เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 801 ตอนนี้
บทที่ 801 ตอนนี้
เว่ยฉิงก็เริ่มผ่องถ่ายอำนาจคืนสู่ฮ่องเต้แล้ว
จ้าวจิ่งซวนมีภาระมากขึ้น หากเป็นเมื่อก่อนทุกๆ อย่างคงไม่ราบรื่นเช่นนี้ แต่หลังจากที่ขึ้นครองบัลลังก์มาได้สองปี จ้าวจิ่งซวนก็เริ่้มคุ้นเคยกับการเก็บซ่อนทุกอารมณ์อย่างของตัวเอง
ยามที่อยู่ต่อหน้าข้าราชบริพารและสนมทั้งหลาย จ้าวจิ่งซวนจะเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้อย่างมิดชิด เฉพาะต่อหน้าไทเฮาเหลียงผู้เป็นมารดาเท่านั้น ที่เขาจะแสดงความเหนื่อยล้าออกมาให้เห็น
“เสด็จแม่ ข้าเหนื่อยเหลือเกิน” เมื่ออยู่ต่อหน้าไทเฮา ฮ่องเต้หนุ่มกลับกลายเป็นเด็กอีกครั้ง
ใบหน้าสง่างามเยือกเย็นของไทเฮาเหลียง ฉายแววกังวลออกมาให้เห็น
“ขอบพระทัยสำหรับการทุ่มเททำงานของฝ่าบาท” ไทเฮาตบพระปฤษฎาง์เบาๆ เพื่อปลอบประโลม
“เสด็จแม่ พี่ใหญ่ต้องการจะลาออก เขาไม่อยากช่วยข้าอีกต่อไปแล้ว” จ้าวจิ่งซวนเอ่ยขึ้น
“เขาไม่เคยสร้างจวนของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อีกทั้งหัวใจของเขาก็ไม่เคยอยู่ที่นี่” ไทเฮาตรัส “ไม่ช้าก็เร็ว วันนั้นย่อมมาถึง”
“คนที่เอาแต่ยุยงให้ข้าหวาดระแวงพี่ใหญ่และต้องการให้ยึดอำนาจที่เขาถือเอาไว้คืนมาช่างไร้สาระจริงๆ” จ้าวจิ่งซวนกล่าว
จ้าวจิ่งซวนรู้ดีว่าหากวันใดที่เขาต้องการอำนาจของฮ่องเต้กลับคืนมา พี่ใหญ่ของเขาย่อมยินดีมอบอำนาจทั้งหมดด้วยมือทั้งสองข้างของเขาอย่างไม่มีข้อแม้ ทั้งยังจะตบบ่าเขา ยกย่องว่าเขาเป็นฮ่องเต้ที่ดีอีกด้วย
“ทุกคนในโลกนี้ล้วนหลงใหลในอำนาจ แต่ไม่ใช่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แม่ไม่ตำหนิพวกเขาหรอก” ไทเฮามองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง
คนแบบเว่ยฉิงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นบนโลกใบนี้
บางทีอาจมีเขาผู้เดียวเท่านั้นก็เป็นไปได้
“องค์ชายใหญ่ช่วยท่านมามากแล้วฝ่าบาท” ไทเฮาตรัส
“เสด็จแม่..ข้ารู้ดีว่าเขาตั้งตารอที่จะได้ออกเดินทางไปพร้อมกับพี่สะใภ้มากเพียงใด” จ้าวจิ่งซวนว่า “ข้าต้องทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง” ก่อนที่จะตรัสพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า
“แต่ข้าจะจับลูกชายของพี่ใหญ่ให้ทำงานกับข้าต่อไป”
แม้พี่ชายของเขาจะหนีไปได้แต่เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยไม่มีทางหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน เมื่อทั้งสองคนกลับมารับราชการในราชสำนักในฐานะเสนาบดี จะช่วยทำให้จ้าวจิ่งซวนรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ไทเฮาทรงแย้มสรวลออกมาเช่นกัน
ความจริงแล้วพระนางอิจฉาถังหลี่และเว่ยฉิงอยู่บ้าง ที่พวกเขาสามารถครองรักกันและออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดินด้วยกันจนแก่เฒ่า ในขณะที่พระนางถูกกักขังอยู่ในส่วนลึกของวังหลวงเช่นนี้
แต่ทุกคนล้วนมีโชคชะตาเป็นของตัวเอง พระนางเกิดเป็นคนสกุลเหลียง โชคชะตาของพระนางได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
ตอนนี้เท่าที่พระนางจะทำได้ ก็คือช่วยประคับประคองให้พระโอรสเป็นฮ่องเต้ที่ดี
สายพระเนตรของไทเฮายามมองไปที่จ้าวจิงซวน ฉายแววสดใสและมีความหวังอีกครั้ง
…
พริบตาเดียวปีใหม่ก็เวียนมาถึงอีกครั้ง
วันนี้คือวันส่งท้ายปี
ในวันส่งท้ายปีที่แล้วซานเป่าไม่ได้อยู่เมืองหลวง มาปีนี้ทั้งสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งก็ไม่อยู่เช่นกัน
โชคดีที่มู่เป่าทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมีชีวิตชีวามากขึ้น ถังหลี่เตรียมซองอั่งเปาไว้แจกจ่ายเด็กๆ เว่ยจื่ออี้ที่ได้รับอั่งเปารู้สึกแปลกใจมาก
“ท่านแม่ มีของข้าด้วยหรือ?”
“ใช่แล้ว ไม่ว่าพวกเจ้าจะอายุเท่าไร อย่างไรเสียก็ยังเป็นเด็กสำหรับบิดามารดาอยู่ดี ” ถังหลี่กล่าว “ในปีหน้าเมื่อเสี่ยวเว่ยเข้ามาอยู่ในครอบครัวของเรา เจ้าก็จะได้รับอั่งเปาสองใบ”
เมื่อพูดถึงตู้เว่ย เว่ยจื่ออี้หน้าแดงขึ้น
ถังหลี่เอาอั่งเปาให้มู่เป่าและถังเป่า มู่เป่ามีความสุขมาก เขากอดเอวของมารดาไว้แล้วพูดอย่างน่าเอ็นดูว่า
“ขอบคุณขอรับท่านแม่”
เด็กหญิงมองน้องชายของตัวเองอย่างประหลาดใจ ถังเป่าหยิบอั่งเปาในแขนเสื้อตัวเองออกมามอบให้กับมู่เป่า
“น้องชาย สวัสดีปีใหม่”
มู่เป่าหยิบอั่งเปาไป เขากอดพี่สาว เอาใบหน้าอวบอ้วนของตัวเองแนบติดกับนาง ใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กหญิงดูผ่อนคลายประดับด้วยรอยยิ้ม
เว่ยฉิงนำดอกไม้ไฟมาจุดยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า ถังหลี่อุ้มเด็กน้อยทั้งสองคนมองดูดอกไม้ไฟที่สวยงาม ก่อนที่เว่ยฉิงจะย่องเข้ามาที่ด้านหลังแล้วฉวยโอกาสหอมแก้มถังหลี่ เด็กๆ ทั้งสองจึงลงจากตัวมารดาวิ่งไปเล่นดอกไม้ไฟแทน
เว่ยฉิงยังงสวมกอดถังหลี่จากด้านหลัง ทั้งสองยืนมองพลุที่กระจายแตกออกบนท้องฟ้าด้วยกัน เมื่อพลุดับไป โลกทั้งใบก็เงียบสงัดลงชั่วขณะ
“ไม่รู้ว่าคืนนี้จื่ออั๋งกับสวี่เจวี๋ยจะกินอะไร?”
“แล้วซานเป่าจะเป็นอย่างไรบ้าง”
ถังหลี่พูดขึ้น หัวใจของนางยังคงห่วงหาลูกๆ ทุกคนอยู่เหมือนเดิม
…..
ห่างออกไปหลายพันลี้ที่ฉิงโจว
เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ย นั่งอยู่ที่ลานบ้านพร้อมกับอาหารง่ายๆ สองสามจานและไหสุรา
ระยะทางระหว่างฉิงโจวและเหลียงโจวนั้นใกล้กันมากกว่าที่จะกลับไปเมืองหลวง หากเดินทางโดยไม่พักหยุดเลยเพียงสองสามวันก็มาถึงกันได้ และด้วยเหตุที่วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีที่คนในครอบครัวจะมารวมตัวกัน ดังนั้นทั้งสองจึงมาหากัน
ใบหน้าของพวกเขาดูคมเข้มขึ้น เว่ยจื่ออั๋งคิ้วหนาจมูกโด่งเป็นสันดูรูปงามมาก ในขณะที่สวี่เจวี๋ยกลับดูคมเข้มแข็งแกร่ง พวกเขาอยู่ในชุดคลุมบุนวมดูโอ่อ่าไม่น้อย
เว่ยจื่ออั๋งคออ่อนมาก เพียงแค่จิบสุราสองครั้ง ใบหน้าของชายหนุ่มก็แดงก่ำ ดวงตาเริ่มหยาดเยิ้ม สวี่เจวี๋ยหัวเราะเยาะ
“เมาแล้วหรือจื่ออั๋ง? เจ้าคออ่อนไปนะ หากสตรีคนใดขอให้เจ้าจิบสุราแล้วเมาเสียแบบนี้จะไหวหรือ?”
“ข้าไม่เมา อีกอย่างข้าไม่ยอมให้ใครมาสั่งข้าหรอก”
“ไม่เมาหรือ? แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครแพ้ใครชนะ”
เว่ยจื่ออั๋งมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน สวี่เจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้งกับท่าทีของเขา
“จื่ออั๋ง เจ้าได้ยินข้าพูดหรือไม่?”
“สวี่เจวี๋ยดูนั่นสิ พระจันทร์เต็มดวงล่ะ” เว่ยจื่ออั๋งกล่าว ไม่เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเท่านั้นแต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเรื่องด้วย สวี่เจวี๋ยจึงเลิกเย้าแหย่อีกฝ่าย
ทั้งสองกำลังนั่งมองท้องฟ้าด้วยกัน ดวงจันทร์และดวงดาวสว่างไสว ทั้งคู่คิดถึงครอบครัวของพวกเขา
…..
ไกลออกไปในเผ่าอู๋ซาน
ท้องฟ้ายามนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาวราวกับภาพวาดราคาสูงลิบ หากมองจากที่ไกลๆจะเห็นเป็นจุดเล็กๆสองจุดบนหลังคา แต่เมื่อเพ่งดูดีๆแล้วกลับเป็นร่างของคนสองคน
ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังคาสูงด้วยท่าทีเกียจคร้าน ใบหน้าของเขาสว่างสดใสเห็นได้อย่างชัดเจนแม้จะเป็นยามค่ำคืน ในมือของเขามีไหสุราที่ยกขึ้นจิบเป็นครั้งคราว ที่ข้างกายมีเด็กสาวสวมชุดสีแดงนั่งอยู่ด้วย นางจิบสุราเช่นเดียวกับคนข้างๆ
“อาจารย์ คิดถึงท่านพ่อท่านแม่ของข้าหรือไม่?” เสียงไพเราะของนางดังขึ้น
“ไม่เลย” ตู้เย่ตอบ พวกเขาล้วนอยู่กันเป็นคู่ๆ หากเขาคิดถึงจะไม่ดูแปลกไปหน่อยหรือ?
“แต่ข้าคิดถึงพวกเขา พี่ชาย น้องสาวและน้องชายของข้าด้วย” น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความเศร้า
ตู้เย่มองคิ้วขมวดยุ่งของเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างกาย เขาอดขมวดคิ้วตามไม่ได้ เป็นธรรมดาที่เขาย่อมไม่อยากเห็นลูกศิษย์ของตนเองเจ็บปวด แต่เขาไม่รู้จะปลอบใจนางอย่างไร
“ให้อาจารย์สอนกระบวนท่าดาบให้เจ้าดีหรือไม่?” ตู้เย่พูดขึ้น
ซานเป่าใช้มือสองข้างของตนเองปิดหน้าพูดอย่างไม่พอใจว่า
“ท่านอาจารย์ วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีนะ ท่านให้ข้าพักผ่อนบ้างเถอะ”
“อืม ก็ได้” ตู้เย่ตอบ แม้จะเสียใจที่โดนปฏิเสธ
“ท่านอาจารย์ ข้าโชคดีมากที่มีท่านอยู่กับข้าวันนี้” ซานเป่าว่า หวังหยูหรือที่รู้จักกันในนามอู๋หลี่นั้นยุ่งมากเกินไป แม้ในวันเทศกาลแบบนี้เขาก็ยังต้องเสียสละทำงาน จู่ๆซานเป่าก็หันไปหาตู้เย่
“ท่านอาจารย์ ท่านจะอยู่กับข้าตลอดไปหรือไม่?” ดวงตาของเด็กสาวเป็นประกายด้วยความหวัง
“วันใดที่เจ้าแต่งงาน เจ้าจะคิดว่าข้าเป็นตัวเกะกะสำหรับเจ้า” ตู้เย่ตอบ เขาคิดถึงวันที่ลูกศิษย์ของเขาแต่งงาน อารมณ์ของเขาเหมือนบิดาสูงวัยที่ไม่เต็มใจจะยกบุตรสาวให้ใคร แต่อย่างไรก็ตามย่อมมีวันที่เด็กสาวเติบโตขึ้นและได้พบคนที่ตนเองรัก
“อาจารย์ ข้าจะไม่แต่งงาน ข้าจะอยู่กับท่านตลอดไป” นางว่า
ตู่เย่มองหน้าซานเป่าอยู่ครู่หนึ่งแล้วเบือนหน้าหนี ในใจคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระของเด็กสาวผู้หนึ่งเท่านั้น