีนี้ตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามารับตำแหน่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขจัดความคับแค้นของสกุลเซียวหรือเพื่อขจัดความอัปยศอดสูของทหารกล้าผู้บริสุทธิ์ของสกุลเซียวก็ตามที เรื่องนี้อยู่ในใจของเขามานานเต็มที สกุลเซียวและวิญญาณทหารกล้าเหล่านั้นรอมานานเกินไปแล้ว
แต่ในตอนนั้นฮ่องเต้เพิ่งสิ้นพระชนม์ ราชสำนักยังไม่มั่นคง เหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นได้ เว่ยฉิงจึงได้แต่อดทนกลั้นเอาไว้ เขามีหน้าที่ทำให้เกิดเสถียรภาพในแคว้นต้าโจว
บัดนี้ได้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว
หลังจากที่จ้าวจิ่งซวนได้ยินเรื่องราว เขาตกตะลึงไปครู่ใหญ่ ที่จริงเขาเคยได้ยินเรื่องของสกุลเซียวมาบ้างเพียงแต่ไม่รู้รายละเอียดมากนัก
เว่ยฉิงเล่าและอธิบายให้เขาฟังอย่างอดทนว่ามีอะไรเกิดขึ้นในปีนั้น
ท่านแม่ทัพเซียวได้ถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวง ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ จากนั้นจึงได้ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ไม่เพียงแต่พูดด้วยวาจาเท่านั้น เว่ยฉิงยังนำหลักฐานออกมาแสดงให้เห็นอีกด้วย จ้าวจิ่งซวนมองหลักฐานด้วยหัวใจที่หนักอึ้งราวกับมีบางอย่างมากดทับเอาไว้ ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างอดไม่ไหว
ทหารที่ต่อสู้เพื่อต้าโจวต้องมาแบกความอัปยศสูโดนผู้คนกล่าวหาว่าเป็นกบฏ
“พี่ชาย ..เสด็จพ่อทรงทราบเรื่องนี้หรือไม่?” จ้าวจิ่งซวนถามอึกอัก
เว่ยฉิงพยักหน้า
จ้าวจิ่งซวนเกิดในราชวงศ์ แค่เพียงเว่ยฉิงพยักหน้าเขาก็รับรู้ได้ถึงสาเหตุ เขาก้มหน้าลงไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งจึงได้เห็นสีหน้าจริงจัง หนักแน่น
“ทหารกล้าที่ต่อสู้เพื่อแคว้นต้าโจวไม่สมควรต้องมาแบกรับความอัปยศอดสูเช่นนี้ ถึงเวลาที่ต้องคืนความยุติธรรมให้พวกเขาเหล่านั้น พี่ชาย ข้าสนับสนุนท่าน แต่…ท่านสัญญากับข้าได้หรือไม่ว่า…”
วันถัดมา
พระบรมราชโองการของฮ่องเต้ราวกับสายฟ้าฟาดเข้ายังท้องพระโรง ทำให้เกิดความโกลาหล
เมื่อยี่สิบปีก่อน กองทัพสกุลเซียวไม่ได้เข้าร่วมมือกับศัตรูหรือคิดเป็นกบฏทรยศต่อแคว้นบ้านเกิดของตน พวกเขาถูกใส่ความ
พระบรมราชโองการนี้ได้แก้ไขชื่อเสียงของสกุลเซียว ท่านแม่ทัพเซียว และอดีตฮองเฮาผู้ล่วงลับไปแล้ว ทั้งยังกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของสกุลหวังและสกุลหลู่ที่ได้ร่วมมือกันสมคบป้ายสีข้อหาให้สกุลเซียว
ในพระบรมราชโองการไม่มีการกล่าวถึงฮ่องเต้พระองค์ก่อน แม้ว่าพระองค์จะเป็นผู้กระทำผิดก็ตาม
ทั้งนี้เป็นเพราะจ้าวจิ่งซวนได้ขอร้องเอาไว้ แม่ทัพนายกองหลายคนไม่พอใจแต่ต้องจำนนด้วยหลักฐาน พวกเขาบางคนถึงกับพูดว่าอดีตฮ่องเต้ถูกหลอกลวงจากผู้ทรยศ
ข้าราชบริพารหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลเซียวหรือผู้ที่มีความจงรักภักดีรวมไปถึงผู้ที่แอบทำงานให้สกุลเซียวอยู่เบื้องหลัง ต่างพากันโล่งใจ
ในที่สุดก็ถึงวันที่พวกเขารอคอยมานาน
ในศาลาแห่งหนึ่ง…
มีเงาร่างสูงใหญ่หนึ่งร่าง ร่างเล็กหนึ่งร่างกำลังยืนพิงแอบอิงกัน ทั้งสองคนไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเว่ยฉิงและถังหลี่นั่นเอง เบื้องหน้าพวกเขาเป็นพื้นที่เปิดโล่งกว้าง เมื่อยี่สิบปีที่แล้วพื้นที่นี้เต็มไปด้วยเลือด มีศพนอนเกลื่อนกลาดไปทั่ว กองทัพของสกุลเซียวถูกฝังอยู่ ณ.ที่แห่งนี้
ในยามค่ำคืนเหมือนได้ยินเสียงกรีดร้องร่ำไห้ด้วยความทุกข์ทรมาน บรรยากาศล้วนสลดหดหู่เต็มไปด้วยวิญญาณอาฆาตที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด เว่ยฉิงเคยมาที่นี่เพียงแค่ครั้งเดียวในยามพลบค่ำ ลมหนาวกรรโชกพัดมาทำให้รู้สึกเย็นยะเยือก เงาของกิ่งไม้ที่กวัดแกว่งไปมาราวกับเสียงคร่ำครวญเรียกหาความยุติธรรมของวีรบุรุษผู้กล้าหาญเหล่านั้น
เว่ยฉิงนำสุรามาคารวะต่อดวงวิญญาณที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แจ้งให้พวกเขาได้รับรู้ถึงสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป ตอนนี้ดวงวิญญาณของทหารสกุลเซียวจะได้พักผ่อนอย่างสงบสุขไม่ต้องแบกความอัปยศอดสูอีกต่อไปแล้ว พวกเขาคือวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้าโจว
เบื้องหน้าเว่ยฉิงราวกับมีทหารใส่เสื้อเกราะปรากฏขึ้นมากมาย ทุกคนต่างส่งยิ้มให้เขา ชั่วพริบตาก็เลือนหายไป
ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิมีดอกไม้บานอยู่เต็มพื้นที่ว่างเปล่าแห่งนี้ ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เว่ยฉิงกอดภรรยาไว้ในอ้อมแขน เขายืนอยู่ในศาลาทอดมองอยู่นาน
“ฮูหยิน เรากลับกันเถิด”
“กลับเถิด…พาลุงสามของท่านกลับเมืองหลวงด้วยดีหรือไม่?”
“ดี”
ทั้งคู่จับมือกันเดินจากไป
….
มณฑลวั่งเซียน อำเภอหลง
ภายในเหมืองเหล็ก ผู้คนที่หลงเหลือจากสกุลเซียวและกลายเป็นคนบาป ชีวิตของคนเหล่านั้นกลับพลิกผันชั่วข้ามคืนสืบเนื่องมาจากพระบรมราชโองการของฮ่องเต้ พวกเขากลายเป็นไทไม่ใช่ทาสอีกต่อไป ไม่ต้องอยู่ในเงามืดเช่นทุกวันนี้ พวกเขากลายเป็นสามัญชนออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตตามปกติเช่นเดียวกับพลเมืองของแคว้นต้าโจวทั่วไป แต่งงานมีลูกสืบสกุลไม่ต้องใช้ชีวิตเยี่ยงทาสอีกต่อไปแล้ว
ใบหน้าหยาบกร้านเหี่ยวแห้งที่เกิดจากการทำงานหนักมาช้านานของเซียวเหล่าจิ่วเผยให้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุข เขารู้ดีว่า ท่านแม่ทัพเซียวย่อมไม่ใช่คนทรยศขายชาติอย่างแน่นอน และก็เป็นตามที่เขาคิดจริงๆ
ในที่สุดเรื่องราวก็ได้เปิดเผยขึ้น สวรรค์มีตาแล้ว!
เขาจำได้ว่าไม่นานมานี้มีชายร่างสูงใหญ่มาปรากฏตัวที่เหมืองแห่งนี้ รับปากกับเขาว่าจะคืนความยุติธรรมให้แก่ท่านแม่ทัพเซียว พวกเขาจะได้รับอิสระออกไปจากเหมืองแห่งนี้ได้
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เป็นไปตามที่เขาคนนั้นพูดเอาไว้
ชายชราไม่รู้เลยว่าการทวงคืนความยุติธรรมของท่านแม่ทัพเซียวได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้นั้นหรือไม่
………..
เรื่องนี้แพร่สะพัดร่ำลือกันไปตามท้องถนน ตรอกซอกซอยในมณฑลและเมืองน้อยใหญ่ของแคว้นต้าโจว
“พวกเจ้าได้ยินเรื่องที่ท่านแม่ทัพเซียวถูกใส่ร้ายบ้างหรือไม่? เขาไม่ได้ร่วมมือกับศัตรูหรือทรยศต่อแคว้นแต่อย่างใด”
“นั่นสิ! ตอนนั้นข้าก็ว่าแปลก คนดีอย่างท่านแม่ทัพเซียวจะทรยศต่อแคว้นได้อย่างไร? มีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังนี่เอง”
“แม่ทัพเซียวคือใครกัน? ข้ารู้จักแต่ท่านแม่ทัพกู้ แม่ทัพเฉา แม่ทัพเหลียง ไม่เคยได้ยินเรื่องของท่านทัพเซียวเลย”
“แน่นอนว่าคนหนุ่มสาวย่อมไม่เคยได้ยินวีรกรรมที่กล้าหาญของกองทัพสกุลเซียวอยู่แล้ว เรื่องนี้ผ่านมาถึงยี่สิบปี ในตอนนั้นท่านแม่ทัพเซียวถือได้ว่าเป็นเทพเจ้าสงคราม ท่านเป็นเทพเจ้าที่คองดูแลปกป้องแคว้นต้าโจวของพวกเรา
“ใช่! ท่านแม่ทัพเซียวมีผลงานในการทหารที่โดดเด่นไม่ว่าจะเป็นที่สมรภูมิรบอี้ตง หวังชวน โม่หนาน ท่านแม่ทัพเซียวได้สร้างตำนานเอาไว้อย่างมากมาย”
“แม่ทัพพยัคฆ์ของสกุลเซียวมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าสกุลกู้เสียอีก บุตรชายคนโตของแม่ทัพเซียวมีความกล้าหาญหาใครเปรียบไม่ได้ ครั้งหนึ่งเขาควบม้าตัวเดียวจับแม่ทัพของศัตรูจนพ่ายศึกไป บุตรชายคนรองของสกุลเซียวก็ไม่แพ้ใคร โดดเด่นทั้งขี่ม้าและยิงธนู ส่วนบุตรชายคนที่สาม…”
บรรดาผู้สูงอายุต่างพากันรวมตัวเล่าเรื่องความกล้าหาญของสกุลเซียวโดยมีคนหนุ่มสาวพากันยืนฟังอย่างสนอกสนใจ
ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น ชายวัยกลางคนท่าทางสง่าผ่าเผย นั่งฟังการสนทนาอยู่นานครึ่งค่อนวันพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของเขา
“นายท่านสาม สายมากแล้วกลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมก่อนเถิด พวกเราจะถึงเมืองหลวงอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว”
บ่าวรับใช้ชราที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยเตือน เขาพยักหน้ารับ จากนั้นจึงได้เดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมกับบ่าวผู้นั้น