เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ - บทที่ 822 ตอนพิเศษ ซานเป่า ลอบสังหาร 2
- Home
- เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ
- บทที่ 822 ตอนพิเศษ ซานเป่า ลอบสังหาร 2
บทที่ 822 ตอนพิเศษ ซานเป่า ลอบสังหาร 2
ในลานฝึกซ้อมมีร่างๆ หนึ่งกำลังฝึกดาบ เขาเหวี่ยงดาบไปมาด้วยท่าทางที่พริ้วไหวราวกับมังกรที่กำลังแหวกว่ายในสายน้ำ แต่ทุกกระบวนท่าของดาบเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ความงดงามและความอำมหิตผสมกันมีเพียงคนผู้เดียวเท่านั้นที่จะทำแบบนี้ได้
เว่ยหนิงยืนนิ่ง จ้องมองคนที่อยู่บนลานฝึก ด้วยสายตาไม่กะพริบ ดวงตาของนางสดใสราวกับดวงดาว หลังจากที่กระบวนท่าจบลง ดาบถูกคืนใส่ฝัก เขายืนนิ่งราวกับต้นสนที่เผชิญกับสายลม
เว่ยหนิงสะกิดปลายเท้าทะยานขึ้นไปบนอากาศ ร่อนลงต่อหน้าบุรุษผู้นั้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“อาจารย์” เว่ยหนิงตะโกนเรียก
เป็นอาจารย์จริงๆ!
หลังจากที่ไม่ได้พบกันมานาน สายตาของเว่ยหนิงจ้องมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของตู้เย่ นางเดินวนรอบๆ ตัวเขาสองสามครั้งราวกับว่ากำลังสำรวจร่างกายของเขา
ใบหน้าของตู้เย่อ่อนโยนลง เขาปล่อยให้นางมองจนพอใจแล้วพูดขึ้นว่า
“สำรวจพอหรือยัง?”
เว่ยหนิงส่ายหัว
“ไม่พอ! ข้าไม่เห็นท่านมานานแล้วนะ จะพอได้อย่างไร” ในขณะที่พูดนางเอียงใบหน้ามองเขาอีกครั้ง ใบหน้าเล็กๆน่ารัก ไร้ความเย็นชาและโหดเหี้ยมเหมือนในสนามรบเช่นเคย
“อาจารย์ไม่คิดถึงข้าบ้างเลยหรือ?” ในขณะที่พูดนางมองเขาด้วยสายตาคาดหวัง เขาไม่ได้ตอบนาง เว่ยหนิงพึมพำเบาๆ
“ท่านอาจารย์ลืมข้าไปแล้วหรือ?” ตู้เย่อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปลูบศีรษะของลูกศิษย์
“ข้าไม่ลืม”
“ข้ารู้ว่าอาจารย์คิดถึงข้า” จู่ๆ เว่ยหนิงก็มีความสุขขึ้น อาจารย์และศิษย์เดินเข้าไปในเรือนที่พัก
“อาจารย์ ก่อนหน้านี้ท่านไปที่ไหนมาหรือ?”
“โม่เป่ย”
“โม่เป่ยอยู่ทางเหนือห่างจากซินหนานไปพันลี้ ไม่แปลกเลยที่อาจารย์จะไปนานเช่นนี้” เว่ยหนิงจ้องใบหน้าของเขา
“ว่ากันว่าลม และพายุทรายในทะเลทรายในโม่เป่ยนั้นแรงมาก จนทำให้ผิวคนที่นั่นหยาบกร้านแต่อาจารย์กลับไม่เปลี่ยนไปเลย”
อาจารย์ของนางยังคงงดงาม ปีนี้อาจารย์อายุสามสิบห้าแล้ว แก่กว่านางสิบห้าปี แต่เขายังดูราวกับอายุยี่สิบกลางๆ เท่านั้ัน
“ลมและพายุทรายแรงมากจริงๆ” ตู้เย่พึมพำ พยักหน้า “แต่ข้าปกปิดใบหน้าเอาไว้”
เว่ยหนิงหัวเราะออกมาเสียงดัง
“หัวเราะอะไร?”
“ลองนึกภาพอาจารย์เอาผ้าปิดหน้านะสิ ใครเลยจะรู้ว่าอาจารย์ของข้าหล่อเหลาเพียงใด”
ใบหน้าของท่านอาจารย์มีความก้ำกึ่งระหว่างชายหญิง อาจจะมีคนคิดว่าเขาเป็นสาวงามจนต้องซ่อนใบหน้าไว้ในผ้าคลุมก็ย่อมได้
“มี”
จริงหรือ?
“แล้ว?”
“เขาหยาบคาย ข้าเลยต่อยเขาซะ”
ลูกศิษย์และอาจารย์สองคนพูดคุยกันในลานบ้าน เย็นวันนั้นเว่ยหนิงให้คู่สามีภรรยาสูงอายุเตรียมอาหารให้ นางตามติดตู้เย่ไม่ห่างและรัวคำถามต่อไป
“อาจารย์ ในโม่เป่ยมีอูฐหรือไม่?”
“มี”
“ท่านได้ขี่อูฐหรือไม่?”
“ขี่”
“อาจารย์ ท่านแยกระหว่างอูฐตัวเมียกับตัวผู้ได้อย่างไร?” ตู้เย่ตกใจกับคำถาม เชาชะงักนิ่งไป
“นายท่านน้ำร้อนพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” หญิงชราเดินเข้ามาบอก
“ข้าไปอาบน้ำก่อน” ตู้เย่พูด และปลีกตัวออกไปในไม่ช้า เขาเข้าไปในห้องน้ำ น้ำร้อนเดือดปุดๆ ในอ่าง ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมออกเผยให้เห็นแผงอกที่มีกล้ามเนื้อได้รูปสวยและเอวเพรียวของเขา รอยแผลเป็นมากมายบนร่างกายเขาจางลงไปมาก เขาก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำ นั่งลงอ่านหนังสือในมือ บางครั้งพลิกที่หน้าปกมีตัวหนังหนังสือเขียนเอาไว้ว่า
‘เรื่องเล่าในโม่เป่ย’
ตู้เย่ก้มลงอ่านหนังสือด้วยท่าทางที่จริงจัง
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยดีแล้ว ตู้เย่เก็บหนังสือซ่อนไว้ในแขนเสื้อของตัวเอง
หลังจากที่ตู้เย่ออกไปเขาจึงบอกเว่ยหนิงถึงเรื่องการแยกอูฐตัวเมียกับตัวผู้แบบจริงจัง นางยื่นไหสุราที่เปิดแล้วให้กับตู้เย่
“อาจารย์ ดื่มหน่อยสิ”
กลิ่นของสุราเข้มข้นมาก นั่นคือสุราชั้นดี!
หลายคนในกองทัพรู้ดีว่าท่านแม่ทัพเว่ยเป็นนักดื่มที่ชื่นชอบสะสมสุราชั้นดี แต่ไม่มีใครรู้ว่านักดื่มตัวจริงคืออาจารย์ของนางนั่นเอง
เว่ยหนิงเริ่มด้วยการรินสุราใส่จอก พวกเขานั่งดื่มและพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยจนพระจันทร์ลอยขึ้นสูงกลางท้องฟ้า
เว่ยหนิงดื่มมากจนรู้สึกเวียนหัว นางชวนตู้เย่ขึ้นไปบนหลังคา ด้วยวิธีนี้ทั้งสองจะได้ใกล้ชิดกับพระจันทร์มากขึ้น
“อาจารย์ ท่านจำได้ไหมตอนที่พวกเราอยู่ในอู๋ซานเราก็มองพระจันทร์ด้วยกันเช่นนี้ มันช่างงดงามมากเลย” เว่ยหนิงพูดด้วยความอาลัยอาวรณ์
“อาจารย์คิดถึงชีวิตในตอนนั้นไหม?”
“อืม” ตู้เย่ตอบ
ในตอนนั้นเขาสามารถมองนางได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่านางจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่? แต่ตอนนี้เมื่ออินทรีสยายปีกออก เขาได้แต่ดูนางร่อนลงจากหน้าผาและยืนรอให้นางกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น
ทุกครั้งที่นางออกไปสนามรบเขาจะรู้สึกไม่สบายใจ
ผู้คนต่างมองเห็นแต่ความสำเร็จของท่านแม่ทัพเว่ย ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นมีร่างหนึ่งยืนกลมกลืนเร้นกายแฝงอยู่ เมื่อเห็นว่านางยังปลอดภัยดี เขาก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
“บางครั้งข้าก็คิดถึงใต้หล้าที่ไร้กังวลและสงบสุข แทนที่จะโหยหาการฆ่าฟันในสนามรบ แต่การที่ได้เห็นผู้คนใช้ชีวิตอยู่ดีกินดี ภายใต้การปกป้องของข้าและกองทัพ ไม่มีมารดาและบุตรต้องพลัดพรากจากกัน ไม่มีครอบครัวไหนต้องถูกทำลาย ข้าคิดว่ามันคุ้มค่าแล้ว”
เว่ยหนิงลังเล คิดว่าควรจะชักจูงให้อาจารย์ของนางเข้าร่วมในกองทัพเพื่อปกป้องต้าโจวและราษฎรจะดีไหม? แม้ว่าตู้เย่จะเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน แต่เว่ยหนิงสัมผัสได้ว่าเขาไม่ชอบการฆ่าฟันผู้คนเท่าใดนัก
การที่เขาจากนางไปก็เป็นเพราะเขาทำเพื่อนาง เว่ยหนิงไม่อยากลากอาจารย์ลงมาในวังวนแห่งนี้อีกครั้งด้วยความเห็นแก่ตัวของนาง
“ท่านอาจารย์ หากวันใดที่ต้าโจวสงบสุขไร้สงคราม พวกเราเดินทางไปให้ทั่วใต้หล้ากันเถอะ”
“อืม”
ตู้เย่ขานรับเช่นเดิมทว่าหนักแน่น เมื่อแสงจันทร์ส่องมาตกกระทบที่ใบหน้า สะท้อนให้เห็นความหวังในดวงตาของเขาอย่างเต็มเปี่ยม
“แน่นอนว่าถ้าท่านมีคนที่รัก ข้าจะไม่ทำตัวเป็นหลอดไฟ!” เว่ยหนิงว่า นางเรียนรู้จากมารดาว่าคนที่เป็นบุคคลที่สามระหว่างคู่รักคือหลอดไฟ[1]
ตู้เย่เม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร
“ท่านอาจารย์คิดว่าจะไปไหนต่อหรือ?” เว่ยหนิงถาม
“ข้าวางแผนลงใต้ไปแคว้นฉี” ตู้เย่กล่าว
“เป็นแคว้นที่ใหญ่มาก ตรงแม่น้ำแยงซีมีหมอกดูสวยงาม” เว่ยหนิงว่า คนที่หน้าตาดีอย่างอาจารย์ของนางจะต้องโดดเด่นมากแน่นอน ยามที่เขาเข้าไปถึงเจียงหนาน สาวๆ ที่นั่นจะต้องอยู่ไม่สุข
“นี่” ตู้เย่ยื่นบางอย่างให้เว่ยหนิง มันเป็นเครื่องรางมีรูปร่างคล้ายยันตร์แปดทิศ
“ขอบคุณท่านอาจารย์” เว่ยหนิงรับไว้
อาจารย์และศิษย์นอนรับลมกันอยู่บนหลังคา ยามที่สายลมพัดผ่านกระทบใบหน้า ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
ตู้เย่พักอยู่เป็นเวลาสามวัน เว่ยหนิงเองก็อยู่บ้านสามวันเช่นกัน ในช่วงสามวันนี้พวกเขาฝึกเพลงดาบด้วยกัน เว่ยหนิงได้เคล็ดลับเพลงดาบมากมายจากตู้เย่ ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองเหนื่อยมากกว่าอยู่ในค่ายทหารเสียอีก
“อาจารย์ให้ข้าพักสักหน่อยไม่ได้หรือ?” นางอ้าปาก หอบเหนื่อย
“ไม่” ตู้เย่กล่าวอย่างไร้ความปราณีเหมือนเมื่อตอนที่นางยังเป็นเด็กเล็กๆ เว่ยหนิงอดทนฝึกฝนซ้ำๆ จนกว่านางจะเชี่ยวชาญและได้พัก
เว่ยหนิงรู้ว่าอาจารย์ของนางคิดอะไรอยู่ในใจ การฝึกอย่างหนักไม่เพียงแต่เพื่อจะกำชัยชนะเท่านั้น แต่ยังช่วยให้นางรอดไม่บาดเจ็บสาหัสอีก
สามวันต่อมาทั้งสองขึ้นม้าคนละตัว เว่ยหนิงกลับไปที่ค่ายทหาร ในขณะที่ตู้เย่ออกเดินทางไปแคว้นต้าฉี พวกเขาแยกกันไปคนละทิศระหว่างเหนือกับใต้
ตู้เย่เดินทิ้งห่างออกไปก่อนจะหันกลับมามองเงาของม้าที่ค่อยๆ ลับสายตาจากไป ในตอนนั้นเขาไม่รู้เลยว่าการแยกจากในครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเวลาต่อมา
[1] หมายถึง ก้างขวางคอ