เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 804 ออกเดินทางไปหาซานเป่า
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 804 ออกเดินทางไปหาซานเป่า
บทที่ 804 ออกเดินทางไปหาซานเป่า
เมื่องานแต่งงานของเว่ยจื่ออี้จบลง ความกังวลของถังหลี่ก็หมดไป ตอนนี้นางเป็นแม่สามีแล้ว และจะได้กลายเป็นท่านย่าในไม่ช้า องค์หญิงจิ้งชูชอบล้อเลียนว่านางเป็นแม่สามีที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา
จู่ๆ ก็มีเหตุการณ์ที่สร้างความตกใจให้กับผู้คนในเมืองหลวงเป็นอย่างมาก
ท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลาออกจากตำแหน่ง มอบอำนาจในมือทั้งหมดคืนให้แก่ฮ่องเต้ แม้ฮ่องเต้จะโน้มน้าวเขาหลายต่อหลายครั้งก็ตาม แต่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ยังยืนยันในทางเลือกของตัวเอง ทำให้ทั้งราชสำนักและผู้คนเกิดข้อสงสัยมากมาย
ขุนนางที่อยู่ฝ่ายของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่างยกย่องการอุทิศตนของเขา ชายหนุ่มไร้ซึ่งความโลภ เป็นคนที่มีเกียรติเป็นอย่างมากในสายตาของขุนนางเหล่านั้น
ทั้งนี้ในราชสำนักก็ยังมีเสียงคัดค้านมากมาย แล้วยังแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอีกด้วย
ทางด้านผู้ที่ภักดีต่อองค์ฮ่องเต้เกรงว่าหากวันใดที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีอำนาจมากเกินไป เขาจะไม่คืนอำนาจให้แก่ฮ่องเต้ ส่วนอีกกลุ่มคือพวกยุแยง พวกเขาต่างทูลฮ่องเต้และไทเฮาว่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้พวกเขาต่างรู้สึกละอายใจที่เคยตัดสินเว่ยฉิง ต่างพากันมาขอโทษเว่ยฉิงทีละคน พวกเขาซาบซึ้งในความชอบธรรมของท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นอย่างมาก
แต่คนประเภทหลังก็ยังใส่ร้ายว่าเว่ยฉิงทำเพื่ออยากเอาชนะเท่านั้น แน่นอนว่าเว่ยฉิงไม่สนใจเรื่องนี้เลย เมื่อไม่มีตำแหน่งมาเหนี่ยวรั้งอีกต่อไป เว่ยฉิงก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“ฮูหยิน อีกไม่กี่วันข้างหน้าเราเดินทางไปหาซานเป่ากันเถอะ” เว่ยฉิงเอ่ย
เขารู้ว่าภรรยาคิดถึงซานเป่ามานานแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีภาระหน้าที่ในมืออีกต่อไป สามารถพานางออกไปตามหาซานเป่าได้
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันจึงตัดสินใจออกเดินทางภายในสามวันเพื่อไปหาซานเป่า
สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งได้เข้าไปทำงานในราชสำนัก ส่วนเว่ยจื่ออี้ก็แต่งงานแล้ว พวกเขามีภาระหน้าที่ของตัวเอง จึงไม่อาจเดินทางไปหาซานเป่ากับบิดามารดาได้ ตอนนี้ลูกๆ ที่พอจะพาไปได้จึงมีแค่ถังเป่าและมู่เป่าเท่านั้น ทั้งสองคนฉลาดมากจึงไม่ใช่ปัญหาในการเดินทางเลย
ในครั้งนี้นางตั้งใจจะพาลูกทั้งสองไปดูสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นเมืองหลวง ถังเปาและมู่เป่าเองก็ตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินว่ากำลังจะไปตามหาพี่สาว พวกเขามีสัมภาระเล็กๆ คนละห่อสองห่อเท่านั้น ข้าวของของถังเป่าเรียบง่ายมากมีเพียงเสื้อผ้าสองสามชิ้นและเงินอั่งเปาที่เก็บสะสมเอาไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเท่านั้น
ส่วนมู่เป่ามีแต่ขนมที่เขายัดใส่ลงไปจนห่อแทบแตก ถังเป่าเห็นแล้วทนไม่ไหวออกปากห้ามไม่ให้น้องชายเอาของเหล่านั้นไปด้วย
ก่อนวันออกเดินทาง ทั้งครอบครัวได้นั่งล้อมวงกินอาหารด้วยกัน สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งต่างก็คิดถึงซานเป่าแต่พวกเขามีงานที่ต้องทำ ไม่อาจเดินทางไกลไปไหนได้ จึงได้แต่เขียนจดหมายฝากมารดาไปให้น้องสาวเท่านั้น
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทั้งครอบครัวจึงออกเดินทาง
ถังหลี่และเว่ยฉิงอยู่ในรถม้าพร้อมกับบุตรทั้งสอง ฉือซื่อเป็นคนขับรถม้า สวี่เจวี๋ย เว่ยจื่ออั๋ง เว่ยจื่ออี้ และตู้เว่ยเฝ้ามองรถม้าเคลื่อนออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์
“ข้าคิดว่าคงอีกนานกว่าเราจะได้เจอท่านพ่อท่านแม่และน้องๆ อีกครั้ง” เว่ยจื่ออั๋งว่า
เมื่อคนเราเติบใหญ่ขึ้นก็ต้องห่างบิดามารดาไป นี่เป็นคือความจริงที่ต้องยอมรับ
รถม้าวิ่งขึ้นไปทางทิศเหนือ
ในช่วงแรกของการเดินทาง มู่เป่าเต็มไปด้วยความคึกคัก เขาเกาะขอบหน้าต่างมองทิวทัศน์ตลอดทาง ทักทายนกน้อยที่อยู่ริมถนนจนเริ่มเบื่อหน่าย ในที่สุดเด็กน้อยก็นั่งลงอย่างเกียจคร้าน ใบหน้าเล็กๆ ของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ท่านแม่ ข้าจะให้น้องชายหุบปากนะเจ้าคะ” ถังเป่าว่า
บางครั้งเด็กหญิงตัวน้อยก็ชอบออกคำสั่งและครั้งนี้นางหมายความตามที่พูดจริง
มู่เป่าเข้าไปหาพี่สาวแล้วบอกว่า
“ท่านพี่ เจ้านกน้อยบอกว่า..”
“เงียบนะ” ถังเป่าตวาดเขา
มู่เป่าตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาเสียใจแต่ก็รีบหุบปากตัวเองอย่างเชื่อฟัง ถังเป่ามองปากที่หุบและดวงตาปริบๆ ของเขาอย่างสมเพช นางถอนหายใจออกมาก่อนจะดึงน้องชายเข้ามาหาแล้วปิดปากเขาด้วยขนมหนึ่งชิ้นแทน เด็กชายจึงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ในขณะที่รถม้ายังแล่นไปเรื่อยๆ อุณหภูมิก็ลดลงต่ำ เด็กชายสวมเสื้อผ้าหนาขึ้น ส่วนถังเป่าบางครั้งก็ซุกเข้ามาในอ้อมแขนของมารดา บางครั้งก็หันสลับไปซุกตัวกับบิดา
ในช่วงสองวันแรกเด็กชายเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง หลังจากผ่านไปสามวัน เขาก็เริ่มอ่อนล้าและเงียบเสียงลง
เว่ยฉิงที่ยังไม่ค่อยชินกับความเงียบของบุตรชาย มองเด็กน้อยที่หลับอยู่ แล้วยื่นมือไปบีบจมูกเล็กๆ ของเขา ขนตาของเด็กน้อยกะพริบลืมขึ้น หน้าตางัวเงีย
“ท่านพ่อ..” เสียงของเขาง่วงงุน
“มู่เป่ามองไปด้านนอกสิ” เว่ยฉิงว่า
เด็กน้อยมองออกไปข้างนอกด้วยสายตาสับสน แต่แล้วก็ให้ตกตะลึงเมื่อเห็นทิวทัศน์เหล่านั้น ที่ด้านนอกเขาเห็นทะเลสาบขนาดใหญ่เหมือนกระจกสีฟ้าบานใหญ่และมีคลื่นสีฟ้านับพันอยู่ภายในนั้น บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่มีนกสีขาวบินไปมาอยู่ประปราย มู่เป่าไม่เคยเห็นนกชนิดนี้มาก่อน เขามองตาแทบไม่กะพริบ
ถังหลี่ชอบทะเลสาบนี้มาก นางจึงขอให้ฉือซื่อหยุดรถม้า เพื่อให้พวกนางได้พักผ่อนพร้อมกับกินมื้อกลางวัน
เมื่อพวกเขาลงจากรถม้า เว่ยฉิงไปหาสถานที่สำหรับก่อไฟต้มน้ำและเตรียมอาหาร ส่วนถังหลี่พาเด็กทั้งสองเดินไปที่ทะเลสาบ มู่เป่าเดินไปหานกสีขาวเงียบๆ แต่เมื่อมันสังเกตเห็นเด็กชายจึงบินหนีไป
“เจ้านก อย่ากลัวเลย” มู่เป่ารีบพูด แต่อย่างไรก็ตามมันได้บินหนีไปเสียแล้ว
มู่เป่าวิ่งไปรอบๆ ในที่สุดก็พบกับนกตัวหนึ่งที่ยินดีจะอยู่คุยกับเขา ถังเป่าที่เหมือนผู้ใหญ่ที่ตัวเล็กอยู่เสมอ แต่ตอนนี้มันไม่ง่ายเลยที่นางจะไว้ท่าเช่นเดิม เด็กหญิงนั่งข้างน้องชายมองนกสีขาวตัวนั้น
ถังหลี่ยืนอยู่ข้างๆ เด็กทั้งสอง เหนือศีรษะของนางเป็นท้องฟ้าสีคราม เบื้องหน้ามีทะเลสาบอยู่แทบเท้า สายลมเย็นๆพัดผ่านใบหน้าทำให้รู้สึกสดชื่น
สามแม่ลูกเดินเล่นกันที่ทะเลสาบสักพัก ก่อนที่เว่ยฉิงจะมาตามพวกเขาไปกินข้าว
ชายหนุ่มต้มน้ำร้อนแล้วอุ่นอาหารแห้งที่นำมาด้วย แน่นอนว่ามันไม่ได้อร่อยเท่ากับกินที่บ้านแต่ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ก็ถือได้ว่าดีมากแล้ว
มู่เป่าที่ดูอิดออดเรื่องอาหารในตอนนี้ หลังจากที่ถังหลี่อธิบายเขาก็กินได้อย่างมีความสุข
ถังหลี่คิดว่าควรพาทั้งสองออกไปท่องโลกบ้าง ไม่ให้พวกเขาเอาแต่ใจเกินไปจนไม่แยแสกับความทุกข์ใดๆ สุดท้ายก็กลายเป็นเด็กนิสัยเสีย
พวกเขากินอาหารกลางวันอยู่ริมทะเลสาบพักหนึ่งก่อนที่รถม้าจะเคลื่อนตัวออกไป ตอนเย็นจึงได้เดินทางเข้าพักในเมืองเล็กแห่งหนึ่ง
ถังหลี่และเว่ยฉิงพาลูกทั้งสองไปกินอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งในเมือง และเมื่อเห็นว่ายังอยู่ในช่วงหัวค่ำพวกเขาจึงตัดสินใจเดินเล่นในเมืองต่อ เมืองนี้มีความเจริญน้อยกว่าในเมืองหลวงมากนัก ผู้คนแต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบ ร้านรวงก็ดูหาได้ยาก หลังจากที่พวกเขาเดินเล่นกำลังจะกลับ จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งชนเข้ามาชน
ถังหลี่ดึงถังเป่าให้หลบทันที โชคดีที่หลบทัน ไม่เช่นนั้นคนผู้นั้นคงจะชนเข้ากับบุตรสาวของนางแล้ว มีผู้ชายอีกคนหนึ่งถือไม้ไล่ตามคนผู้นี้
“หยุดนะเจ้าหัวขโมย คืนของข้ามา! ไม่อย่างนั้นข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
ในไม่ช้าคนที่ไล่มาด้านหลังก็ตามเขาจนทัน ชายคนนั้นตีขโมยและแย่งขนมในมือกลับไป เมื่อถังหลี่เห็นเขา นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด หญิงสาวจับมือของถังเป่าเดินเข้าไปใกล้เขาอย่างไม่รู้ตัว
ชายคนนั้นก้มเก็บเศษขนมบนพื้นกิน ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง ผิวกายที่โผล่ออกมานอกเสื้อผ้าสกปรก มือเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น เขาเป็นขอทานที่น่าสมเพช
“ท่านแม่ เขาน่าสงสารมาก” ถังเป่าอดไม่ได้ที่จะพูด นางเอาเงินในแขนเสื้อออกมา แต่กลับถูกมารดาห้ามเอาไว้
เมื่อชายคนนั้นเงยหน้าขึ้น ถังหลี่ก็จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร