เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 769 สามคน
บทที่ 769 สามคน
ในเดือนสาม
มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งสวี่เจวี๋ยเป็นผู้ว่าของเมืองเหลียงโจวและแต่งตั้งเว่ยจื่ออั๋งเป็นผู้ว่าของเมืองฉิงโจว ขอให้ทั้งสองเข้ารับตำแหน่งโดยเร็วที่สุด เมื่อได้รับพระบรมราชโองการแล้ว ทั้งสองไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใดเพราะฮ่องเต้ได้เรียกให้พวกเขาไปเข้าเฝ้าแล้วเมื่อวันก่อน
หนึ่งวันก่อนหน้า
ทั้งสองคนเดินตามขันทีไปยังห้องโถงด้านข้างแทนที่จะเป็นท้องพระโรงใหญ่
“คุณชายทั้งสอง ฝ่าบาทประทับอยู่ด้านในขอรับ”
หลังจากที่พูดจบ ขันที ได้ผายมือเชิญสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเดินเข้าไปด้านในและยืนรออยู่ที่ประตู ฮ่องเต้ฉลองพระองค์ลำลองประทับอยู่หลังโต๊ะ โบกพระหัตถ์ให้พวกเขา ทรงถอดเสื้อคลุมปักลายมังกรออก ความน่าเกรงขามจึงหายไป
ตอนนี้เบื้องหน้าของทั้งสองมีเพียงจ้าวจิ่งซวนที่พวกเขาคุ้นเคยเท่านั้น
เว่ยจื่ออั๋งคิดว่าฮ่องเต้และบิดาของเขามีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก พวกเขาสวมหน้ากากเสแสร้งต่อหน้าคนอื่นได้ หากเขาและสวี่เจวี๋ยไม่ได้รู้จักทั้งสองคนและเคยเห็นด้านอื่นๆของพวกเขามาก่อน คงคิดไม่ถึงว่าทั้งคู่จะกลับสีหน้าเปลี่ยนไปมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
จ้าวจิ่งซวนเติบโตมากขึ้น ใบหน้าที่เคยอ่อนเยาว์ของเขา คมสัน เป็นเหลี่ยมมุมขึ้นอย่างชัดเจน เขามีรอยยิ้มเมื่อเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่งลง
“ฝ่าบาท..” เว่ยจื่ออั๋งขมวดคิ้วรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติที่ถูกต้อง
“อย่าได้มากพิธี” จ้าวจิ่งซวนบ่น เขาตบเบาะข้างๆ ตัวเอง
“สวี่เจวี๋ยนั่งสิ”
สวี่เจวี๋ยไม่เคร่งมารยาท แต่แทนที่จะนั่งข้างๆ เขากลับนั่งที่ฝั่งตรงข้ามแทน เว่ยจื่ออั๋งนั่งลงข้างกายสวี่เจวี๋ย
เบื้องหน้าของพวกเขามีเครื่องดื่มและอาหารมากมาย จ้าวจิ่งซวนหยิบจอกสุรา แล้วเทลงในจอก เขามองไปยังเสื้อคลุมขุนนางของทั้งสองคนแล้วรู้สึกรำคาญใจขึ้นมา
“ถอดเสื้อออกเถอะ” ท่าทางของจ้าวจิ่งซวนในตอนนี้ไม่เหมือนฮ่องเต้เลยสักนิด แต่เหมือนนักเลงอันธพาลมากกว่า
เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยถอดเสื้อคลุมของพวกเขาออก ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง แล้วดื่มสุราที่อยู่ข้างหน้าตน
“วันนี้เราไม่ใช่ฮ่องเต้กับขุนนางแต่เป็น…” เดิมทีจ้าวจิ่งซวนจะพูดคำว่าพี่น้อง แต่กลับคิดได้ว่าเว่ยฉิงเป็นพี่ชายคนโตส่วนเว่ยจื่ออั๋งก็เป็นหลานชาย เขาจึงใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้
“อากับหลาน”
เว่ยจื่ออั๋งยอมรับความจริงที่ว่าตอนนี้จ้าวจิ่งซวนมีศักดิ์เป็นท่านอาของเขา จึงไม่ได้ปฏิเสธ
“ดื่มเถอะ” จ้าวจิ่งซวนยกจอกขึ้น สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งยกจอกดื่มเช่นกัน หลังจากดื่มไปสามจอก เว่ยจื่ออั๋งก็เริ่มหน้าแดง
“คอของเจ้าก็ยังอ่อนเหมือนเดิมนะจื่ออั๋ง” จ้าวจิ่งซวนหัวเราะ
ใบหน้าของเว่ยจื่ออั๋งมักมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจ ทว่าในยามนี้กลับมีสีแดงระเรื่อ ทำให้เขาดูน่ามองไม่น้อย เว่ยจื่ออั๋งปิดใบหน้าร้อนผ่าวของตัวเองพลางมองจ้าวจิ่งซวน
“พระพักตร์ฝ่าบาทก็แดงเช่นกัน”
“จริงหรือ? ข้าว่าข้าคอแข็งนะ” จ้าวจิ่งซวนตกใจ ว่าแล้วก็หันไปมองกระจก เห็นตนเองหน้าแดงอย่างที่จื่ออั๋งพูดจริงๆ
“โอ้ ข้าหน้าแดงแล้วแต่ยังไม่เมาเลย แต่จื่ออั๋งน่ะแย่แล้ว สวี่เจวี๋ยมาดื่มกันเถอะ” จ้าวจิ่งซวนชักชวนให้สวี่เจวี๋ยดื่มต่อ ถึงจะดื่มมากจนรู้สึกวิงเวียนแต่สีหน้าของสวี่เจวี๋ยยังไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้จ้าวจิ่งซวนอดยกนิ้วให้กับสวี่เจวี๋ยไม่ได้
“เจ้านี่คอแข็งจริงๆ”
จ้าวจิ่งซวนที่เมามากเดินไปนั่งอยู่ระหว่างทั้งสองคน แขนข้างหนึ่งของเขาโอบเว่ยจื่ออั๋งอีกข้างโอบสวี่เจวี๋ยไว้
“ตอนแรกข้าอยากให้พวกเจ้าเข้ารับตำแหน่งในราชสำนัก แต่พี่ใหญ่บอกว่าต้องให้เจ้าไปปฏิบัติหน้าที่ก่อนเป็นเวลาหนึ่งปี ข้ามาคิดดูแล้วก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร เจ้าจะต้องเข้ามารับตำแหน่งในราชสำนักได้โดยไร้คำติฉินนินทา ดังนั้นจะเป็นเมืองฉิงโจวและเหลียงโจว พวกเจ้าเลือกเอาเถอะ” จ้าวจิ่งซวนกล่าว
ตอนแรกจ้าวจิ่งซวนอยากให้ทั้งสองปฏิบัติราชการอยู่ที่เดียวกันและให้มีคนดูแลพวกเขา แต่เว่ยฉิง พี่ใหญ่ของเขาโหดเหี้ยมกว่ามาก เขาให้บุตรชายทั้งสองคนอยู่ในตำแหน่งเดียวกันแต่แยกย้ายไปคนละมณฑล วิธีนี้ย่อมทำให้เกิดการเปรียบเทียบและการแข่งขันซึ่งกันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งจะไม่ใช่พี่น้องกัน แต่พวกเขาใกล้ชิดกันยิ่งกว่าพี่น้อง การแข่งขันเช่นนี้ย่อมเป็นการทำลายความรู้สึกกันไม่ใช่หรือ?
ทั้งสองไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหา
เว่ยฉิงเข้าใจพวกเขาเป็นอย่างดีในบางครั้งพวกเขามีความคิดสอดคล้องกันและบางครั้งมีความคิดที่แตกต่างกัน ต่อให้ขัดแย้งโต้เถียงกันอย่างไร เมื่อถึงบ้าน ทั้งสองก็กลมเกลียวสมานฉันท์กันเช่นเดิม
ความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ได้ส่งผลอะไรกับพวกเขามานานถึงครึ่งเดือนแล้ว
พวกเขาควรจะแยกจากกันเสียบ้าง
ทั้งสองคนเปรียบเสมือนผู้เล่นหมากกระดาน พวกเขาจะไปได้ไกลเมื่อได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือสูสีทัดเทียมกัน
มีปัญหาอยู่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือ ฉิงโจวและเหลียงโจวห่างไกลกันมาก พวกเขาจะไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน จากที่ไม่เคยแยกจากกันเลยตั้งแต่เด็ก ทั้งในวัยเรียน ยามสอบ หรือแม้กระทั่งทำงาน สิบปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยแยกจากกันเลยแม้แต่วันเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองจะแยกจากกันนานเช่นนี้
สุดท้ายแล้วเว่ยจื่ออั๋งก็เลือกไปฉิงโจว ในขณะที่สวี่เจวี๋ยไปยังเหลียงโจว จ้าวจิ่งซวนรั้งให้ทั้งสองคุยกันสักพักก่อนจะปล่อยพวกเขาไป เขายืนพิงประตูมองชายหนุ่มทั้งสองด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว
เขาจะไม่ได้พบสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งเป็นเวลานานถึงหนึ่งปี…
ในราชสำนักแห่งนี้ทุกคนล้วนสวมหน้ากาก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จริงใจ ตอนนี้ความรู้สึกได้ต่างออกไปจากเดิม เขาเคยทำให้สองคนนี้โกรธเคือง แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้เกลียดกันอีกแล้ว
จ้าวจิ่งซวนคิดว่า หากวันใดที่เขาได้เป็นฮ่องเต้ เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยจะต้องเชื่อฟังและไม่กล้าที่จะติเตียนเขา แต่เมื่อทั้งสองเชื่อฟังอย่างที่คิดไว้ จ้าวจิ่งซวนกลับรู้สึกใจหาย
“ฝ่าบาท พระสนมซู่หรงทรงนำน้ำแกงมาถวายพะย่ะค่ะ” ขันทีรายงาน
หลังจากที่จ้าวจิ่งซวนขึ้นครองบัลลังก์และสวมชุดคลุมมังกรก็มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป เขาเป็นฮ่องเต้ที่ไม่สามารถทำอะไรตามใจตนเองได้ เได้แต่เพียงเก็บซ่อนหญิงที่รักไว้ในหัวใจ และรับสตรีคนอื่นเข้ามาในวังหลังแทน
สตรีที่รับเข้ามาในวังหลังไม่เพียงถูกตัดสินใจจากหน้าตาและนิสัยเท่านั้น ยังรวมไปถึงสกุลใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังพวกนางอีกด้วย ผู้ใดไม่ควรละเลย ผู้ใดไม่ควรให้ความโปรดปรานมากเกินไป…
จ้าวจิ่งซวนยืนตัวตรง สีหน้าท่าทางมีอำนาจเฉกเช่นผู้เป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน
“ข้ารู้แล้ว”
….
หลังจากที่พระบรมราชโองการออกมา วันต่อมา สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งตัดสินใจออกเดินทาง
ถังหลี่รู้เรื่องนี้นานแล้วเพราะเว่ยฉิงบอกนางไว้ก่อนที่พระบรมราชโองการจะประกาศออกมา แต่เมื่อทั้งสองต้องออกเดินทาง นางรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ถังหลี่ก็เป็นคนเก็บของทุกอย่างให้ ยกเว้นเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่ทั้งสองต้องเก็บเอง ข้าวของทุกชิ้นมีสองชุดเหมือนกัน มีสัมภาระหลายถุง กระนั้นถังหลี่ยังรู้สึกว่ามีของขาดเหลืออีกหลายอย่าง
ฉิงโจวและเหลียงโจวอากาศค่อนข้างหนาว ถังหลี่จึงคิดที่จะทำเสื้อผ้าให้บุตรชายเพิ่มมากขึ้น ในตอนที่ถังหลี่กำลังจัดข้าวของอยู่นั้น เว่ยฉิงก็ห้ามนาง
“ฮูหยิน การเดินทางไปฉิงโจวและเหลียงโจวหนทางยาวไกลมาก ไม่สะดวกที่จะขนของไปมากมายหรอก”
ถังหลี่จึงล้มเลิกความคิดของตนเอง
ตกกลางคืนถังหลี่รู้สึกว่างเปล่า ซานเป่ายังอยู่ที่อู๋ซาน เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยเองก็ต้องจากไป เมื่อถังหลี่หันกลับมา นางซุกเข้าไปในอ้อมแขนของเว่ยฉิงและกอดเขาไว้แน่น เว่ยฉิงกอดนางไว้เช่นกัน
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเด็กๆเติบโตขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอยู่กับเราไปตลอด พวกเขาต้องทำใจให้คุ้นชินกับการจากลาและหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะได้พบกันอีก
ในเดือนสาม เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยไปที่ฉิงโจวและเหลียงโจวเพื่อรับตำแหน่ง แต่โชคดีที่ในเดือนสี่ ถังหลี่และสกุลกู้ก็ได้ต้อนรับคนที่จากบ้านไกลทั้งสองคนกลับมา