เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 808 เรื่องราว
บทที่ 808 เรื่องราว
“ข้าแค่คิดว่า..นางชอบที่นี่” ถู่หยูกล่าว
พวกเขาพบกันที่ชายแดนที่แสนวุ่นวาย ในตอนนั้นนางเป็นแม่ทัพหญิงสวมเสื้อผ้าสีสันสดใส ขี่ม้าด้วยท่าทางองอาจ ส่วนเขาคือทหารที่ปกปักรักษาชายแดน ไม่มีใครกล้ารุกรานเขา
ผู้คนมากมายล้วนหัวเราะเยาะนางเพียงเพราะนางเป็นสตรี ถึงขนาดพูดจาก้าวร้าวหยาบคายกับนางเสียด้วยซ้ำ เขาไม่ได้แสดงความคิดหรืออารมณ์อื่นใด เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นว่านางจะจัดการคนเหล่านั้นอย่างไร
ในที่สุดคนที่พูดจาไม่ดีก็ถูกลงโทษอย่างหนัก
เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็พบว่าสายตาของตนเองได้แต่เฝ้าติดตามมองไปที่นางอยู่เสมอ สำหรับแม่ทัพเซียวแล้วการที่มีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ย่อมทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
ในตอนที่ถู่หยูอยู่ท่ามกลางความตาย นางก็ตกลงมาจากฟ้า ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาก็เข้าใจเหตุผลของการมีชีวิตอยู่
เขาเป็นองครักษ์ของนาง เขาไม่ใช่ทหารที่ต้องฆ่าศัตรูเพื่อประเทศ แต่เขาเป็นเพียงองครักษ์ที่ปกป้องนางแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ตอนที่นางประจำอยู่ที่ชายแดนมักจะพูดเรื่องเส้นทางหลางหยาบ่อยๆ ทั้งสองนั่งอยู่บนกำแพงท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดง นางนั่งอย่างผ่อนคลายในชุดสีแดงที่สะบัดพริ้วไปตามลมมีดาบวางอยู่ข้างกาย นางเล่าถึงเส้นทางหลางหยาว่าสวยงามและเงียบสงบมาก หากสงครามจบลงเมื่อไรนางจะไปใช้ชีวิตที่หลางหยาอย่างสันโดษ
ถู่หยูต้องการช่วยนางฆ่าศัตรู เพราะหวังว่าจะทำให้ความปรารถนาของอีกฝ่ายสำเร็จลงอย่างรวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว วันที่ถู่หยูมีความสุขที่สุดคือวันที่อยู่ณ ชายแดนวันนั้นนั่นเอง
ทั้งสองดวลดาบ ท้าแข่งม้า สุดท้ายแล้วนางก็มอบดาบที่ล้ำค่าให้กับเขา เขามอบม้าเหงื่อโลหิตให้กับนางเป็นการตอบแทน พวกเขาขี่ม้าไปยังขอบฟ้า ที่ซึ่งเส้นทางสวรรค์และผืนโลกได้มาบรรจบพบกัน ในตอนนั้นเขาหวังว่าชีวิตจะเป็นเช่นนั้นไปตลอด
อย่างไรก็ตามเวลาแห่งความสุขของเขาสั้นมาก
มีพระบรมราชโองการลงมา สั่งให้นางเข้าไปในพระราชวัง…
เขาติดตามนางไปเงียบๆ เห็นทั้งความเจ็บปวดและไม่ยินยอมบนใบหน้าของผู้หญิงที่เขาหลงรัก
“นายหญิงอย่ากลับไปเลย” เขาผู้ที่เงียบขรึมมาตลอดขอร้อง นางหันมามองเขาด้วยใบหน้าเจ็บปวด
“ถ้าไม่กลับไปจะเกิดอะไรขึ้นกับสกุลเซียว?” นางพึมพำ
“ฝ่าบาทไม่อยากให้สกุลเซียวสร้างแม่ทัพหญิง แต่อยากให้ข้าเป็นพระสนม…” ดูเหมือนน้ำตาของนางจะไหลริน หญิงสาวผู้นั้นเงยขึ้นมองท้องฟ้า เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง ก็ไม่เห็นน้ำตาเหล่านั้นแล้ว คล้ายว่าเขาจะตาฝาดไป
“ถู่หยู เจ้าอยู่ที่นี่ไม่ต้องไปเมืองหลวงกับข้า”
หลังจากพูดจบ นางก็เดินทางจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว เขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของกำแพงเมืองมองดูนางขี่ม้าหายลับไปจากชีวิตของเขาราวกับสายลม
เมื่อได้พบกันอีกครั้ง นางก็เย็นชืดไร้วิญญาณไปเสียแล้ว เขาได้แค่พานางกลับมายังเส้นทางหลางหยาที่นางรักเท่านั้น
นางชอบความเงียบสงบของที่นี่ เขาจึงคอยช่วยเหลือยามที่ชาวบ้านถูกทำร้าย แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยก็คือตนเองจะได้พบเจอกับบุตรชายของนาง
นี่มันโชคชะตาอะไรกัน?!
หากนายหญิงรู้ว่าบุตรชายยังมีชีวิตอยู่และมีครอบครัวแล้ว นางคงจะมีความสุขมากเป็นแน่
“เจ้า…”
ถู่หยูมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า เขาไม่รู้ว่าจะเรียกอีกฝ่ายว่าอะไร
“ท่านลุงถู่เรียกข้าว่าอาฉิงก็ได้” เว่ยฉิงว่า
“เอาล่ะอาฉิง ข้าจะพาเจ้าไปหามารดา” เขาว่า
เว่ยฉิงเดินตามเขาออกจากกระท่อมไปด้วยกัน ฝนที่ตกหนักทำให้ความมืดหม่นหลายวันที่ผ่านมาหายไป ตอนนี้ท้องฟ้าแจ่มใสปรากฏรุ้งกินน้ำขึ้นที่ขอบฟ้า
เมื่อเขามองไปก็เห็นว่าภรรยาและลูกทั้งสองวิ่งเล่นอยู่ท่ามกลางหุบเขา ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก จนไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดมารดาของเขาจึงได้ชอบที่นี่มากเหลือเกิน ถู่หยูและเว่ยฉิงเดินไปตามทาง ไม่นานก็เห็นว่าที่ขอบหน้าผามีสุสานอยู่
เมื่อเห็นป้ายหลุมศพ เว่ยฉิงก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ จมูกของเขาแสบ นัยน์ตาเปียกชื้นขึ้นมา
นั่นคือหลุมศพของท่านแม่….
หลุมศพทั้งสะอาดและไร้วัชพืชขึ้น เห็นได้ว่าได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี ที่ข้างๆ มีก้อนหินเรียบๆ วางอยู่ เว่ยฉิงรับรู้ได้ว่า ในตอนเช้าตรู่ยามที่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจะมีร่างของคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่ข้างหลุมศพมารดาของเขาเงียบๆ
ท่านแม่ไม่เคยต้องเหงาเลย…
เว่ยฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขาของเขาหนักอึ้ง บนป้ายหลุมศพมีคำสลักว่า
“เซียวชูเหมยผู้เป็นที่รักยิ่ง”
ถู่หยูรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าจะมีใครมาที่นี่ ซึ่งเป็นสถานที่ส่วนตัวของเขา เขากล่าวขานเรียกนางอย่างกล้าหาญด้วยความรักทั้งหมดที่เขามีต่อนายหญิง
แต่วันนี้คนที่มาเยี่ยมเป็นบุตรชายของนาง เขาจะโดนกล่าวหาว่าเป็นพวกเพ้อฝัน งมงายหรือไม่?…
ถู่หยูเงียบ เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองเว่ยฉิงด้วยซ้ำ
“ท่านลุงถู่ขอบคุณมากนะ”
“อะไรหรือ?” ถู่หยูแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง
“ขอบคุณที่ท่านได้ติดตามดูแลมารดาของข้าเป็นอย่างดี” เว่ยฉิงกล่าว ถู่หยูตกใจมาก ไม่คิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะพูดเช่นนี้
“นางไม่เคยชอบวังหลวงเลย ขอบคุณที่พานางออกมาและได้อยู่ในที่ที่นางโปรดปราน” เว่ยฉิงว่า จมูกของเขาแสบขึ้นมาอีกครั้ง ท่านแม่ของเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่สุดท้ายความปรารถนาของนางก็เป็นจริงหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว นางได้กลับมายังที่ที่นางรัก และได้อยู่กับคนที่นางชอบพอ…
เขารู้ว่าท่านแม่ชอบถู่หยู เพราะตอนที่นางป่วยเขาเคยได้ยินชื่อของอีกฝ่าย ตอนนั้นเว่ยฉิงไม่รู้ว่ามารดาหมายถึงใคร แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่านางพูดคำว่าถู่หยู
เว่ยฉิงคุกเข่านั่งที่หน้าหลุมศพของมารดา
“ท่านแม่ ข้าอาฉิง..ข้ามาพบท่านแล้ว..”
“ข้าได้ยินเรื่องของท่านจากท่านลุงถู่มาเยอะมาก ท่านแม่…ท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ตอนที่ท่านอยู่ในวังหลวง ท่านคงไม่มีความสุขใช่หรือไม่…ที่นี่มีทั้งอิสระและสวยงามมาก”
“ภรรยาของข้าก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน รวมทั้งหลานชายและหลานสาวของท่านด้วย พรุ่งนี้ข้าจะพาพวกเขามาเยี่ยมท่านนะ”
เว่ยฉิงพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเขาไปเรื่อยๆ ถู่หยูที่อยู่ข้างๆ คิดว่าหากนายหญิงได้รู้เรื่องนี้นางคงจะมีความสุขมาก เมื่อคิดว่านางมีความสุขแล้วรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ของเย็นชาของเขา ทั้งสองนั่งอยู่ที่นั่นจนพลบค่ำแล้วจึงได้กลับไปยังกระท่อม
ห้องนอนในบ้านไม้มีขนาดค่อนข้างใหญ่มาก พวกเขาทั้งห้าคนสามารถอยู่ในนี้ได้ เพียงแต่ถู่หยูอาศัยคนเดียวเท่านั้น จำนวนจานชามจึงมีจำกัด
“ท่านลุงถู่วันนี้มากินเนื้อย่างกันเถอะ” เว่ยฉิงบอก ใบหน้าเล็กๆ ของมู่เป่าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาเป็นคนแรกที่ขานรับ
“กินเนื้อ”
ถู่หยูมีเหยื่อมากมายที่ล่ามาได้ บางตัวก็ยังสดๆ อยู่ เว่ยฉิงจึงเอาไปทำความสะอาด ฉือซื่อก็ตั้งตะแกรงไฟ ส่วนมู่เป่าไม่ได้ช่วยอะไร เขาเอาแต่วิ่งเล่นไปมา ส่วนถังเป่านั่งเงียบๆ ข้างๆ ท่านลุงถู่หยู่
ทั้งเด็กน้อยและชายชราไม่ใช่คนช่างพูด พวกเขาเพียงพูดจากันสองสามคำเท่านั้น
เมื่อฟ้าเริ่มมืดแสงไฟที่สว่างขึ้นมาทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่น