เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 746 การสืบสวนของฮั่วจีว์ 4
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 746 การสืบสวนของฮั่วจีว์ 4
บทที่ 746 การสืบสวนของฮั่วจีว์ 4
กลางดึก
จือฮวาโหลวที่หลับไหลในตอนกลางวันได้ตื่นขึ้นมามีชีวิตชีวายามค่ำคืน เสียงหัวเราะของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออกรับแขกที่มาเที่ยว ฮั่วจีว์เป็นลูกค้ารายแรกที่มาถึงจือฮวาโหลว และที่ด้านหลังของเขาก็มีคนต่อคิวยาวเหยียด ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจเมื่อรู้ว่าคนเหล่านี้มาเพื่อเจอแม่นางชิงลั่ว
เขาเดินเข้าไปด้านใน เมื่อนั่งลงก็เอนหลังพิงพนักอย่างเกียจคร้าน เขาสังเกตคนที่ตามมาด้านหลัง หากเป็นคนรูปร่างเตี้ย เขาจะจดจำไว้
“พี่ฮั่ว” เสียงเรียกอย่างยินดีดังขึ้น เขาคือสหายเจ้าสำราญของฮั่วจีว์นั่นเอง ชายคนนั้นวิ่งมาหาฮั่วจีว์ด้วยรอยยิ้มล้อเลียน
“เมื่อวานท่านบอกไม่ใช่หรือว่าไม่สนใจนาง เหตุใดวันนี้ยังมาอีกเล่า” ฮั่วจีว์สบถแต่ไม่ตอบ สหายของฮั่วจีว์เห็นเขายอมรับ จึงได้คลี่ยิ้มออกมา ในกลุ่มคนเจ้าสำราญเป็นเช่นนี้เอง หากมีใครสักคนทำท่าเอางานเอาการขึ้นมา คนที่อยู่ในกลุ่มจะรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาโดนทรยศ
ทั้งๆ ที่ตกลงกันแล้วว่าจะร่วมหัวจมท้ายกันเสเพลแต่กลับไม่ทำตามที่ตกลงกันเอาไว้
แน่นอนว่าคนที่เสเพลจะต้องรู้สึกกดดันเป็นธรรมดา เพราะผู้อาวุโสในตระกูลจะหยิบเป็นตัวอย่างเอามาแอบอ้างเพื่อที่จะหาเรื่องก่นด่าพวกเขา เขาเคยคิดว่าฮั่วจีว์จะกลับเนื้อกลับตัวได้ แต่ตอนนี้กลับมาติดหญิงงามที่หอนางโลมเข้าเสียแล้ว จะไม่ให้เขามีความสุขได้อย่างไร
ในหมู่คนเสเพลแล้วฮั่วจีว์เป็นคนที่เก่งที่สุด ไม่ว่าใครก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก แต่ฮั่วจีว์กลับไม่ต้องใช้ความพยายามเลย
ฮั่วจีว์กวาดสายตามองไปรอบๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่คุ้นเคยกัน มีแค่สี่ห้าคนเท่านั้นที่เขาไม่เคยเห็นหน้า ฮั่วจีว์จึงได้จดจำเอาไว้
ผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาจนที่นั่งเต็มไปหมด เขาเริ่มไม่มีสมาธิเมื่อเห็นว่าอีกไม่ช้าจะได้พบหน้าแม่นางชิงลั่วแล้ว ในที่สุดเสียงดนตรีก็ดังขึ้น เขารีบมองไปที่หน้าเวที และแล้วก็ได้เห็นหญิงสาวร่างบอบบางผู้หนึ่งจับเชือกโรยตัวลงมาจากด้านบน ทุกคนล้วนกลั้นหายใจ
ช่างงดงามเหลือเกิน..
เท้าเรียวของแม่นางชิงลั่วแตะลงไปที่พื้น นางเริ่มร่ายรำ ฮั่วจีว์มองตาไม่กระพริบ แม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่หัวใจเขาเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อแม่นางชิงลั่วชายตามองมาที่เขา ราวกับฮั่วจีว์ถูกโดนน้ำร้อนลวก ชั่วแวบนั้น สายตาของนางช่างเหมือนกับสายตาของหัวหน้าเป่ยยามที่ใช้มองเขาไม่ผิด
บ้าไปแล้ว!
สายตาของชิงลั่วกระตุกให้เขามีสติรับรู้ขึ้นมา เขาตระหนักได้ว่าการมาเยือนของเขาในตอนนี้คือการสืบสวนคดี
ดวงตาของฮั่วจีว์มองไปที่ผู้ชมที่อยู่รอบๆ เขาเพ่งความสนใจไปยังชายร่างเตี้ย พยายามแยกแยะด้วยสายตาของตนเอง
สุดท้ายเขาก็มองไปยังชายที่อยู่มุมห้อง ชายคนนั้นนั่งอยู่ เขาดูเตี้ยมากเมื่อเทียบกับคนที่นั่งขนาบอยู่ซ้ายขวา ท่าทางที่มืดมนของเขาชวนให้คนมองไม่สบายใจ ฮั่วจีว์เหลือบตามองหลายครั้งพยายามจดจำใบหน้าท่าทางของเขาเอาไว้
ในตอนนั้นเองมีเสียงเอะอะดังออกมาจากหน้าเวที ชายผู้หนึ่งวิ่งไปกอดชิงลั่วเอาไว้หลังจากที่นางร่ายรำเสร็จแล้ว
“แม่นางชิงลั่ว แค่เจ้ารับปากว่าจะติดตามข้า ข้าจะไถ่ตัวให้เจ้า บิดาข้าเป็นถึงเจ้ากรมพลเรือน…” แม่นางชิงลั่วดิ้นรนอย่างหนักทำให้ชายคนนั้นโกรธมาก
“นังแพศยา เจ้าอยากจะขายตัวหรือ? เป็นพรของเจ้าแล้วที่ข้าชอบเจ้า โอ้ย!” เสียงของเขาชะงักไป ก่อนที่ชายผู้นั้นจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ร่างของเขาปลิวออกไปไกล ด้วยแรงเตะจากฮั่วจีว์นั่นเอง
“แม่นางชิงลั่ว เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” ฮั่วจีว์ถามด้วยความห่วงใย นางมองฮั่วจีว์เห็นว่าเขากำลังจับมือของนางอยู่ ฮั่วจีว์เผลอตัวเพราะเกรงว่านางจะหกล้ม ผิวของนางช่างเรียบเนียนและบอบบางมาก..
ไม่สิ!
เขาจับมือของนางหรือ?!
“ข้า ข้าขออภัย..” เขารีบปล่อยมือพูดด้วยความเขินอาย ฮั่วจีว์ถูกผลักออกอย่างแรง เขาตกตะลึง เหตุใดถึงได้แรงเยอะนักเล่า? ในตอนนั้นเองชายที่ฮั่วจีว์เตะจนกระเด็นได้ลุกขึ้นมาจากพื้น พยายามที่จะเข้าทำร้ายฮั่วจีว์ เขาจึงหันไปเตะอีกครั้ง
“เจ้า! เจ้ากล้าทำร้ายข้า? รู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าเป็นใคร?” ชายคนนั้นตะคอก
“ข้าไม่สนว่าบิดาเจ้าเป็นใคร? ข้าจะเตะเจ้าให้ตาย”
น้องเขยของเขาเป็นถึงผู้สำเร็จราชการเชียวนะ ต้องให้เขาพูดข่มโอ้อวดด้วยหรือ? หากฮั่วจีว์ไม่คิดถึงผลกระทบ เขาคงได้เปิดปากพูดออกไปแล้ว
“ข้าจะทำให้เจ้ารู้สำนึกเอง ไอ้ลูกเต่า”
ฮั่วจีว์ทุบตีชายคนนั้นอย่างดุเดือดจนคนคุ้มกันหอนางโลมกันพวกเขาแยกออกจากกัน เมื่อฮั่วจีว์หันกลับมาอีกครั้งก็ไม่พบแม่นางชิงลั่วแล้ว ทั้งชายร่างเตี้ยก็หายไปด้วยเช่นกัน
สหายเจ้าสำราญของเขาเดินมาหาฮั่วจีว์
“พี่ฮั่วการปกป้องหญิงงามของพี่ช่างดูกล้าหาญยิ่งนัก แม่นางชิงลั่วคงจะประทับใจพี่เป็นแน่” ใบหน้าของฮั่วจีว์ขึ้นสี
“จริงหรือ?”
“แต่อย่างไรก็ตามท่านคือคุณชายฮั่วและชิงลั่วเป็นหญิงในหอนางโลม ท่านเสพสุขได้อย่างผิวเผินเท่านั้น แต่อย่าได้ยึดถือเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาล่ะ” สหายของฮั่วจีว์เตือนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พวกเขาเคยไปหอนางโลมมาด้วยกันหลายครั้ง แม้ฮั่วจีว์จะเสเพลแต่ก็ไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหน ตอนนี้ฮั่วจีว์มีใจจริงจังกับแม่นางชิงลั่ว
ในสังคมของพวกเขามีชายหนุ่มมากมายที่ตกหลุมรักหญิงคณิกา พวกเขาตั้งใจจะแต่งงานโดยมีแม่สื่อตามพิธี แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกไปเพราะครอบครัวคัดค้าน นับเป็นเรื่องตลกของคนทั้งเมือง เขาไม่อยากให้ฮั่วจีว์เป็นแบบนั้น
“หญิงคณิกาแล้วอย่างไร” ฮั่วจีว์ไม่พอใจ
แม้ว่าแม่นางชิงลั่วจะเป็นสาวคณิกาแต่นางก็มีศักดิ์ศรีและสูงค่าในใจของฮั่วจีว์ เขาไม่ดูแคลนนางเลยสักนิด
“พี่ฮั่วอย่าไปจริงจังมากนัก” สหายของเขากล่าวพูดย้ำเตือน เพราะไม่ว่าฮั่วจีว์จะจริงจังเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี
เมื่อฮั่วจีว์ออกจากจื่อฮวาโหลว เขาเอาแต่คิดถึงแม่นางชิงลั่ว ทันใดนั้นหัวหน้าเป่ยที่น่ารำคาญก็ปรากฏตัวขึ้นในความคิดของเขา
“ตอนที่สืบคดีต้องมีสมาธิอย่าว่อกแว่ก” ฮั่วจีว์กัดฟันไล่คนทั้งสองออกจากความคิด
ชายร่างเตี้ยคนนั้นจะเป็นปีศาจถลกหนังหรือไม่? หากเป็นเขาจริงๆแม่นางชิงลั่วกำลังตกอยู่ในอันตราย
แม่นางชิงลั่วร่ายรำติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันทำให้ชื่อเสียงของนางแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ขึ้นเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของจือฮวาโหลว ฮั่วจีว์หาตั๋วได้ เขาจึงมาที่นี่ทุกวัน เขาพบชายร่างเตี้ยคนนั้นหลายครั้ง แต่เมื่อเขาสะกดรอยตามไป ชายร่างเตี้ยมักจะหายไปทุกที เขาคิดว่าชายเตี้ยผู้นี้มีแนวโน้มน่าจะเป็นปีศาจถลกหนังมากที่สุด และแม่นางชิงลั่วกำลังตกเป็นเป้าของมัน นางกำลังอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจตนนี้ เขาต้องปกป้องแม่นางชิงลั่วและจับปีศาจถลกหนังให้ได้ แน่นอนว่าเขาทำมันเพราะคิดถึงเรื่องปลอดภัยเท่านั้นไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง