เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 754 เปิดโปงคนลวงโลก
บทที่ 754 เปิดโปงคนลวงโลก
หมอโหย่วนั่งอยู่หลัง โต๊ะเบื้องหน้าของเขามีชาวบ้านต่อแถวยาวเหยียด รอบข้างมีผู้คนรุมล้อมอยู่มากมาย พวกเขารอดูความเก่งกาจของหมอผู้นี้
เมื่อวานเขารักษาชายตาบอดและผู้ป่วยวัณโรคได้ เขาคือหมอเทวดาผู้ที่เป็นฮัวโต๋กลับชาติมาเกิด
แม่นมจ้าวจับมือตู้เว่ยยืนอยู่ตรงนั้น
เมื่อได้ยินเสียงร่ำลือจากรอบข้าง นางคาดหวังในตัวของหมอผู้นี้ว่า อาการพูดไม่ได้ของคุณหนูอาจจะรักษาให้หายขาดได้
“แม่นางเชิญนั่งก่อน” หมอโหย่วกล่าวเชิญ เด็กสาวนั่งลงตรงข้ามหมอโหย่ว
“แม่นาง ข้าขอมือขวาของเจ้าหน่อย” ตู้เว่ยวางมือขวาของตัวเองลงบนโต๊ะ หมอโหย่วจับชีพจรของนาง ผ่านไปสักพักเขาถอนมือกลับแล้วถาม
“แม่นาง รบกวนเจ้าถอดผ้าคลุมออกหน่อยได้หรือไม่?”
ตู้เว่ยรู้สึกเขินอายเล็กน้อยนางไม่อยากจะให้ทุกคนเห็นใบหน้าของตัวเองเพราะไม่ชอบสายตาที่คนอื่นมองมา ตู้เว่ยเอื้อมไปดึงมือของแม่นมจ้าว
“ท่านหมอ…ไม่เปิดได้หรือไม่? คุณหนูของข้าไม่ค่อยสะดวกเจ้าค่ะ”
ทุกคนล้วนคิดว่าเด็กสาวผู้นี้คงหน้าอัปลักษณ์จนไม่กล้าที่จะเผยโฉม น่าเสียดายที่นางมีรูปลักษณ์ภายนอกสง่างาม
“นี่เป็นการรักษา ท่านอย่าได้มีความลับกับข้าผู้เป็นหมอเลย”
“ใช่ๆ ต่อให้เจ้าหน้าตาดูไม่ได้พวกข้าก็ไม่หัวเราะเยาะหรอก”
ตู้เว่ยขมวดคิ้วแน่นภายใต้เสื้อคลุมของนาง
“ว่ากันว่าหมอเทวดาท่านนี้เป็นฮัวโต๋กลับชาติมาเกิด เพียงตรวจชีพจรก็น่าจะหาสาเหตุได้ ตอนนี้หากมองเพียงคางของนางเห็นได้ชัดว่ามีเลือดฝาดแปลว่านางมีสุขภาพแข็งแรงดี” ในตอนนั้นเสียงของหญิงคนหนึ่งดังขึ้น และเพราะประโยคนี้เองจึงทำให้หมอเลิกพูดถึงเรื่องเสื้อคลุมของนาง
“ข้ารู้สึกถึงอาการป่วยนางตอนจับชีพจร แต่ว่าปัญหาของนางนั้นไม่ได้มาจากข้างนอกแต่มาจากภายใน ไม่ใช่ลำคอแต่เป็นที่สมองของนาง ตราบใดที่รักษาสมองของนางได้ นางก็จะสามารถพูดได้” หมอกล่าว
เมื่อก่อนนี้หมอบอกรักษาไม่ได้ แต่หมอท่านนี้กลับวินิจฉัยได้จริงเพียงแค่จับชีพจรเท่านั้น แม่นมจ้าวมีท่าทีประหลาดใจระคนนับถือ
“ท่านหมอ โปรดช่วยคุณหนูของข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“เป็นเรื่องที่ข้าต้องช่วยอยู่แล้ว” หมอโหย่วกล่าว พลางยื่นขวดกระเบื้องออกมา
“กินยาที่อยู่ในนี้วันละสามเม็ดเป็นเวลาครึ่งเดือน อาการป่วยของนางจะหาย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านหมอ”
“ห้าสิบตำลึง” หมอโหย่วพูดต่อ
แม่นมจ้าวงงงัน “ห้าสิบตำลึง?”
แม้ว่าฮูหยินตู้จะไม่ได้ใจร้ายกับนาง ตู้เว่ยได้รับเงินสิบตำลึงทุกเดือน ทว่าเงินห้าสิบตำลึงเช่นนี้นับว่าเป็นเงินจำนวนมากโขอยู่ นางไม่ได้มีเงินมากเช่นนั้น
ตู้เว่ยขมวดคิ้ว ดึงมือแม่นมจ้าวเพื่อเตรียมจากไป ตอนที่เขาจับชีพจรนางก็เข้าทีดีอยู่หรอก แต่เมื่อเขาเอ่ยถึงเงินห้าสิบตำลึงแล้ว ตู้เว่ยคิดว่าเขาเป็นคนลวงโลก
ตู้เว่ยดึงมือแม่นมจ้าวอีกครั้ง ทว่านางไม่ยินยอม ตอนนี้ได้เจอหมอที่รักษาคุณหนูได้แล้ว ถึงแม้ว่านางจะไม่มีเงินถึงห้าสิบตำลึงก็ตามแต่น่าจะมีหนทางสิ
แต่ตู้เว่ยมีความแน่วแน่มาก แม้ภายนอกจะมีรูปลักษณ์ที่นุ่มนวลแต่นางเป็นคนใจแข็ง หากได้ลองตัดสินใจในสิ่งใดแล้ว ยากนักที่จะเปลี่ยนได้ง่าย แม่นมจ้าวจึงได้แต่เดินตามตู้เว่ยออกไป แต่พอก้าวเดินก็มีคนสองสามคนมาขวางพวกนางเอาไว้
“อะไร? เจ้าจะไปแล้วหรือ?จะไม่จ่ายค่ารักษาเลยด้วยซ้ำหรือ”
“ท่านหมอตรวจแล้ว จ่ายยาแล้ว การที่เจ้าจากไปเช่นนี้นับว่าไม่สมควร”
“ไม่มีเงินก็อย่ามาหาหมอตั้งแต่แรกสิ ทำให้คนอื่นต้องเสียเวลาเพราะเจ้า”
“ท่านหมออารมณ์ไม่ดีแล้ว เขาจะรักษาคนต่อจากเจ้าได้อย่างไร?”
เมื่อคนผู้นี้พูดจบ ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมา
“ใช่ หมอตรวจเจ้าแล้ว จู่ๆ ก็จากไปเลยหรือ?”
“ไม่มีเงินจะแล้วจะมาทำไม?”
แม่นมจ้าวดึงตู้เว่ยและทำท่าจะออกไป มีไม่กี่คนที่มาขวางพวกนางไว้ เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เป็นพวกเดียวกับหมอโหย่ว พวกเขาจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ จนกว่าพวกนางจะจ่ายเงินเสียก่อน
แม้แม่นมจ้าวจะเป็นคนดุร้ายมากเพียงใดก็ตาม แต่นางย่อมสู้แรงชายวัยฉกรรจ์ตรงหน้าไม่ได้ นางปกป้องตู้เว่ยไว้ข้างหลังตนเอง แม้จะหวาดกลัวก็ตาม
“เงินแค่ห้าสิบตำลึงไม่ใช่หรือ? ข้ามี!” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ตู้เว่ยจำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของสตรีที่เอ่ยช่วยเหลือเมื่อครู่ หญิงสาวที่อยู่ในฝูงชนปรากฏตัวขึ้น เมื่อตู้เว่ยเงยหน้า ก็เห็นหญิงสาวอายุมากกว่า เกล้าผมดุจสตรีออกเรือน แต่ใบหน้าอ่อนเยาว์ ผิวขาวดูอ่อนโยน ทว่าท่าทีกลับแข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนข้อ
นางคือถังหลี่นั่นเอง
ถังหลี่เฝ้ามองจากด้านข้าง นางมั่นใจอย่างยิ่งว่าชายผู้นี้โกหก เป็นเรื่องหยาบช้ามากที่มีคนลวงโลกเช่นนี้มารังแกเด็กสาวที่พูดไม่ได้
ถังหลี่ถือถุงเงินมีน้ำหนักอยู่ในมือ คะเนดูก็คาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นเงินห้าสิบตำลึง
เมื่อเห็นว่าถุงเงินอยู่ตรงหน้า ดวงตาของโหย่วอี้ก็ฉายแววละโมบ เขาเอื้อมมือไปหยิบ แต่ถังหลี่รีบชักมือกลับจนหมอโหย่วได้แต่คว้าอากาศ
“ข้ามีเงิน แต่ต้องดูก่อนว่ายาของเจ้าคุ้มค่ากับเงินมากน้อยเพียงใด”
“ยาที่ข้านำมาล้วนแต่เป็นยาชั้นดี แน่นอนว่าย่อมคุ้มค่า! เงินห้าสิบตำลึงถูกมากแล้ว ข้าขายราคาไม่สูงเพราะเห็นใจนาง” หมอโหย่วกล่าว
“เจ้าบอกว่าเด็กคนนี้พูดไม่ได้ สาเหตุไม่ได้มาจากคอแต่เป็นที่สมอง บอกข้าได้หรือไม่ ว่าเป็นเพราะเหตุใด”
หมอโหย่วตกตะลึง เขาซื้อตำราทางการแพทย์มาอ่านจริงๆ จึงสามารถอ้างอิงได้ถึงหลักฐานที่ลึกซึ้งและเข้าใจยากเพื่อที่จะหลอกผู้คน เมื่อได้ยินคำถามของถังหลี่ทำให้เขาตกใจมาก แต่อย่างไรเสียในเมื่อเขาเป็นนักต้มตุ๋นมืออาชีพ จึงรีบตอบไปทันที
“เพราะนางมีรอยช้ำที่ศีรษะ นางล้มตั้งแต่ยังเล็ก”
“เช่นนั้นนางก็พูดไม่ได้ตั้งแต่เกิดหรือพูดไม่ได้ตั้งแต่นางล้มเล่า?” ถังหลี่ซักต่อ
“เป็นเพราะหกล้ม” หมอโหย่วยังดันทุรังตอบ
“ไม่เจ้าค่ะ คุณหนูพูดไม่ได้ตั้งแต่เกิดเจ้าค่ะ” แม่นมจ้าวชิงตอบ
“อ้อ! ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าในระหว่างที่คลอด นางได้ถูกบีบที่ศีรษะ” หมอโหย่วลื่นไหลไปได้
ถังหลี่หยิบขวดกระเบื้องเคลือบบนโต๊ะขึ้นมา
“เจ้าจะทำอะไร?” เขาถามเสียงดัง
หญิงสาวเปิดจุกขวดกระเบื้องเคลือบนำมาดมที่ใต้จมูกของตน
“เจ้าบอกว่าหญิงคนนี้มีเลือดอุดตันที่สมอง ยาที่เจ้าสั่งควรจะเป็นยาที่กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและสลายลิ่มเลือด แต่เมื่อข้าได้กลิ่นยาของเจ้าแล้ว..” ถังหลี่นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ใบจิงจูฉ่าย รากกวาวเครือและดอกเบญจมาศป่าเท่านั้น…เป็นยาราคาถูกที่ไม่ได้มีส่วนผสมที่ช่วยเรื่องการไหลเวียนของโลหิตและสลายลิ่มเลือดเลยแม้แต่น้อย”
“เจ้า..เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? รู้จักวิชาแพทย์หรือ? รู้จักยาพวกนั้นหรือ? อย่าได้เหลวไหล” หมอโหย่วพูดด้วยความโกรธ
“แน่นอนว่าข้ารู้ ข้าคิดว่าควรรายงานเรื่องนี้ให้กับเจ้าหน้าที่ และเชิญหมอที่เก่งกาจมาช่วยยืนยันคำพูดของข้าดูว่าเป็นจริงหรือไม่?”
เมื่อหมอโหย่วได้ยินเข้าก็ถอยหลังเตรียมจะวิ่งหนีทันที แต่แค่ก้าวไปเพียงสองสามก้าวก็บังเอิญชนกับชายสองคนที่ยืนขวางอยู่เข้าเสียก่อน
“เจ้าคนลวงโลกไปพบเจ้าหน้าที่กับข้าเดี๋ยวนี้” เป่ยหยินพูดแล้วคว้าคอเสื้อของหมอโหย่วหิ้วจากไป
คนที่มารอพบหมอเมื่อรู้ว่าชายคนนี้เป็นคนลวงโลก พวกเขาได้แต่ก่นด่าและแยกย้ายกันไป
ตู้เว่ยฝ่าฝูงชนออกมาหาถังหลี่ นางถอดเสื้อคลุมของตนเองออกทำให้ถังหลี่เห็นใบหน้าของนางชัดเจน
หญิงสาวอายุราวสิบหกหรือสิบเจ็ดปี ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และงดงามจนชวนตะลึงลาน ดวงตาเหมือนผลเมล็ดซิ่ง ใบหน้าเล็กดูประณีต
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดนางจึงสวมเสื้อคลุมไว้ เพราะรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นเกินไปเช่นนี้ หากว่าไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองแล้ว ย่อมนำภัยพิบัติมาสู่ตนได้ง่ายนัก
ถังหลี่เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ตู้เว่ยโค้งคำนับหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยความสำนึกในบุญคุณ แววตาของนางเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณฮูหยินที่ได้กรุณาช่วยข้าเอาไว้” หญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆนางพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ขอบคุณแล้ว นางก็รีบพาตู้เว่ยจากไป
ถังหลี่มองตามหลัง ในบรรดาเด็กสาวที่นางได้เคยพบเห็น แน่นอนว่าต้องเป็นซานเป่าที่งดงามที่สุด
ส่วนเด็กสาวผู้นี้ย่อมเป็นที่สองในใจของถังหลี่
ไม่รู้ว่าเด็กสาวที่งดงามเช่นนี้จะออกเรือนไปกับคุณชายบ้านไหน?