เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 815 ตอนพิเศษซานเป่า เข้าค่ายทหารครั้งแรก 1
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 815 ตอนพิเศษซานเป่า เข้าค่ายทหารครั้งแรก 1
บทที่ 815 ตอนพิเศษซานเป่า เข้าค่ายทหารครั้งแรก 1
ซินหนานตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้าโจว เดิมทีสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่แห้งแล้ง แต่เนื่องจากเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างชายแดนของต้าโจวและต้าฉู่จึงค่อนข้างแตกต่างจากเมืองอื่นๆ ในละแวกนี้
ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเสิ่นเว่ยเฟิงอัครเสนาบดีของต้าฉู่ได้มาเยือนต้าโจวและลงนามในสนธิสัญญาหลายฉบับเพื่อส่งเสริมการค้าของต้าโจวและต้าฉู่รวมถึงซินหนานด้วย นับเป็นจุดเริ่มต้นของความเจริญรุ่งเรืองทั้งหมด ภายใต้ข้อตกลง พื้นที่บริเวณนี้จึงได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ราษฎรมีความเป็นอยู่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
ปีที่แล้วเสิ่นเว่ยเฟิงลาออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดี ผู้ที่ขึ้นมาแทนเป็นลูกศิษย์ของเขา แม้ทั้งสองจะเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันก็ตาม แต่พวกเขามีแนวคิดแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
อัครเสนาบดีคนใหม่มีความทะเยอทะยานและกระหายสงคราม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจึงเกิดความขัดแย้งระหว่างต้าโจวและต้าฉู่ที่ชายแดนขึ้นมากมาย ซินหนานจึงไม่สงบสุขเช่นเดิม
ปีที่แล้วกู้หวนอวี้หรือที่ผู้คนกล่าวขานว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามของต้าโจวได้เข้ามาประจำการที่ซินหนานด้วยตัวเอง ชื่อเสียงของเขาทำให้ความทะเยอทะยานของต้าฉู่สงบลงไปชั่วคราวถึงครึ่งปี
กองกำลังของเขาจึงประจำอยู่ที่ทางใต้ของเมืองซินหนาน
ณ ค่ายทหาร
หลังจากที่ฝึกเสร็จ ทหารกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเพื่อพูดคุย
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่? มีแม่ทัพหญิงจะมาที่ค่ายของพวกเราด้วย”
“แม่ทัพหญิง? ค่ายทหารเป็นถิ่นของบุรุษ เด็กผู้หญิงจะมาที่นี่ทำไม? เหตุใดไม่อยู่บ้านปักผ้าไปเล่า?”
“นางอาจจะเบื่อบ้านเลยอยากมาที่ค่ายทหารเพราะคิดว่าเป็นเรื่องสนุกกระมัง”
“หรือเป็นเพราะยังไม่มีคู่เลยอยากมาหาเจ้าบ่าวที่ค่ายทหารของเรา?”
“ข้าไม่สนใจสตรีที่ใช้ดาบหรือยิงปืนได้หรอก ผู้หญิงควรอยู่กับเหย้าเฝ้าแต่เรือน เลี้ยงบุตรและดูแลสามีสิ”
บรรดาทหารเหล่านั้นล้วนทำสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม พวกเขาพูดคุยกันอย่างออกรส รวมถึงหยามเหยียดแม่ทัพหญิงคนใหม่ที่กำลังจะมาด้วย
“นี่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร ? หากนางแซ่กู้อาจจะแตกต่างออกไปก็เป็นได้”
ในค่ายทหารมีทหารอยู่สองประเภท หนึ่งคือทหารรักษาการประจำพื้นที่ และอีกหนึ่งคือกองทหารของสกุลกู้ซึ่งเป็นกองทหารส่วนตัวของกู้หวนอวี้
ในตอนที่พวกเขาต้องรวมเป็นกองกำลังเดียวกันนั้น ทหารในท้องที่ไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขาท้าประลองกับกู้หวนอวี้ พวกเขาก็เอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ใช่แม่ทัพใหญ่กู้ กู้เจี๋ยจวินก็ตาม พวกเขาก็เคารพกู้หวนอวี้ตามสัญชาตญาณทันที
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา สกุลกู้เป็นตระกูลของผู้บัญชาการทหาร สตรีที่มาจากสกุลกู้จะแตกต่างและพิเศษกว่าสตรีทั่วๆไป
“ข้าได้ยินชื่อ นางไม่ได้แซ่กู้ แต่ใช้แซ่อะไรข้าก็ลืมไปเสียแล้ว”
“หากนางไม่ใช่สตรีสกุลกู้ พวกเราคงต้องส่งนางกลับไปหาบิดามารดาทั้งน้ำตาแล้ว ที่นี่เป็นค่ายทหารคงไม่มีใครโทษที่พวกเราจะรังแกแม่นางน้อยหรอก”
พวกเขาทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เป็นเสียงเดียวกัน แน่นอนว่ามีคนสงสัยในตัวของหญิงสาวอยู่บ้าง ในช่วงบ่ายมีคนผู้หนึ่งขี่ม้ามาที่หน้าค่ายทหาร เป็นเด็กสาวอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี นางกระโดดลงจากหลังม้าแต่งกายด้วยชุดสีดำ แขนเสื้อและขากางเกงพันเชือกไว้เพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวกและทะมัดทแมงมากยิ่งขึ้น นางรวบผมเป็นหางม้ายกขึ้นสูง หญิงสาวกระชับดาบไว้ในมือ เดินไปหาทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูค่าย
พวกทหารได้รับข่าวว่าวันนี้จะมีแม่ทัพหญิงมาที่ค่าย แต่เมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้าพวกเขาพากันนิ่งอึ้งไป
เด็กสาวมีดวงตาที่สดใส ฟันขาวเรียบสวย ผิวราวกับหยกแพะ ใบหน้างดงาม ทหารที่หน้าค่ายไม่เคยเห็นสตรีที่สวยงามเช่นนี้มาก่อน
“ข้ามารายงานตัวกับท่านแม่ทัพกู้ ข้ามีนามว่าเว่ยหนิง” เสียงของนางฉะฉานฟังดูไพเราะเสนาะหู นายทหารดึงสติกลับมา
“ข้าจะไปรายงานท่านแม่ทัพ”
ในไม่ช้าเขาก็กลับมาพาเว่ยหนิงไปที่กระโจม
เมื่อเว่ยหนิงเปิดผ้าม่านกระโจม นางเห็นชายหนุ่มรูปงาม ท่าทางสง่างามอยู่ข้างใน กำลังอ่านรายงานการทหารที่อยู่ในมือ
“ท่านลุงรอง” เว่ยหนิงเรียก
กู้หวนอวี้วางรายงานในมือลง หันไปมองเด็กสาวที่เดินเข้ามา
“เข้ามาสิ”
เว่ยหนิงพยักหน้า กู้หวนอวี้พิจารณาเด็กสาวตรงหน้าสักพักแล้วพูดขึ้นว่า
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ? ชีวิตในค่ายทหารไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าคิดนะ มันลำบากมาก”
“ข้าไม่กลัวความยากลำบาก” เว่ยหนิงว่า
กู้หวนอวี้ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา น้องสาวและน้องเขยของเขาใจกว้างมากที่ปล่อยให้บุตรสาวเข้ามาในค่ายทหารเช่นนี้
“มีพวกทหารและคนพาลที่ปากไม่มีหูรูด เจ้าจะทนได้หรือ?” เขายังคงถามต่อ
“ข้าไม่จำเป็นต้องทน ข้าจะอัดพวกเขาให้น่วมจนกว่าจะเชื่อฟังข้า” เว่ยหนิงชูหมัดไปมาในอากาศอย่างภาคภูมิใจ
ในที่สุดกู้หวนอวี้ก็ยิ้มออกมา เขาพูดคุยกับเว่ยหนิงอีกสองสามคำ จากนั้นก็ขอให้ทหารพานางเข้าไปในค่าย
เว่ยหนิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับบรรยากาศในค่ายทหาร ตอนที่นางยังเล็กนางเคยติดตามอาจารย์เข้าไปที่ค่ายทหารของลุงรองมาก่อนแล้ว
ซินหนานเป็นเขตชายแดน สภาพแวดล้อมของค่ายทหารแห่งนี้ไม่ได้ดีเท่าค่ายทหารในเมืองหลวง แต่เว่ยหนิงไม่ใช่เด็กสาวอ่อนต่อโลก นางผ่านประสบการณ์มามากมาย เชื่อว่าตนเองจะปรับตัวได้ในไม่ช้า
ระหว่างทางเดินไปกระโจมที่พัก สายตาของทหารหลายคนจับจ้องมองอย่างตกตะลึง บ้างก็ขบขัน บางก็เหยียดหยาม หลังจากเว่ยหนิงเดินผ่านไปเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลอยตามไล่หลังทันที
“สตรีผู้นั้นไม่ดูบอบบางเกินไปหรือ? นางคิดอยากมาเที่ยวเล่นหรืออย่างไร?”
“นางเป็นคุณหนูจากสกุลไหนกัน คิดแต่จะมาเล่นสนุกหรือ?”
“ค่ายของเราเป็นที่ฝึกฝนทหารไม่ใช่สนามเด็กเล่นนะ”
“มีทหารใหม่หลายคนพากันตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ พวกเขาจะมีสมาธิฝึกได้อย่างไร?”
“ถ้าไม่มีใจจะฝึก ยามไปรบมิไปตายกลางสนามรบหรือ? นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ”
“ข้าปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปคุยกับท่านแม่ทัพกู้ให้รู้เรื่อง”
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้เข้าหูเว่ยหนิงเลย หลังจากที่นางออกจากค่ายทหารก็เดินทางไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองซินหนาน
ในตอนกลางคืนที่ชั้นสองของโรงเตี๊ยม ชายคนหนึ่งในชุดสีแดงกำลังยืนพิงราวบันไดอย่างเกียจคร้าน แม้ใบหน้าของเขาจะดูงดงามแต่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่างก็ยังเห็นได้ว่าเป็นบุรุษ เว่ยหนิงถีบตัวกระโดดขึ้นไปที่ชั้นสอง
“ท่านอาจารย์ยังไม่นอนอีกหรือ?” เด็กสาวถามด้วยรอยยิ้ม
“คืนนี้พระจันทร์สวย ข้าเลยออกมาชม” ตู้เย่ตอบเสียงเนือยๆ
“อาจารย์ ท่านเป็นห่วงข้าใช่หรือไม่?” เว่ยหนิงถามไม่อ้อมค้อม
เขาบอกว่านางโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องห่วงนางอีกต่อไป แต่กระนั้นตู้เย่ก็ยังปล่อยวางไม่ได้ ยังติดตามนางจากชิงเหอไปยังเมืองหลวง จากเมืองหลวงมายังซินหนานเป็นระยะทางยาวไกล
ตู้เย่เม้มริมฝีปาก
“ท่านอาจารย์ ในค่ายทหารเขาใช้ฝีมือวัดกัน ไม่มีใครกล้ารังแกข้าหรอก ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า” เว่ยหนิงเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังมากขึ้น
เมื่อตอนที่นางยังเป็นเด็ก นางขอให้เขามีชีวิตอยู่ต่อเพื่อนาง เขาก็ตอบตกลง หลังจากผ่านไปหลายปีเด็กหญิงได้เติบโตขึ้น นางมีเป้าหมายชีวิตเป็นของตัวเอง หากยังปล่อยให้อาจารย์มีชีวิตเพื่อนางอยู่เช่นนี้ นางคงได้ชื่อว่าเป็นศิษย์อกตัญญู หลังจากผ่านไปหลายปี ตู้เย่สมควรที่จะได้ใช้ชีวิตตามที่เขาต้องการเสียที นางอยากให้เขาได้พบสิ่งที่ปรารถนาและทำตามฝันของเขาบ้าง
“อาจารย์ ท่านมีความปรารถนาในเรื่องใดบ้างหรือไม่?” เว่ยหนิงถาม
ตู้เย่ขมวดคิ้ว เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อน สิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัว คือเด็กหญิงตัวน้อยของเขาจะถูกรังแกในค่ายทหารวันนี้หรือไม่?
เขาเหม่อลอยยามกลางวัน ตกกลางคืนก็นอนไม่หลับด้วยความกังวล หากซานเป่าไม่กลับมาเขาคงกังวลอยู่ทั้งคืน
“อาจารย์ ข้าโตแล้ว ข้าดูแลตัวเองได้ ท่านมีสิ่งใดอยากทำ ท่านก็ไปทำเถิดไม่ต้องห่วงข้าอีกแล้ว” เว่ยหนิงกล่าว
“อืม” ตู้เย่รับคำ แต่ในใจกลับเศร้าหมอง ดวงตาฉายแววผิดหวัง เขากำลังคิดว่าเด็กคนนี้เบื่อเขาแล้วหรือ? เมื่อเด็กๆ โตขึ้น มีสังคมและสหายเพิ่มขึ้นตามวัย ผู้อาวุโสที่ไหนจะตามติดนางตลอดเวลาได้
ตู้เย่นอนไม่หลับ เขาค่อยๆ จัดของให้เว่ยหนิงราวกับบิดาที่แก่เฒ่า ตลอดทั้งคืน
เช้าวันต่อมาเขามอบข้าวของที่จัดให้เว่ยหนิงติดตัวไปยังค่ายทหาร
เด็กสาวมองดูสัมภาระมากมาย อดคิดถึงยามที่อาจารย์เก็บข้าวของให้นางไม่ได้ เว่ยหนิงปวดแปลบในใจ
“อาจารย์…ขอบคุณ”
หลังจากที่เข้าไปในค่ายแล้ว อาจารย์ก็ได้ไปทำในสิ่งที่เขาปรารถนา และนางจะไม่ได้เจอเขาอีกนาน